บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 917: ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว
ตอนที่ 917: ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว
เหตุที่ซูอี้ยอมทำเรื่องวุ่นวายมากมายในคืนนี้นั้นแสนง่าย
เพราะการฝึกฝนของเขาอ่อนแอเกินไป
การกวาดล้างขุมกำลังยักษ์ใหญ่เช่นวัดเสวียนหมิงนั้น คิดได้เพียงต้องยืมมืออำนาจจากภายนอกเท่านั้น
นี่ยังเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องยืม ‘คัมภีร์แห่งตี้ทิง’ จากผู้คุมรัตติกาลยามเมื่อมายังเมืองมรณะ
หลังจากเดินออกจากธารสุญโลหิตโกลาหล ซูอี้ก็พาพวกโยวเสวี่ยที่รออยู่ตรงสู่เมืองมืด
…
ในดินแดนรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบข้างมัวหมองเหงาหงอย
มีเพียงหนึ่งศิลาหลุมศพตั้งตระหง่าน
ศิลาหลุมศพนี้สูงสี่จั้งเก้าชุ่น เป็นสีดำปลอด ดูปกติธรรมดา
ทว่าในบริเวณที่ศิลาหลุมศพนี้ตั้งอยู่ บรรยากาศของมันดูขลังและจริงจังอย่างไม่อาจอธิบาย ทั่วโลกหล้าเงียบสงัด
ไกลออกไปสิบจั้ง
ตู้ม!
เสียงคำรามทึบ ๆ ดังลั่นขึ้นในโลกหล้าอันรกร้างเงียบสงัดนี้
ชายชุดดำผิวสีทองแดงร่างผอมบางผู้หนึ่งยกขาขวาก้าวไปเบื้องหน้าอย่างยากลำบาก
เมื่อฝ่าเท้าของเขาแตะพื้น พสุธาก็เลื่อนลั่นกัมปนาท
ร่างของเขาซัดเซรุนแรง จากนั้นจึงยืนอย่างมั่นคง
ทว่าหลังจากนั้นเขาก็หอบหายใจ ใบหน้าซูบตอบดูราวกับถูกสลักเสลาขึ้นด้วยมีดขวานซีดขาวล้ากำลัง
ดวงตาสีน้ำตาลเทาของเขาที่มองมายังศิลาหลุมศพห่างออกไปสิบจั้งตะลึงทึ่งอย่างช่วยไม่ได้
เขามีระดับฝึกฝนร้ายกาจเสียจนปราบจักรพรรดิขอบเขตเดียวกันได้ แต่กลับถูกสยบข่มเสียจนยากเคลื่อนไหว!
ไม่มีผู้ใดทราบว่าเพื่อเข้าใกล้ศิลาหลุมศพนี้ในรัศมีสิบจั้ง เขาต้องใช้เวลาเกือบเก้าปี!
ตลอดเก้าปีที่ผ่านมา เขาสิ้นความคิดและความพยายามทุกวิถีทางเพื่อไขปริศนาของศิลาหลุมศพนี้
เก้าปีมานี้ เขาเคลื่อนกายทีละก้าว และในที่สุดก็มีหวังเข้าใกล้ศิลาหลุมศพลึกลับนี้เสียที!
“ควรค่าแก่การเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มหาเทพมืดมิดองค์สุดท้ายในอดีตกาลทิ้งไว้ แม้กาลเวลาจะผันผ่านเพียงนี้ แต่ปราณของมันยังคงแข็งแกร่งจนชวนตัวสั่น”
ชายชุดดำถอนใจรำพึง
เขายืนนิ่งพลางหยิบน้ำเต้าสีม่วงทองออกมา เทโอสถอันเจิดจ้ากลืนลงในอึกเดียว และเริ่มหล่อหลอมมันอย่างสุดกำลัง
เขาไม่กล้านั่งลง
เพราะเมื่อเขานั่ง พลังมหาศาลที่เหนี่ยวรั้งร่างกายของเขาจะทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นได้อีก!
ในปีแรกหลังเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามนี้
เขาเดินทางในระยะทางสามพันจั้งด้วยการฝึกฝนของเขาเท่านั้น
ปีที่สาม เขาเดินทางได้เพียงพันจั้ง
เพราะยิ่งเข้าใกล้ศิลาหลุมศพนี้ แรงกดดันที่ต้องแบกรับก็ยิ่งมหาศาลทวีคูณ และยิ่งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ก็ช้าลงทุกที
…จนปีที่เก้านี้ เมื่อเขาเข้ามาในรัศมีสิบจั้งของศิลาหลุมศพ ทุกก้าวเดินของชายชุดดำก็ยากราวกับแตะผืนนภา!
ณ จุดนี้ เขาต้องยืมพลังของเม็ดโอสถเพื่อพยุงตัว
“จากสถานการณ์ มันห่างออกไปเพียงสิบจั้ง และต้องใช้ ‘โอสถทิพย์วิญญาณคืนชีพ’ กับเวลาอีกสามชั่วยาม ก่อนจะไปถึงศิลาหลุมศพได้”
ชายชุดดำคิดเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ
โอสถทิพย์วิญญาณคืนชีพ!
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งซึ่งบรรยายได้ว่าไร้เทียมทานในโลกหล้า แม้จะบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย เพียงกลืนลงสักเม็ด เขาก็จะสามารถงอกกระดูกโกงความตาย ฟื้นวิถีเต๋าสู่จุดสูงสุดได้
สมบัตินี้ไม่อาจประมาณค่าได้
ตัวตนจักรพรรดิคนไหนที่ได้มันไปจะถนอมมันเป็น ‘ไพ่ตายช่วยชีวิต’
“ทว่า หากสามารถทะลวงเคล็ดเวียนวัฏสงสารในศิลาหลุมศพได้ ทุกสิ่งก็คุ้มค่า”
ชายชุดดำสูดหายใจลึก ๆ คู่เนตรของเขามั่นคงขึ้นอีกครั้ง
เขารู้ดีกว่าใครในภูมิมืดมิดว่าศิลาหลุมศพอันปกปักษ์เมืองมรณะอยู่ก้อนนี้ทรงคุณค่าเพียงไร!
…
ดินแดนต้องห้ามเมืองมืด
เทียบกับดินแดนต้องห้ามอื่น ๆ ในเมืองมรณะแล้ว ความอันตรายของเมืองมืดล้วนซุกซ่อนอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าซึ่งอยู่ใต้เมือง
ในคุกอเวจีแต่ละแห่งมีพลังปีศาจมารชั่วร้ายอันสั่งสมทิ้งไว้นานแสนนาน
ยิ่งลงไปลึกเท่าไร ความแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่นก็ยิ่งทวีคูณ
เริ่มจากคุกอเวจีชั้นหก อำนาจชั่วร้ายของมันก็พอจะเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิแล้ว!
สำหรับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในโลกหล้า คุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดนั้นดุร้ายไร้ขอบเขต
การสำรวจมันไม่เพียงช่วยขัดเกลาเสริมแกร่งวิถีเต๋า แต่ยังได้รวบรวมชิ้นส่วนวิถีอันเก่าแก่หายากมากมายยามล่าปีศาจขจัดมาร
ทว่า เมื่อเส้นทางหยินหยางอันนำไปสู่เมืองมืดเสียหายร้ายแรง กระทั่งจักรพรรดิจึงไร้หวังบุกเข้าไป
และยังยากที่ยอดฝีมือซึ่งติดอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดจะหนีออกมาได้เช่นกัน
และคืนนี้ ในดินแดนต้องห้ามเมืองมืดกำลังเกิดมหาสงครามสะเทือนโลกา
ตู้ม!
ทั่วหล้าสะท้านสั่น ผืนดินเคลื่อนคล้อยสะเทือนไหว
ทัพวิญญาณร้ายเรียงรายทั่วทิศ ดูราวกระแสน้ำที่หลั่งทะลักสู่ดินแดนต้องห้ามแห่งเมืองมืด ปราณชั่วร้ายเป็นดั่งเมฆหมอกทมิฬบดบังนภาตะวัน
ดุจกองทัพผีร้ายจากขุมนรก!
