บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 911: สงบแสงเทียนตราบกาล
ตอนที่ 911: สงบแสงเทียนตราบกาล
หญิงชราผมขาวในชุดดำผู้ถือตะขอเกี่ยววิญญาณในมือ ฝึกฝนมาถึงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางแล้ว
นางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ร่างกายอบอวลด้วยหมอกดำ
เมื่อตะขอเกี่ยววิญญาณที่นางใช้ร่ายรำบ้าคลั่งในอากาศ อสนีบาตสีดำก็แปลบปลาบคลั่งโจมตีจากฟ้าสู่ดิน แหวกสุญญะเป็นรอยแตกร้าวมากมาย
นี่คือพลังแห่งกฎอสนีบาต
เมื่ออสนีบาตฟาดฟัน ชีวิตก็ปลิดปลิวแหลกทำลาย
กฎอสนีบาตนับว่าเป็นหนึ่งในกฎเต๋าวิถีลึกล้ำชั้นหนึ่ง
เมื่อโจมตี วิหคกลืนวิญญาณที่เข้าหานางต่างถูกความดุร้ายของนางปราบจนทำได้เพียงดิ้นรนหนี
ทว่าเมื่อซูอี้สังหารชายวัยกลางคนชุดสีเงินเสร็จ ก็เป็นตาของนาง
หญิงชราชุดดำอดรู้สึกทึ่งในใจไม่ได้ นางตวัดตะขอเกี่ยววิญญาณเพื่อส่งวงแสงสีดำเจิดจ้ารุนแรงออกไป
วงแสงทะยานสู่เวหา เผยอำนาจทำลายล้างน่าหวาดหวั่น
ดวงตาของซูอี้แพรวพราวอย่างล้อเลียน
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ฟาดฟัน
หนึ่งดาบฟาดฟัน โลกหล้าคลั่งดุจธารวารี!
เป็นการออกดาบที่รวดเร็วนัก
แม้ซูอี้จะใช้ดาบนี้ตวัดฟาดฟันด้วยวิถีเต๋าขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นกลางก็ตามที แต่เมื่อดาบนี้ตวัดไหว กลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ราว ‘ผ่านหนใดก็ไร้เทียมทาน’
ตู้ม!
ปราณดาบระเบิดขึ้นบนฟ้า และวงแสงอสนีสีดำจากกฎอสนีบาตก็ถูกระเบิดจนแหลก
“เป็นไปได้เช่นไร!?”
หญิงชราชุดดำตะลึงจนพูดไม่ออก
การโจมตีนี้เป็นเพียงการโจมตีส่ง ๆ ไม่ได้พิเศษอันใด
ทว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณกลับสามารถหยุดนางด้วยหนึ่งการโจมตี โดยพึ่งพาเพียงวิชาดาบและการฝึกฝนของตนเอง ช่างชวนให้ขวัญแขวนดีแท้
ควรค่าจดจำว่ายามก่อนเมื่อซูอี้สังหารฮั่วเจิง พวกเขาต่างเชื่อว่าเป็นฝีมือเสียงครวญดาบ
ใครเล่าจะคิดว่าเขาจะสามารถใช้การฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณมาประชันจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางได้?
โดยไม่รอให้หญิงชราชุดดำคืนสติ
ฉัวะ!
พิรุณปราณดาบบนฟากฟ้าหมุนวนเยี่ยงธารดารา กระแทกลงสู่พื้นที่ไกลออกไปหลายสิบจั้ง
ณ ที่แห่งนั้น มีชายชุดสีเทาในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางผู้หนึ่งกำลังถูกรุมโดยวิหคกลืนวิญญาณสองตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังเสียเปรียบ
เมื่อปราณดาบโถมใส่กะทันหัน มันก็โจมตีชายชุดเทาโดยไม่ทันตั้งตัว และระเบิดร่างของเขาเป็นจุณในทันที
ทันทีที่จิตวิญญาณของเขาหนีออกมาจากร่างที่แตกสลาย มันก็ถูกวิหคกลืนวิญญาณตัวหนึ่งใช้คู่กรงเล็บแหลมคมจับไว้ และอ้าปากออกกลืนกิน
โลหิตทะลักสาด และเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของชายชุดเทาก็ดังตามมา
คนทุกผู้ต่างตื่นกลัว
ในขณะที่กำลังรบติดพันกับหญิงชราชุดดำ เขาพลันสังหารจักรพรรดิอีกผู้ ณ อีกฟากฝั่ง ดังนั้นจักรพรรดิที่เหลือทั้งสามจึงต่างหน้าถอดสี
ยามนี้เช่นกันที่ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ ว่าเหตุใดใต้เท้ากาดำจึงเตือนพวกตนให้ระวังชายหนุ่มจากตระกูลชุยโบราณเอาไว้
คนผู้นี้พิสดารจริงแท้!
