บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 918: พบเจอประจวบเหมาะ
ตอนที่ 918: พบเจอประจวบเหมาะ
ทั่วหล้าเงียบสงัดวังเวง
มีเพียงเสียงสุขุมของภิกขุซื่อเอ้อร์ก้องสะท้อน
สีหน้าของเฟิงอวี่จือ อวิ๋นซงจื่อและคนอื่น ๆ ต่างเปลี่ยนไป
“เราผู้ฝึกตนทิ้งชีวิตและความตายไปนานแล้ว หากต้องการให้เราก้มหัว คงคิดมากไปเองแล้วกระมัง”
เฟิงอวี่จือกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ภิกขุซื่อเอ้อร์ยิ้มน้อย ๆ “ไม่หรอก พวกเจ้าจะไม่ตาย วัดเสวียนหมิงของเราพยายามอย่างหนักก็เพื่อจับเป็นพวกเจ้า หากตายไปก็ไร้ประโยชน์สำหรับเรา”
เฟิงอวี่จือและคณะขมวดคิ้ว
แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายวาจาของภิกขุซื่อเอ้อร์ แต่ในใจของพวกเขาก็หนาววาบเมื่อคิดถึงเหล่าจักรพรรดิซึ่งถูกจับตัวไปในศึกก่อน
พวกเขาถูกจับเป็น นี่ย่อมหมายความว่าวัดเสวียนหมิงคิดทำอย่างอื่นกับพวกเขา!
“เรื่องมาถึงจุดนี้ สงฆ์เฒ่าจะไม่ปิดบังพวกเจ้า อำนาจกฎเกณฑ์บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วอาจสยบวิญญาณร้ายเหล่านั้นได้ แต่มันไม่เป็นภัยกับจักรพรรดิของวัดเสวียนหมิงเรา”
ภิกขุซื่อเอ้อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “และเหตุที่เราทำเพียงล้อมที่นี่ไว้ก็เพื่อเปิดทางรอดแก่พวกเจ้า จึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้จนตัวตาย”
“แต่หากยังดึงดันต่อต้าน ข้ากล้ารับปากว่าเพียงไม่กี่อึดใจ เราจะสามารถสยบภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วนี้และเอาชนะคนทุกผู้ได้!”
วาจานี้สะท้อนก้องสวรรค์สะท้านแดนดิน
สีหน้าของพวกเฟิงอวี่จือมืดมนลงทุกขณะ
“ทว่าขอเพียงเจ้าทำเช่นนั้น ย่อมต้องแลกมาด้วยราคาไม่เบา”
วาจาของเฟิงอวี่จือเย็นชา จิตสังหารทะยานสู่นภา
ภิกขุซื่อเอ้อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้น อีกาเก้ามืดมิดซึ่งอยู่หลังแนวทัพวิญญาณร้ายพลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าผู้นี้จะให้เวลาเจ้าคิดดี ๆ ครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นหากยังดึงดัน อย่าหาว่าข้าผู้นี้เสียมารยาทแล้วกัน”
ทัพวิญญาณร้ายแน่นขนัดทั่วสารทิศเตรียมพร้อมโรมรัน
ทั่วแดนดินใต้เวหา กลุ่มจักรพรรดิจากวัดเสวียนหมิงประจำการอยู่รอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว พวกเขาต่างแฝงด้วยจิตสังหาร
ภิกขุซื่อเอ้อร์พนมมือและไม่กล่าวอันใดอีก
โลกหล้าเงียบสนิท ทว่าบรรยากาศหดหู่ทำให้ผู้คนลืมหายใจ
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว
เฟิงอวี่จือและคณะมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ
“ทุกท่าน เราไม่จำเป็นต้องคิดเลย ข้าแน่ใจว่าหากถูกจับตัวได้ อย่างไรก็ตายแน่”
เฟิงอวี่จือกำดาบวิถีในมือ แววตาดุดัน “ในความเห็นข้า หากเราท่านทั้งหลายตายด้วยกันขณะละเลงเลือดศัตรูย่อมดียิ่งกว่า ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องตาย ลากพวกมันไปด้วยย่อมดี!”
‘จอมดาบเสวียนหลิว’ แห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่างผู้นี้ไม่สนใจเป็นตาย ทั้งยังขึงขังเปี่ยมพลัง
“ได้! ตามนั้นเลย!”
