บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 910: สตรีมาให้เกาะ
ตอนที่ 910: สตรีมาให้เกาะ
ฮั่วเจิง
เมื่ออยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง เขาก็สามารถควบรวม ‘กฎเพลิงโลหิต’ ได้สำเร็จ
แต่เดิม เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักมารหมื่นอัคคีจากเขตนทีปรภพ จนในภายหลังพวกเขายอมสยบแก่วัดเสวียนหมิง และก็ได้กลายเป็นผู้คุมกฎของวัดเสวียนหมิง
ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่เถี่ยเต๋าเหรินเห็นชอบให้ฮั่วเจิงออกไปทดสอบนั้นก็เพราะว่าเมื่อฮั่วเจิงลงมือ เขาจะไม่เลินเล่อ
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตา ฮั่วเจิงผู้ทุ่มสุดฝีมือจะถูกบั่นหัวตายคาที่!!
ทั่วบริเวณเงียบสงัด
ฝ่ามือของหยวนหลินหนิงสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากสีชมพูอ้าค้าง
ชิงมู่ตะลึงอึ้ง ดวงตาลุกวาวราวได้พบเทพเซียน
ในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง ชิงเถิงอดรำพึงไม่ได้ นี่แหละใต้เท้าซู!
เพียงขยับนิ้วก็ฆ่าจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย!
สีหน้าของเถี่ยเต๋าเหรินและตัวตนจักรพรรดิทั้งห้าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาแปรเปลี่ยน หัวใจของพวกเขาสั่นระรัว
“นั่นคืออำนาจจากเสียงดาบครวญ!”
บางคนกระซิบ นัยน์ตาของเขาคมกริบ
ก่อนหน้านี้ เมื่อซูอี้ลงมือ ได้เกิดเสียงดาบครวญลึกลับขึ้น แม้จะหายไปในพริบตาก็ตามที
ทว่าปราณดาบอันมาจากเสียงดาบครวญนั้นน่าหวาดหวั่นเสียจนผู้ที่มองจากระยะไกลยังถูกกดข่มจิตใจ!
ตัวตนจักรพรรดิคนอื่นต่างพยักหน้า ราวกับพวกเขาก็สังเกตเห็นเช่นกัน
ตู้ม!
ไกลออกไปในอากาศ หัวของฮั่วเจิงในมือซูอี้ระเบิดโพละ
“ด้วยฝีมือต่ำต้อยเพียงนี้ ยังโกหกเรื่องบั่นหัวข้า ทำตัวเองอับอายโดยแท้”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
แววตาของเขาไม่แยแส ขณะเดินผ่านอากาศเข้าไปใกล้
เขาอาจจะไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า ทว่ายังคงทำให้หัวใจของเหล่าตัวตนจักรพรรดิซึ่งอยู่ห่างออกไปบีบแน่นชั่วขณะ
เถี่ยเต๋าเหรินกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พวกเจ้าดูไปก่อน ข้าจะขอไปพบปะกับสหายน้อยผู้นี้สักพัก”
ตู้ม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างผอมของเขาก็พลันระเบิดแสงสีเพลิงขึ้นสู่นภา อำนาจที่แสดงออกมาใหญ่โตอลังการ
เพลิงลี้ลับลุกโหมโลมเลียท้องฟ้า
อำนาจอหังการในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทำให้โลกหล้าสั่นสะเทือน
ดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงในมือของเถี่ยเต๋าเหรินลุกโชนขึ้น พื้นผิวใสกระจ่างเผยคลื่นอำนาจกฎเกณฑ์พลุ่งพล่าน
สีหน้าของชิงเถิงและชิงมู่ต่างแปรเปลี่ยนจนยากคาดเดา
หนึ่งในเก้ายมบาลต้องห้าม!