ตู้ม!
สงครามยังคงดำเนินต่อไป
โยวเสวี่ยและเถี่ยเต๋าเหรินทะยานสู่ฟ้าแล้ว หนึ่งในนั้นขยับดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาราวเทพอัคคี ส่งเพลิงร้ายกาจดุจพวยพุ่งจากขุมนรกเข้าใส่
อีกหนึ่งยิ่งใหญ่ดุจเทพ แม้นางจะมือเปล่าไร้อาวุธ แต่มือของนางก็ฟาดฟันปราณดาบดำสนิททรงพลังออกมาไล่โจมตีเถี่ยเต๋าเหรินจนจิตใจยุ่งเหยิง
เถี่ยเต๋าเหรินรู้ดีว่าหากตนไม่ได้ใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาด้วยในครานี้ เขาคงพ่ายต่อสตรีผู้ล้ำเลิศร้ายกาจผู้นี้ไปแล้ว
กลับมาฝั่งนี้
วิหคกลืนวิญญาณทั้งหกร่วมมือกันโจมตีใส่จักรพรรดิที่เหลือเพียงสามอย่างบ้าคลั่ง ส่งอสนีบาตนรกผนึกมารถล่มฟ้าทลายแดนดินบ้าคลั่ง
ร่างของซูอี้วูบไหวพุ่งเข้าไปในสังเวียน
ในพริบตาเดียว ก็มีอีกหนึ่งศีรษะปลิดปลิว
เป็นชายชราผู้ถือค้อนทองแดงในมือ ท่าทีดุร้ายรุนแรง เขามีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง
ทว่าด้วยการโจมตีประสานของวิหคกลืนวิญญาณสองตัว เขาจึงไม่อาจต้านการลอบโจมตีของซูอี้ได้เลย
เมื่อเห็นศึกนองเลือดตรงหน้า หยวนหลินหนิงก็อดรู้สึกขมขื่นในใจไม่ได้
นางเองก็เป็นจักรพรรดิผู้ได้รับความเลื่อมใสชื่นชมจากคนทุกผู้ในโลกภายนอก เหมือนดั่งเทพในสายตาโลกหล้า
ทว่าครานี้ หยวนหลินหนิงค้นพบว่าลำพังเพียงพลังต่อสู้ของนาง ก็ไม่เข้าร่วมศึกอันยาวนานนี้ได้อย่างแน่นอน
เมื่อถูกบีบให้พัวพัน ไม่เพียงจะไม่ช่วย นางยังจะกลายเป็นตัวถ่วงซูอี้เสียอีก…
เช่นนี้หยวนหลินหนิงจะไม่เศร้าใจกับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้เช่นไร?
“ใต้เท้าซูแข็งแกร่งเหลือเกิน…”
ดวงตาของชายหนุ่มนามชิงมู่ทอประกายวาววับ เขาราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ชายหนุ่มผู้นี้ก็อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นกัน
ทว่านี่คือครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าโลกนี้ยังมีผู้ร้ายกาจเพียงนี้อยู่ในขอบเขตเดียวกับเขาด้วย!
“แข็งแกร่งหรือ…”
ชิงเถิงขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
ต้องทราบว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในคราก่อน การสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำนั้นง่ายดายดุจถอนหญ้า อย่าว่าแต่จัดการกลุ่มตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเลย
และวิธีการที่ซูอี้แสดง ณ ยามนี้อาจดูฝืนกฎสวรรค์สะท้านยุคสมัย ทว่าเทียบกับกาลก่อน เขายังด้อยลงไปมากด้วยซ้ำ!
ชิงเถิงจะไม่งุนงงกับความต่างเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
“หรือข่าวลือเลื่อนลอยที่ว่าใต้เท้าซูเวียนวัฏสงสารจะเป็นจริง?”
เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัว ชิงเถิงก็ตกตะลึงจนใจลอย
“ระวัง!!!”
ในสนามรบ จู่ ๆ หญิงชราชุดดำก็กรีดเสียงอย่างกระวนกระวาย
มีเพียงนางและจักรพรรดิอีกคนที่ยังหลงเหลืออยู่
เขาเป็นชายในชุดสีม่วง ผู้มีระดับฝึกฝนอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ แข็งแกร่งเหนือกว่าจักรพรรดิอื่นใดในกลุ่ม
ทว่ายามนี้ คนผู้นี้ถูกล้อมโจมตีโดยวิหคกลืนวิญญาณสี่ตัว และซูอี้ก็ได้ลอบโจมตีเขาจากด้านข้างแล้ว!