ภายใต้ผืนนภา
แสงสว่างเจิดจ้าฟาดฟันขวักไขว่ ฉีกกระชากเวหา ส่องแสงสาดสู่นภาหล้า
เสียงคำรามของทั้งเทพเซียนและมวลมารสะท้านพิภพ
ศึกดำเนินดุเดือดน่าสยดสยอง
มีทั้งเหล่าจักรพรรดิทรงอำนาจคลุ้มคลั่งฆ่าฟัน
ทั้งเงาร่างยักษ์ของสัตว์ร้ายวูบไหวผ่านสุญญะ เพียงลมหายใจก็เพียงพอจะบดขยี้สิ่งรอบกายแหลกเละ
เป็นศึกเผชิญหน้าอันกลบรัศมีตะวันจันทรา ทำให้โลกหล้าตกสู่ความวุ่นวายโกลาหลดุจใกล้สูญสิ้น
ในศึกนั้น วิญญาณร้ายอันเทียบได้กับจักรพรรดิสิ้นลม เสียงกรีดร้องลั่นสะท้านโลกา
และยังมีจักรพรรดิผู้ถูกจับตัวได้ และคำรามอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
“กลับไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วก่อน จะให้พวกเขาถูกจำกัดทีละคนเช่นนี้ไม่ได้! หาไม่ เราคงไม่อาจหนีหายนะนี้พ้น!”
‘จอมดาบเสวียนหลิว’ เฟิงอวี่จือแห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่างซึ่งอยู่บนอากาศแผดเสียงลั่น
จักรพรรดิผู้สง่างามไร้ใดเทียบในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำผู้นี้กรำศึกหนัก อาภรณ์และเส้นผมกระเซอะกระเซิงเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต
และยังมีปีศาจมารร้ายมากกว่าสิบตนซึ่งเทียบได้กับจักรพรรดิ!
ในสนามรบนี้ อำนาจของนางร้ายกาจที่สุด
“อพยพ!”
ณ บริเวณอื่น ผู้อาวุโสสูงสุดอวิ๋นซงจื่อแห่งวังธารเหลือง หลูฉางหมิงแห่งโถงหลงลืมและจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำคนอื่น ๆ ลี้ออกไปจากสนามรบสู่ภูเขาอันตั้งเดียวดายไกลออกไปทันที
นั่นคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว
แต่เดิม มันคือทางเข้าสู่เมืองมืด
ตลอดทั่วเขาแห่งนี้มีอำนาจกฎเกณฑ์จากที่มาแห่งเมืองมรณะ ซึ่งสามารถสยบปีศาจมารวิญญาณร้ายทั้งหลายจากคุกอเวจีทั้งเก้าในเมืองมืดไม่ให้หลบหนีอยู่
และยามนี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วนี้กลายมาเป็น ‘สถานลี้ภัย’ หนึ่งเดียวของเหล่าจักรพรรดิ!
ทว่าระหว่างกลับสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว ยังมีจักรพรรดิสองคนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำซึ่งไม่อาจหนีทันและถูกจับตัวไปทั้งเป็น
ศัตรูของนางคือทูตรับใช้กาฬราตรีสามคน!
อำนาจของมารร้ายเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั่วไป และการโจมตีประสานของพวกเขานำมาซึ่งความทุลักทุเลยิ่งสำหรับนาง
ท้ายที่สุด นางก็ฝ่าวงล้อมออกมาได้โดยอาศัยอำนาจของสมบัติลับชิ้นหนึ่งที่นางมี และถอนตัวออกจากสนามรบกลับสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วโดยสวัสดิภาพ
ศึกแตกหักอันกินเวลาน้อยกว่าเสี้ยวชั่วยามนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้
“คราแรก เรามีจักรพรรดิยี่สิบคน ทว่ายามนี้ เหลือกันเพียงเจ็ดเสียแล้ว…”
อวิ๋นซงจื่อที่อยู่บนยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วรำพึงด้วยใบหน้าซีดขาว
เมื่อพวกเขาถอนกำลังออกมา ศึกจึงหยุดลงชั่วคราว ทว่ารอบ ๆ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว พวกเขาได้จัดทัพวิญญาณมารร้ายล้อมไว้หนาแน่นหมดแล้ว
จำนวนของพวกมันมากมายมหาศาล จนไม่อาจมองเห็นหางแถวได้ด้วยสายตา
ในหมู่พวกมันยังมีตัวตนอันแข็งแกร่งเทียบเท่าจักรพรรดิอยู่อีกมากมาย
และสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็คืออำนาจผู้ฝึกตนมารจากวัดเสวียนหมิง
และอีกาเก้ามืดมิดก็ยังอยู่ที่ทัพหลังของทัพวิญญาณร้าย!