เมื่อคืน เถี่ยเต๋าเหรินใช้สมบัตินี้ทำลายพลังกฎดั้งเดิมซึ่งปกคลุมเมืองเสี่ยวหมิงอยู่และก่อเหตุนองเลือดขึ้นที่นี่
ซูอี้หรี่ตาลงและเตรียมโจมตี
ทันใดนั้น…
ทั่วนภาและโลกหล้าพลันมืดหม่น แสงอันเย็นเยียบสว่างขึ้นจากฟ้า ก่อนจะร่วงหล่นสู่ผืนปฐพี
ม่านตาของเถี่ยเต๋าเหรินหดตัวเฉียบพลัน
ตัวตนจักรพรรดิทั้งห้าไม่อาจหายใจสะดวก ผิวกายเจ็บแปลบ พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเย็นเยียบเสียดกระดูกที่กดทับลงมายังพวกตน
“โชคดีจริง ในที่สุดข้าก็มาทันกาล”
เสียงเย็นชาเจือความโล่งใจก้องขึ้น
ทุกสายตาหันมองตามเสียง
และพบร่างอรชรสง่างามดุจนางเซียนปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุข้างกายซูอี้
นางดูราวหญิงสาวอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ด ดวงหน้ากระจ่างใส ผิวพรรณขาวดุจหิมะ และจงใจแต่งกายด้วยชุดกระโปรงแขนเสื้อกว้างเรียบง่าย
พิรุณแสงสีหม่นจาง ๆ ควบรวมดั่งกลีบบุหงาโปรยปรายจากร่างสง่างาม จึงทำให้นางยิ่งดูสูงส่งเย็นชา
หยวนหลินหนิงตะลึงอึ้งแทบไม่เชื่อสายตา
ก่อนจะมายังเมืองมรณะ นางได้พบสตรีผู้นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ยามนั้นอีกฝ่ายสำรวมตน นางมีสีหน้าอ่อนโยนราวสาวใช้ผู้ติดตามข้างกายซูอี้อย่างเชื่อฟัง
นอกจากรูปลักษณ์อันงดงามของนางก็ไร้สิ่งใดพิเศษ
ทว่ายามนี้ กุลสตรีผู้ดูเหมือนสาวใช้กลับกลายเป็นนางเซียนบนฟ้า ร่างของนางเต็มไปด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ราวกับสยบสวรรค์ได้!
เมื่อมองจากระยะไกล ผู้คนล้วนยำเกรง
“ที่แท้นี่ก็คือโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง…”
หยวนหลินหนิงใจสั่น
ยามนี้ ทั้งเถี่ยเต๋าเหรินและคณะ รวมถึงคู่ศิษย์อาจารย์ชิงเถิงและชิงมู่ต่างตะลึงอึ้ง
ผู้มาเยือนนั้นราวนางสวรรค์ ยิ่งใหญ่ดุจเทพ!
“ใต้เท้าคือผู้ใด และเหตุใดจึงอยากเข้ามาพัวพันเรื่องของวัดเสวียนหมิงของข้า?”
เถี่ยเต๋าเหรินฝืนความคิดโจมตีและกล่าวอย่างลุ่มลึก
เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามรุนแรงจากสตรีผู้นั้น!
ผู้มาใหม่ย่อมเป็นโยวเสวี่ย
ดวงเนตรของนางลึกล้ำเย็นชา ไม่เห็นผู้ใดในสายตา
ทว่าเมื่อมองไปทางซูอี้ ความเย็นชาในสายตาพลันแปรเป็นความอ่อนหวานเยี่ยงธารวารี และกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “สหายเต๋า ปล่อยคนเหล่านี้ให้ข้าจัดการเถิด”
ก่อนจะลงมือ นางต้องปรึกษากับอีกฝ่ายก่อน
เห็นเช่นนี้ หยวนหลินหนิงก็ตะลึงค้างไปชั่วขณะ
สีหน้าของเหล่าจักรพรรดิเช่นเถี่ยเต๋าเหรินผู้ถูกมองข้ามน่าเกลียดลงเล็กน้อย
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ด้วยวิธีการของเขาในยามนี้ เขาทำได้เพียงใช้อำนาจของดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์และคัมภีร์แห่งตี้ทิงมาสังหารพวกจักรพรรดิอย่างเถี่ยเต๋าเหรินเท่านั้น
และหากเขาต้องการปราบดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาให้ได้จริง ๆ เขาอาจต้องยืมพลังของดาบเก้าคุมขังมาใช้ด้วย
ทว่า เมื่อมีโยวเสวี่ยอยู่ เขาก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป
เพียงแค่ว่า พอคิดว่าต้องปล่อยให้สตรีสะสางศึกนี้ มันก็ทำลายความภาคภูมิในตนเองของเขาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะนั่นหมายความว่าเขาไม่ต่างกับพ่อหนุ่มหน้าใสที่เกาะสตรีกิน…
แต่ทันใดนั้น ซูอี้ก็พยักหน้าตอบ “ได้”
จะบอกว่าเกาะสตรีกินได้เช่นไร?
เห็นกันอยู่ว่า โยวเสวี่ยเป็นคนขอกระทำเช่นนั้นเอง
แม้จะสงสัยว่าเป็นการเกาะสตรีกินหรือไม่ มันก็เรียกได้ว่าสตรีมาให้เกาะด้วยเช่นกัน!