หญิงชราชุดดำไม่อาจเจียดเวลาไปช่วยได้
เพราะนางเองก็ถูกล้อมโจมตีโดยวิหคกลืนวิญญาณสองตัวเช่นกัน
“ตาย!”
ในขณะเดียวกัน เสียงไร้อารมณ์ของซูอี้ก็ดังขึ้น น้ำเต้าหยกที่ข้างเอวของเขาส่งเสียงดาบครวญ
ยามนี้ ชายชุดม่วงร่างสั่นอย่างรุนแรง จิตถูกสยบอย่างแรงเสียจนการเคลื่อนไหวยังเนิบช้าลง
ทันใดนั้นเอง ปราณดาบซึ่งดูราวน้ำตกจากธารดาราก็ฟาดลง
ตู้ม!
ร่างของชายชุดม่วงแหลก เลือดเนื้อปลิวไสว
ขณะเดียวกัน วิหคกลืนวิญญาณทั้งสี่ก็รุมเข้ามาฉีกร่างของชายชุดม่วงเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณของเขาอย่างตะกละตะกลาม
หนึ่งตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบตายลงกะทันหัน!
ภาพอันนองเลือดโหดร้ายนี้ทำให้สีหน้าของหญิงชราชุดดำซีดขาว ราวกับหวาดกลัวจับใจ
ทว่าสายเกินกว่านางจะหนีได้
วิหคกลืนวิญญาณทั้งสองไม่กลัวความตาย และแม้พวกมันจะบาดเจ็บสาหัส แต่พวกมันก็ยังคงตรึงการเคลื่อนไหวของนางไว้แน่น จนมิอาจหลีกหนีได้
ฉวยโอกาสนั้น ซูอี้และวิหคกลืนวิญญาณอีกสี่ตัวก็รุมเข้ามา
“จบแล้วชีวิตข้า…”
เมื่อเห็นเช่นนี้ แววตาของหญิงชราก็ดับแสง ดูสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง
ไร้อุบัติเหตุใดเกิดขึ้น
หญิงชราในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางผู้นี้ไม่อาจหยุดการล้อมโจมตีได้ และในที่สุดก็ถูกประหารทั้งยืน
ร่างกายและวิญญาณกลายเป็นมื้ออาหารของวิหคกลืนวิญญาณ
เพียงไม่ถึงชั่วครู่ จักรพรรดิหกคนผู้ติดตามเถี่ยเต๋าเหรินมายังเมืองเสี่ยวหมิงต่างถูกสังหารทันที!
ทว่าสถิตินี้ไม่อาจทำให้ซูอี้รู้สึกเหมือนทำสิ่งใดสำเร็จได้เลย
ด้วยพลังต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มน่าจะสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางได้หากประมือกันตัวต่อตัว
น่าเสียดายที่ศึกนี้มีจักรพรรดิมากมายเกินไป และยังมีตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบปะปนอยู่ เขาจึงไร้โอกาสได้ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเองอย่างเปรมปรีดิ์
แน่นอนว่าซูอี้ไม่ละอายเรื่องนี้
เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณอยู่ดี
เมื่อถูกล้อมโจมตีโดยหกจักรพรรดิและทำได้เช่นนี้ หากทัศนาทั่วโลกหล้า ต่อให้ย้อนอดีตจวบปัจจุบันก็เกรงว่าจะไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้!
…
กลิ่นโลหิตคลุ้งโชยตามวายุที่พัดพา
นอกจากหอทัศนาสวรรค์ที่ยังยืนยง บริเวณโดยรอบทั้งหมดต่างเละเทะราบคาบ
ศึกใต้นภาระหว่างเถี่ยเต๋าเหรินและโยวเสวี่ยยังคงดุดัน
ซูอี้เงยหน้าขึ้นและเลิกคิ้วเล็กน้อย
มองปราดแรกเขาก็เห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของโยวเสวี่ยเหนือชั้นกว่าเถี่ยเต๋าเหรินไปไกลโข
ทว่าดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาในมือเถี่ยเต๋าเหรินได้สร้างปัญหามากมายแก่โยวเสวี่ย ดังนั้นจวบจนยามนี้ นางจึงยังไร้หนทางทำลายศัตรูที่อ่อนแอกว่านางผู้นี้ลงได้
“ไป”
ซูอี้กระซิบ
ทันใดนั้น วิหคกลืนวิญญาณทั้งหกก็ทะยานสู่เวหา โบกคู่ปีกพุ่งเข้าหาเถี่ยเต๋าเหริน
ส่วนเรื่องที่สัตว์ร้ายเหล่านี้จะตายหรือไม่ ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจเลย
เหตุผลนั้นแสนง่าย
ด้วยพลังของคัมภีร์แห่งตี้ทิง แม้เขาจะสามารถคุมวิหคกลืนวิญญาณมาต่อสู้ได้ แต่อย่างมากก็ใช้ได้เพียงหกชั่วยาม
เมื่อกาลผันผ่าน วิหคกลืนวิญญาณเหล่านี้จะถูกหล่อหลอมกลายเป็นพลังทดแทนส่วนที่คัมภีร์แห่งตี้ทิงเสียไปโดยสมบูรณ์
หากไม่ใช่เพราะข้อจำกัดนี้ คัมภีร์แห่งตี้ทิงคงได้เป็นสมบัติอันร้ายกาจชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน
ลองคิดดูว่าหากยามปกติ เขาออกสะสมกักตัวตัวตนอันร้ายกาจเหล่านี้ไว้ในคัมภีร์แห่งตี้ทิงและปล่อยออกมาช่วยยามรบ ภาพที่เกิดจะน่าหวาดหวั่นเพียงไร?