ทั่วโลกหล้าโกลาหล สรรพสิ่งเหี่ยวเฉาไร้ชีวา
โลหิตและไอสงครามคุกรุ่นทั่วสนามรบ ทัพวิญญาณร้ายอหังการ แม้พวกมันจะไม่กล้าเข้าใกล้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว แต่ก็ปิดทุกทางหนีไว้เสร็จสรรพ
ภาพและบรรยากาศอันหดหู่หนาวสันหลังนี้สามารถทำให้จักรพรรดิใด ๆ ในโลกหล้ารู้สึกสิ้นหวังได้!
“เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ ความเปลี่ยนแปลงในเมืองมืดนี้คือกับดักแต่ต้นแล้ว!”
เฟิงอวี่จือกล่าวอย่างเย็นชา
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยน ในใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้ง
แต่เดิมคืนนี้ พวกเขาอยากจะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในเมืองมืดและพยายามช่วยเหลือสหายร่วมสำนักซึ่งติดอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าใต้เมืองมืดออกมา
จวบจนยามนี้ จักรพรรดิที่ติดค้างอยู่เหลือเพียงเจ็ดคน คนอื่น ๆ ต่างถูกยอดฝีมือจากวัดเสวียนหมิงจับไปหมดแล้ว!
หากยังไม่อาจแก้สถานการณ์ได้ พวกเขาจะถูกกวาดล้างแน่แท้
“หากรู้เช่นนี้ ข้าน่าจะเชื่อคำแนะนำของสหายเต๋าซูแต่แรก…”
หลูฉางหมิงพึมพำอย่างขมขื่น
“พี่หลู เจ้าหมายความเช่นไร?”
อวิ๋นซงจื่อถาม
คนอื่น ๆ เองก็มองมา
สีหน้าของหลูฉางหมิงแปรเปลี่ยนไปชั่วครู่ และสุดท้ายก็กล่าวว่า “เล่าตามจริง เมื่อคืนนี้ ยามที่ข้าอยู่ในเมืองหิมะสวรรค์ สหายเต๋าซูเคยเตือนข้าว่าการเปลี่ยนแปลงมหันต์ของเมืองมืดนี้แท้จริงเป็นกับดัก ดังนั้นจึงไม่ให้ข้าเข้ามาพัวพันที่นี่”
หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อว่า “ข้าคิดว่าหากเราขุมกำลังใหญ่ร่วมมือ ปัญหาทั้งหลายก็จะสามารถแก้ไขได้ จึงไม่ได้นำคำเตือนของสหายเต๋าซูมาใส่ใจ ทว่าใครเล่าจะคิด…”
“สหายเต๋าหลู ไฉนจึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า!!”
คนบางผู้กล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ขืนข้าบอกไป เจ้าคงไม่ยอมมาเมืองมรณะในยามนี้กระมัง?”
หลูฉางหมิงถามอย่างมีวาทศิลป์
คนทุกผู้เงียบเสียง หัวใจของพวกเขาปั่นป่วน
ทันใดนั้น เสียงชราวัยเสียงหนึ่งก็ดังมาจากไกล ๆ
“หากสหายเต๋าทั้งหลายคิดอยากทำให้เรื่องง่าย สงฆ์เฒ่าผู้นี้สามารถรับประกันชีวิตให้พวกเจ้าได้!”
เมื่อเสียงดังขึ้น ภิกขุซื่อเอ้อร์ในจีวรดำก็ปรากฏขึ้นบนอากาศที่อยู่ห่างไกลออกไป
เขากล่าวด้วยแววตาอ่อนโยนและรอยยิ้มสุภาพ “แต่หากยังดึงดันต่อสู้ ชะตาคงรอดยากแน่แท้!”