บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 905: ขอบเขตจักรพรรดิไม่ข้ามผาตรอมจิต
ตอนที่ 905: ขอบเขตจักรพรรดิไม่ข้ามผาตรอมจิต
ในใจของหยวนหลนหนิงทั้งโกรธและอายขึ้นมาอีกครั้ง
นับแต่นางบรรลุขอบเขตจักรพรรดิจวบจนบัดนี้ นางยังไม่เคยถูกผู้ใดด่าว่าเช่นนี้มาก่อน
ประหนึ่งผู้ใหญ่ดุด่าเด็กว่าโง่เขลา น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความผิดหวังระคนจนใจ
กระนั้น หยวนหลินหนิงก็ยังทำตามราวกับถูกภูตผีเข้าสิง
ฟึ่บ!
นางรีดเร้นพลังดาบเต๋า ฟันใส่หนอนตัวเท่าเหรียญที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพหนอนไชศพ
หนอนตัวนี้ดูไม่โดดเด่นอย่างใด
ทว่าเปลือกนอกของมันกลับมีอักขระเต๋าสีทองระบายอยู่ นัยน์ตาเปล่งประกายปัญญาเฉียบแหลมเหนือกว่าหนอนไชศพตัวอื่นมาก
นี่แหละ ราชันย์หนอนไชศพ!
ทุกแสนตัวของหนอนไชศพ จะมีราชันย์หนอนกำเนิดหนึ่งตัว
เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณดาบที่ฟาดฟันเข้ามา นัยน์ตาของราชันย์หนอนไชศพก็ฉายแววดูแคลน
มันหาได้หลบหลีก แต่มีฝูงหนอนไชศพโถมเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้าของมัน สกัดปราณดาบนี้จนสิ้น
และในเวลานั้น ผีฟ้าสกัดดาราก็ได้สติ และบุกเข้าไปฆ่าหยวนหลินหนิง
วิญญาณร้ายน่าสะพรึงตนนี้ระแวดระวังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันหมายมั่นรีบจบศึกนี้โดยเร็ว
เมื่อได้เห็นฉากนี้ ซูอี้จึงคลึงหว่างคิ้วอย่างอดไม่ได้ และหมดคำพูดไปชั่วขณะ
แม้เขาไม่ได้ปริปาก
ทว่าดวงหน้างดงามของหยวนหลินหนิงฉายแววละอายขึ้นมาแล้ว
โอกาสดีงามเช่นนี้ ต้องพลาดไปเสียอย่างนั้น ช่างน่า… ขายหน้าเหลือเกิน!
“ให้ข้าจัดการเถิด”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ
เสียงนั้นยังสะท้อนอยู่ในฟ้าดิน ตัวเขาก็ได้ก้าวอาด ๆ เข้าไปแล้ว
ซ่า!
กองทัพหนอนไชศพตื่นตัว พวกมันโถมเข้าใส่ซูอี้ประหนึ่งพายุสีเลือดประสานฟ้าดิน รวดเร็วดั่งสายฟ้า และรุนแรงดั่งอัสนีบาต
แค่มองจากที่ไกล ๆ ยังหน้าถอดสี
ซูอี้กลับไม่รู้สึกรู้สาแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ
ตู้ม!!!
ปราณดาบสายหนึ่งซัดสาดออกมา มันยิ่งใหญ่ดั่งทางช้างเผือก และปลดปล่อยเพลิงเทวะโชติช่วงไร้ขอบเขตออกมา
ชั่วพริบตานั้น ฟ้าดินหม่นหมองผืนนี้พลันสว่างไสวขึ้นมา
พายุซึ่งก่อตัวจากหนอนไชศพจึงถูกผ่าครึ่งอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หนอนไชศพเน่าหลบไม่ทัน จึงถูกเปลวเพลิงเทวะแผดเผาจนสิ้น
ส่วนร่างองอาจของซูอี้ก็บุกเข้าไปในสมรภูมิ จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไป
หนอนไชศพนับพันหมื่นระเบิดแหลกลาญ พวกมันถูกแผดเผาจนกลายเป็นจุณ
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ราชันย์หนอนไชศพที่เคยถูกกองทัพหนอนไชศพปกป้องไว้ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง มันกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง หมุนตัวหนีไปทันที
แต่อย่างไรเสียก็ช้าไปหนึ่งก้าว
ภายใต้ฝ่ามือนี้ของซูอี้ ราชันย์หนอนไชศพที่ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทางเกรียงไกรไม่เห็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอย่างหยวนหลินหนิงอยู่ในสายตา บัดนี้โดนซูอี้คว้าเข้ามาในฝ่ามือ
คล้อยตามการปาดนิ้วของเขา
พรวด!