ตู้ม!
วิหคกลืนวิญญาณหกตัวสยายปีกทะยาน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เถี่ยเต๋าเหรินผู้กำลังต่อสู้กับโยวเสวี่ยอดถอนใจคิดถอยทัพไม่ได้
ก่อนหน้านี้ การตายของเพื่อนร่วมสำนักนั้น เขาได้เห็นหมดแล้ว
และในสงครามกับโยวเสวี่ยนี้ เขาก็ไม่อาจถือข้อได้เปรียบใด ๆ และยังคงถูกปราบจนมุมอยู่
ยามนี้ เถี่ยเต๋าเหรินย่อมรู้ว่าหมดทางสู้ต่อ!
เขาตัดสินใจอพยพโดยไม่ลังเล
“เปิด!”
เถี่ยเต๋าเหรินตวาดลั่นราวฉีกนภา เขาพยายามสุดกำลังเพื่อเรียกใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเต็มที่
ตู้ม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ปะทุไล่ผ่านนภาดุจปฐพีถล่มคลื่นยักษ์ซัดสาด
วิหคกลืนวิญญาณสามตัวที่พุ่งเข้าหาเถี่ยเต๋าเหรินค้างนิ่งบนอากาศ และร่างของพวกมันก็ถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่านลอยละลิ่วกลางเวหาในทันที
และเมื่อเถี่ยเต๋าเหรินโจมตีเข้าใส่โยวเสวี่ย ร่างของนางก็สะท้าน รู้สึกถึงภัยคุกคามที่มุ่งเป้ามาที่นางได้
ทันใดนั้น…
ชิ้ง!
เสียงครวญดาบประหลาดพลันดังก้องดุจทำนองวิถีนอกผืนฟ้า เผยอำนาจดาบเหนือล้ำ
แม้ว่าเถี่ยเต๋าเหรินจะแข็งแกร่ง จิตของเขาก็ยังอดกระตุกไหว ร่างถูกพันธนาการจนไม่อาจดิ้นรน
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้เถี่ยเต๋าเหรินตื่นกลัวหน้าซีดขาว เขาลอบแผดเสียงว่าแย่แล้ว
ฉวยโอกาสนี้ โยวเสวี่ยไม่ลังเลที่จะใช้ไพ่ตายของตน
ฉัวะ!
ฝ่ามือและนิ้วเรียวขาวประทับตรา ภาพลวงของโคมไฟสำริดปรากฏเลือนราง ส่องแสงสลัวลวงตา
ก่อนที่มันจะลอยขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน
สงบแสงเทียนตราบกาล!
ความเป็นนิรันดร์เป็นดั่งห้องมืดที่มีเพียงหนึ่งแสงเทียนทอแสง
โลกหล้าพลันเงียบสงัด มีเพียงหนึ่งแสงสลัวปกคลุมท้องฟ้าดุจรัตติกาล
ร่างของเถี่ยเต๋าเหรินชะงัก ดวงเนตรเบิกโพลง ริมฝีปากสั่นระริก ก่อนจะรำพัน “วิถีสงบแสงเทียนแห่งเผ่าปีศาจงูสมคำร่ำลือจริงแท้”
“ทว่าผู้ที่ฆ่าข้าไม่ใช่เจ้า แต่เป็น…”
เถี่ยเต๋าเหรินก้มหน้าลงมองชายหนุ่มชุดเขียวผู้ยืนบนพื้น สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน จากนั้นเขาก็ดูราวเสียกำลังสิ้นร่าง รีดเค้นหนึ่งวาจาออกลอดไรฟัน
“เขา!!”