โยวเสวี่ยพลันยิ้มน้อย ๆ คู่เนตรกระจ่างเปี่ยมปรีดา
คราแรกนางประหม่าเล็กน้อย เพราะห่วงว่าคำขอของนางจะถูกปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าซูเสวียนจวินจะค่อย ๆ เปิดรับนาง และไม่ดูแคลนการขอความช่วยเหลือจากนางอีกต่อไป
“ถือนี่ไว้ และระวังพลังของดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาด้วย”
ซูอี้ส่งคัมภีร์แห่งตี้ทิงให้กับโยวเสวี่ย
ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งในมือยมบาล ซึ่งถือครองกฎไร้วจีแผดเผา และเป็นสมบัติอันลือนามในโลกหล้ามาตั้งแต่บรรพกาล
ไม่ว่าโยวเสวี่ยจะแข็งแกร่งเพียงไร นางก็ยังเป็นจิตวิญญาณสมบัติ และโคมสงบวิญญาณเทียนหยาก็ไม่ได้อยู่ข้างกายนาง ทำให้ซูอี้กังวลเล็กน้อย
“เอ๋…”
โยวเสวี่ยตะลึง
การกระทำอันไม่คาดคิดของชายหนุ่มทำให้นางยินดี ขณะลอบคิดว่าซูเสวียนจวินก็ห่วงความปลอดภัยของข้าเช่นกัน!
“สหายเต๋า ข้าซาบซึ้งนัก ทว่า… การจะฆ่าตัวตนเหล่านี้ ไม่ต้องยืมสมบัติเช่นนั้นหรอก”
โยวเสวี่ยปฏิเสธยิ้ม ๆ
ซูอี้ไม่ได้เซ้าซี้อีก
บทสนทนาระหว่างทั้งสองที่ดูราวโลกนี้ไร้ผู้อื่นทำให้สีหน้าของเหล่าจักรพรรดิและเถี่ยเต๋าเหรินน่าเกลียดขึ้นอีก
หากจะบอกว่าในเมืองมรณะทุกวันนี้เป็นเหมือนถิ่นของวัดเสวียนหมิงก็คงไม่ถือว่ากล่าวเกินไปนัก ทั่วหล้านี้จะมีผู้ใดกล้าเมินพวกเขาบ้าง?
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณทำเช่นนั้นมากกว่าหนึ่งหน
กระทั่งหญิงสาวผู้จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นยังไม่เห็นพวกเขาในสายตา!
“เจ้าไปจัดการไอ้หนูนั่นเสีย ส่วนข้าจะรับมือสตรีผู้นี้!”
สีหน้าของเถี่ยเต๋าเหรินซีดขาวและเริ่มลงมือทันที
เขาก้าวขึ้นสู่อากาศ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมฟ้า เขาตวัดดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาโจมตีใส่โยวเสวี่ยทันควัน
ตู้ม!
กฎไร้วจีแผดเผาปรากฏขึ้นกะทันหัน และแปรเปลี่ยนกดดันลงราวขุมนรกมอดไหม้
สุญญะพังทลายเต็มไปด้วยหลุมบ่อ
อำนาจร้ายกาจของกฎเกณฑ์ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำสามารถทลายคีรีเผานทีให้เดือดพล่านได้ในชั่วพริบตา
และยามนี้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ดุจขุมนรกมอดไหม้ก็โอบล้อมโยวเสวี่ยไว้ผู้เดียว
คู่เนตรเป็นประกายของโยวเสวี่ยสะท้อนความเย็นชาออกมาไม่ปิดบัง
นางก้าวขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นฟาดมือลงมาดุจมีด
ตู้ม!
พลังแห่งกฎสงบแสงเทียนควบรวมเป็นดาบยาวร้อยจั้งทะลวงนภา ฟาดฟันลงใส่นรกแผดเผา
สองอำนาจปะทะ และคลื่นทำลายล้างอันสะท้านแดนดินก็ระเบิดกระจายทั่วทศทิศ
สงครามบังเกิด
เถี่ยเต๋าเหรินตวัดดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาอย่างแรง ส่งทะเลเพลิงกาฬปะทุคลั่งราวกับพร้อมแผดเผาสวรรค์สลายแดนดิน รุมเร้าจักรวาล ทุกชั่วกาล
ในภูมิมืดมิดทุกวันนี้ ตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำนับว่าเป็นผู้อยู่บนจุดสูงสุดแห่งวิถีจักรพรรดิแล้ว
และเถี่ยเต๋าเหรินย่อมน่ากลัวกว่านั้น
เขามีวิถีเต๋าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง เขาสร้างแท่นเต๋ารู้แจ้งลึกล้ำได้สำเร็จ และยามนี้ยังถือครองดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา อันเป็นหนึ่งในเก้ายมบาลต้องห้าม อำนาจที่แสดงออกมาจึงย่อมเกินเทียบกับตัวตนทั่วไปในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ทว่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือวิธีการของโยวเสวี่ย
สตรีผู้ดูราวกับนางเซียนกำลังควบคุมอำนาจกฎสงบแสงเทียนเข้าประชัน ยังไม่เคยสะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
บริเวณศีรษะด้านหลังของนางมีภาพลวงของโคมไฟสำริดปรากฏขึ้น และทุกครั้งที่โคมไฟพลิ้วระริก แสงเทียนมืดสลัวลึกล้ำก็จะถูกสาดออกมาทำลายการโจมตีของเถี่ยเต๋าเหรินจนสิ้น!