จิตวิญญาณของราชันย์หนอนไชศพถูกลบล้าง จนเหลือเพียงร่างขนาดเท่าเหรียญที่โดนซูอี้เก็บไว้
นี่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง สามารถใช้ในการหล่อหลอมศาสตราวิถีขอบเขตจักรพรรดิได้
ทว่าเมื่อราชันย์หนอนไชศพตายไป กองทัพหนอนไชศพในสมรภูมิก็วุ่นวายขึ้นมาในบัดดล ราวกับแมลงวันไร้หัว อานุภาพลดทอนลงไปอย่างมาก
ห่างออกไปไม่ไกล หยวนหลินหนิงซึ่งกำลังเข้าห้ำหั่นกับผีฟ้าสกัดดาราเห็นทุกสิ่ง นางจึงอดสะท้านใจไม่ได้
นางถึงตระหนักได้ว่าผู้ที่ตำหนิตนว่า ‘โง่เกินไป’ เมื่อครู่ รวมถึงผู้แข็งแกร่งที่บุกเข้ามาสนามรบดุจเทพเทวะจุติก็คือซูอี้!
ชายหนุ่มลึกลับที่เคยชนะตัวเองตั้งแต่ยังอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ!
“เช่นนั้นผีฟ้าสกัดดาราขอมอบเป็นหน้าที่เจ้า หลังจากฆ่าเจ้าผีตนนี้ได้แล้ว ‘ลูกแก้ววิญญาณเลือด’ จากตัวเขาจะเป็นของข้า”
พูดจบ ซูอี้หันหลังออกจากสมรภูมิแห่งนี้
หยวนหลินหนิง “…”
เดิมนางยังรู้สึกซาบซึ้งที่ซูอี้ช่วยเหลือ
ทว่าคำพูดนี้ของชายหนุ่มก็ทำให้นางเซ็งขึ้นมา หญิงสาวเพิ่งตระหนักได้ว่าที่อีกฝ่ายช่วยตัวเอง ที่แท้ก็เพื่อของกำนัลหลังศึก
สูดหายใจเข้าลึก หยวนหลินหนิงไม่กล้าใคร่ครวญนาน นางลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
…..
เป็นดังที่เขาคาด หลังจากได้รับคำชี้แนะของตน หยวนหลินหนิงทราบวิธีจัดการผีฟ้าสกัดดารา ระหว่างการต่อสู้นี้ นางเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เพียงครู่เดียว ผีฟ้าสกัดดาราก็โดนปลิดชีพทิ้ง สลายไปทั้งกายหยาบและจิตวิญญาณ
จากนั้นเขาก็หันมองหยวนหลินหนิง นอกจากเปลืองพละกำลังไปจนสีหน้าซีดเซียว นางก็หาได้บาดเจ็บไม่
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ยื่นมือช่วยเหลือ นี่คือลูกแก้ววิญญาณเลือด”
ในไม่ช้า หยวนหลินหนิงก็เดินเข้ามา นางก้มศีรษะและยื่นลูกแก้วสีแดงฉานขนาดเท่าไข่นกพิราบลูกหนึ่งให้ซูอี้
ซูอี้ย่อมไม่เกรงใจ เขาเอื้อมมือรับมา พร้อมยกขึ้นมาพิจารณาระยะเดียวกับสายตา
ดวงหน้างดงามของหยวนหลินหนิงดูซับซ้อนขึ้นมานิดหน่อย
ไม่ว่าซูอี้ลงมือด้วยจุดประสงค์ใด อย่างไรก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่นางเกือบถูกฆ่า นับว่ามีบุญคุณชีวิต
“น่าเสียดาย ลูกแก้ววิญญาณเลือดนี้เพิ่งสั่งสมพลังได้ราว ๆ เก้าพันปี กำเนิดพลังกฎเกณฑ์ชั่วร้ายเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ไม่ต่างจากขยะเท่าไรสำหรับข้า”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
ลูกแก้ววิญญาณเลือดที่แท้จริงสามารถหล่อเลี้ยงกฎเกณฑ์ชั่วร้ายได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนี้จึงถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า
ส่วนลูกแก้ววิญญาณเลือดตรงหน้าเป็นระดับทั่วไป ไฉนเลยจะเข้าตาซูอี้
ซูอี้โยนลูกแก้ววิญญาณเลือดให้หยวนหลินหนิง “เจ้าเก็บไว้เถิด”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป
หยวนหลินหนิงผงะ ไม่ทันตั้งตัวแต่อย่างใด
สมบัติที่อุตส่าห์ได้มา โยนให้ตนง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?