ขณะเดียวกัน…
“ฆ่า!”
ขณะเดียวกัน ตัวตนจักรพรรดิทั้งห้าต่างก็ร่วมมือสังหารซูอี้ โดยใช้สมบัติของตนเอง
ในหมู่คนทั้งห้า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบ และผู้อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง
พวกเขาไม่เพียงมีประสบการณ์รบ แต่ยังร่วมมือกันโจมตีราวกับรู้ใจ
เพราะถึงอย่างไร การตายของฮั่วเจิงก็ยังชัดเจนในใจ
ใครเล่าจะกล้าชะล่าใจ?
ตู้ม!
ทั่วนภาพิภพปั่นป่วน ตะวันจันทราหม่นรัศมี
เมื่อเผชิญการโจมตีเช่นนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้า
ก่อนที่เขาจะขยับนิ้ว
ฉัวะ!
คัมภีร์แห่งตี้ทิงปรากฏขึ้น และหน้าปกสำริดอันบางเยี่ยงปีกจักจั่นก็ระเบิดแสงสีตระการดุจตะวันจันทราและสารพันปรากฏการณ์บนท้องฟ้า
“ไป!”
ซูอี้แตะนิ้วลงบนหน้ากระดาษ
ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดสนั่น วิหคกลืนวิญญาณหกตัวสยายปีกทะยานฟ้า ดูดุร้ายและแข็งแกร่ง
พวกมันกระพือปีกที่เหมือนสร้างจากเหล็กเทวะ ส่งอสนีบาตนรกผนึกมารเข้าโจมตีตัวตนจักรพรรดิทั้งห้าคน
ตู้ม!
การโจมตีประสานของห้าจักรพรรดิพลันถูกขัดจังหวะและถูกล้อมโจมตีอย่างดุดัน
“บ้าเอ๊ย ไฉนวิหคกลืนวิญญาณจากผาตรอมจิตจึงถูกไอ้เด็กนี่ใช้ได้ล่ะ?”
เสียงตะโกนอย่างขุ่นเคืองก้องสวรรค์
เหล่าจักรพรรดิต่างหน้าถอดสี
ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้อมโจมตีซูอี้ด้วยกัน
และยามนี้ วิหคกลืนวิญญาณหกตัวก็ล้อมโจมตีพวกเขา!
เคร้ง!
ดาบครวญดังลั่น ซูอี้คว้าดาบนิลกาฬบริสุทธิ์พุ่งเข้าสังเวียนและเริ่มฆ่าฟัน
เขาไม่พอใจเล็กน้อย
หนึ่งเป็นเพราะโศกนาฏกรรมอันเกิดแก่ชิงเถิง
สองเป็นเพราะศึกตรงหน้ามีคู่ต่อสู้มากเกินไป ทั้งยังมีตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบอีกด้วย จึงไร้โอกาสให้เขาใช้กำลังตนสังหารศัตรู และทำได้เพียงต้องใช้วิธีการโหดเหี้ยมจบศึกโดยไว
“ตาย!”
เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งดังขึ้น
ชายวัยกลางคนในชุดสีเงินผู้หนึ่งซึ่งกำลังต่อสู้กับวิหคกลืนวิญญาณอย่างดุเดือดพลันเบิกตากว้าง หว่างคิ้วของเขาถูกเจาะเป็นรูโชกเลือด
มันถูกปราณดาบคมกริบไร้ใดเทียบเสียบทะลวง!
ตู้ม!
วิหคกลืนวิญญาณกระพือปีกตามติดกันมา มันอ้าปากออกกลืนกินวิญญาณของชายวัยกลางคนผู้นั้นเข้าไป
ในชั่วกาลแสนสั้นนี้ ตัวตนจักรพรรดิวัยกลางคนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำก็ถูกสังหาร!
จักรพรรดิอีกสี่คนต่างหน้าซีดตัวสั่น
แต่พวกเขาแต่ละคนต่างก็ถูกวิหคกลืนวิญญาณโจมตีพัวพัน สายเกินกว่าจะช่วยได้
และร่างของซูอี้ก็ไม่ได้หยุดยั้ง เขาวูบไหวไปสังหารหญิงชราชุดดำอีกคนหนึ่งทันที