สิ่งสำคัญกว่านั้น ลูกแก้ววิญญาณเลือดเป็นประโยชน์ต่อการฝึกในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำอย่างมาก
และสำหรับหยวนหลินหนิง ลูกแก้ววิญญาณเลือดลูกนี้ไม่เลวเท่าใด หากไปโผล่ที่โลกภายนอก ก็สามารถทำให้จักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำแย่งกันหัวแตก!
แต่สำหรับชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างซูอี้กลับเป็นเพียงขยะ เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ ทิ้งก็เสียดาย จึงโยนมาให้ตัวเองด้วยความรังเกียจ…
หญิงสาวรู้สึกมึนงงนิดหน่อย
“หรือว่า… ตนเองโง่เขลาเบาปัญญาจริง ๆ ไม่อย่างนั้น ไยจึงไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิด”
หยวนหลินหนิงอัดอั้น
นางไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้ ขณะจ้องมองรอบ ๆ ด้วยความกังวล ท่ามกลางปฐพีหม่นหมอง หนอนไชศพอยู่ไปทั่วทุกแห่ง ทุ่งร้างกว้างไกล ม่านหมอกลอยฟุ้ง
ไม่สามารถแยกทิศทางได้เลย
หยวนหลินหนิงเพิ่งเคยมาพเนจรในเมืองมรณะครั้งแรก แม้ว่าพอดูจากดาวปีศาจสีเลือดเก้าดวงที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าแล้วทราบว่าจุดที่อยู่ในตอนนี้คือ ‘ทุ่งร้างดาราเลือด’
ทว่าเมื่อได้ยืนอยู่บนพื้นที่ต้องห้ามนี้จริง ๆ หยวนหลินหนิงกลับพบว่าตัวเองหลงทาง…
ไม่รู้เลยว่าควรเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด!
หยวนหลินหนิงเม้มปาก กัดฟัน กระโจนออกไปด้านหน้าไกล ๆ
หืม?
ซูอี้ผู้เดินทางอยู่ตามลำพังในปฐพีนี้เลิกคิ้วขึ้นฉับพลัน เขารู้สึกว่าหยวนหลินหนิงไล่ตามมาจากด้านหลัง
“ถ้าเจ้าต้องการขอบคุณข้า ไม่จำเป็น ที่ข้าช่วยเจ้าเพียงเพราะผ่านมาเห็นเท่านั้น”
ซูอี้เอ่ยโดยไม่หันกลับไปมอง
น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์
หยวนหลินหนิงผ่อนฝีเท้าโดยห่างจากซูอี้สามจั้ง จากนั้นนางก็เอ่ยเสียงเบา “สหายเต๋าซู เรื่องคืนนี้สำหรับสหายเต๋าอาจเป็นเรื่องง่าย ๆ ทว่าสำหรับข้า ถือเป็นบุญคุณชีวิต”
ซูอี้กล่าว “พอเถิด เจ้าขอบคุณข้าแล้ว มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“เอ่อ…”
สีหน้าหยวนหลินหนิงอึกอักขึ้นมา ท่าทีอิหลักอิเหลื่อ
ซูอี้ผงะ เขาสัมผัสได้ว่าท่าทีของหยวนหลินหนิงแปลกไป จึงชะงักฝีเท้า และหันไปมองหยวนหลินหนิงด้านหลัง พลางเอ่ยหยั่งเชิง “เจ้า… คงไม่คิดจะร่วมทางกับข้าหรอกนะ”
หยวนหลินหนิงเป็นถึงตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ แต่เมื่อเผชิญกับสายตาของซูอี้ในตอนนี้ กลับเขินอายจนก้มศีรษะต่ำ เอ่ยเสียงแผ่ว “ขอบอกสหายเต๋าตามตรง ข้า… หลงทาง”
ซูอี้ “…”
เขาเกือบหลุดหัวเราะ
ผู้หญิงคนนี้ดูเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง ซ้ำยังมีพลังขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ เหตุใดถึงเซ่อซ่าปานนี้
คล้ายว่ารับบรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้ไม่ไหว หยวนหลินหนิงจึงอธิบายด้วยเสียงกระอึกกระอัก “เมื่อครั้งเข้ามาในเมืองมรณะ อาจารย์ลุงหลูเคยมอบแผนที่ลับให้ข้า บนนั้นมีตำแหน่งพื้นที่ต้องห้ามต่าง ๆ ภายในเมืองมรณะ หลังจากข้าเข้ามาในเมืองมรณะ จึงตรงเข้าไปยังเมืองมืด”
“แต่ข้าดูแล้ว ระหว่างทุ่งร้างดาราเลือดและเมืองมืดมีพื้นที่ต้องห้ามคั่นกลางเกินสิบ ซ้ำยังไม่มีเส้นทางชัดเจน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรเดินหน้าไปทิศใด…”
พูดมาถึงท้ายสุด เสียงนางก็เบาลงเรื่อย ๆ แทบอยากก้มศีรษะต่ำจนแนบกับหน้าอก
ท่าทางอับอายอยากมุดดินหนีส่งผลให้ซูอี้กลั้นไม่ไหว ลงท้ายก็หัวเราะออกมา
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดจา หยวนหลินหนิงก็เอ่ยเสียงเบา “ถ้า… ถ้าสหายเต๋าเห็นว่าไม่ควร เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าเดินทางคนเดียวได้”
เสียงนั้นผิดหวังเล็กน้อย
ซูอี้หุบยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นมา “ข้าตั้งใจเดินทางไปยังเมืองมืดเช่นกัน ทว่าก่อนไปจำต้องไปเมืองเสี่ยวหมิงก่อน หากเจ้าไม่ถือ ร่วมทางไปกับข้าได้”
หยวนหลินหนิงยินดีปรีดา ดวงหน้างดงามเงยขึ้น ตาคู่สวยเปล่งประกายสดใส “ข้าย่อมไม่ถือ”
ซูอี้พยักหน้า และไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก จากนั้นเขาก็หันหลังเดินหน้าต่อ
หยวนหลินหนิงตามหลังไปติด ๆ
ท่ามกลางปฐพีมืดมัว ทั้งคู่เดินตามกันบนทุ่งร้างดาราเลือด
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่เพิ่งรอดจากเคราะห์ร้ายถึงชีวิตมา ทั้งที่ยังอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามแสนอันตรายในเมืองมรณะ ทว่าบัดนี้เมื่อได้ติดตามอยู่ข้างกายซูอี้ และได้เห็นแผ่นหลังสูงโปร่งของชายหนุ่ม หยวนหลินหนิงจึงไม่รู้สึกกังวลเลยสักนิด
ตรงกันข้าม นางรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้วอย่างไร ในสายตาท่านอาวุโสอย่างอวิ๋นซงจื่อ เขาคือสหายเก่าของผู้คุมรัตติกาล และสำหรับท่านม่ออู๋เหิน เขายิ่งเป็นผู้สูงส่งที่ไม่อาจล่วงเกิน”
“มิหนำซ้ำ ด้วยฝีมือของเขาที่ชี้แนะข้าเรื่อง ‘คาถาลำแสงขจัดฝันร้าย’ ย่อมเข้าใจ ‘คัมภีร์ฝันร้ายสลักจิต’ อันเป็นมรดกสูงสุดของโถงเราอย่างถ่องแท้”
หยวนหลินหนิงนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ซูอี้บุกเข้าไปกลางกองทัพหนอนไชศพ ภาพที่เขาปลิดชีพราชันย์หนอนไชศพได้อย่างง่ายดาย ในใจของนางก็รู้สึกตกตะลึงเหลือแสน
และตอนนี้ เมื่อนางได้ออกเดินทางเคียงข้างชายหนุ่มลึกล้ำมหัศจรรย์ผู้นี้ หยวนหลินหนิงก็รู้สึกเหมือนเป็นโชคดีที่ได้มาเพราะโชคร้าย
ก่อนเข้ามาในเมืองมรณะ กระทั่ง ‘จอมดาบเสวียนหลิว’ เฟิงอวี่จือแห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่างยังเคยคิดเชื้อเชิญคุณชายซูผู้นี้ร่วมทางด้วยกัน!
และเมื่อคืนนี้เอง อาจารย์ลุงหลูฉางหมิงได้ออกปากเชื้อเชิญ ซ้ำยังโดนคุณชายซูปฏิเสธ!
เมื่อคิดได้ดังนี้ หยวนหลินหนิงก็ยิ่งรู้สึกโชคดีเข้าไปใหญ่
“ด้านหน้าอีกสามสิบลี้คือผาตรอมจิต ถึงตอนนั้นฟังคำสั่งจากข้า”
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ซูอี้ซึ่งเดินอยู่ด้านหน้าเตือนมาหนึ่งประโยค
ผาตรอมจิต!
หยวนหลินหนิงใจสะท้าน
เมืองมรณะพิฆาตชีวาวาย จักรพรรดิไม่ข้ามผาตรอมจิต
นี่คือหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามที่อันตรายที่สุดแห่งเมืองมรณะ!