ทุกคนต่างเห็นด้วย
พวกเขารู้ดีว่าครานี้ตนเองคงไม่อาจรอดชีวิต
ทว่าไร้ผู้ใดยอมทิ้งชีวิตทั้งอย่างนั้น
จริงอย่างเฟิงอวี่จือว่า ต่อให้ต้องตายก็ต้องลากพวกมันไปด้วยบ้าง!
ไกลออกไปบนอากาศ ภิกขุซื่อเอ้อร์อดรำพึงมิได้ “ทุกท่าน ไฉนจึงยังดื้อรั้น?”
“ถึงพวกเจ้าจะอยากตาย แต่ข้าผู้นี้ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าสมหวังหรอก!”
อีกาเก้ามืดมิดแค่นเสียงเย็นชา กล่าวอย่างมาดร้าย “นักบวชสูงสุด เจ้า…”
ยังไม่ทันขาดคำ
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวก็ก้องมาจากไกล ๆ
เป็นเสียงของอารักษ์ผู้หนึ่งในวัดเสวียนหมิงผู้มีระดับฝึกฝนในขั้นกลางขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ซึ่งประจำการคุ้มกันรอบนอกของสนามรบนี้
กระทั่งวิญญาณร้ายนับร้อยพันในบริเวณรายล้อมเขายังได้รับผลกระทบ ร่างกายของพวกมันถูกแผดเผากลายเป็นธุลีไปด้วย
ภาพนี้ก่อความวุ่นวายขึ้นทันที
สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองตาม
และพบกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งทะลวงฝ่ามาจากไกล ๆ
ผู้นำเป็นชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่ง สองมือไพล่หลังเดินเอ้อระเหยอยู่ในสนามรบกว้าง ทั้งที่กำลังเผชิญหน้ากับทัพวิญญาณร้าย ทว่าเขากลับมีท่าทางราวเดินเล่นในสวน
“นั่นเขา!”
“สหายเต๋าซู!”
“เขา… มาที่นี่ได้เช่นไร?”
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นหลูฉางหมิงและอวิ๋นซงจื่ออดแปลกใจไม่ได้
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างเตรียมการสู้ยิบตาจนตัวตาย
สิ่งนี้เกินจินตนาการของหลูฉางหมิงไปโดยสิ้นเชิง
ควรค่าจดจำว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์รบอันโหดร้ายรุนแรงนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย หากแทนที่ด้วยตัวตนจักรพรรดิใด ๆ ในโลกหล้าก็เกรงว่าคงลี้หลีกไปไกล ไร้ผู้ใดกล้าเข้ามาผสมโรง
ทว่าโชคร้ายที่ครานี้ ผู้มาเยือนคือซูอี้ ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
“มันต่างอันใดกับการโยนตัวเองสู่ร่างแหกัน…”
สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งส่ายหน้ารำพัน
ความกล้าหาญของชายหนุ่มนั้นน่าประทับใจและน่าตกตะลึง
ทว่าการกระทำของเขาไม่ส่งผลดีแก่ผู้ใด และพวกเขาคิดว่ามันไม่ต่างกับการมาตายด้วยกัน
เพราะถึงอย่างไร ในมหาสนามรบไพศาลนี้ มีทั้งปีศาจมวลมารมากมาย อีกาเก้ามืดมิด อารักษ์มากกว่าสิบ และยังมีทูตรับใช้กาฬราตรีอีกสามจากวัดเสวียนหมิง!
นอกจากนั้นยังมีมารร้ายบางตนที่กล่าวได้ว่าเป็นเจ้าประจำดินแดนต้องห้ามแห่งเมืองมรณะอยู่ด้วย!
ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณหรือ?
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น อย่าลืมเสียว่าสหายเต๋าซูเป็นผู้มีอำนาจต่อสู้แข็งแกร่ง กระทั่งบรรพชนของข้าม่ออู๋เหินยังให้เกียรติเขา และยังถูกมองเป็น ‘สหายเก่า’ โดยผู้คุมรัตติกาลแห่งเมืองหิมะสวรรค์ เขาจะเป็นคนธรรมดาไปได้เช่นไร?”
หลูฉางหมิงกล่าวอย่างจริงจัง “ยิ่งกว่านั้น คุณชายซูยังไม่ใช่คนหุนหันไม่รู้จักถนอมชีวิต ในเมื่อเขากล้ามา เขาต้องมั่นใจ!”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทั้งอวิ๋นซงจื่อและเฟิงอวี่จือต่างครุ่นคิดหนัก
ในขณะเดียวกัน ในสนามรบอันกว้างใหญ่ อีกาเก้ามืดมิด นักบวชสูงสุดและสัตว์ประหลาดเฒ่าจากวัดเสวียนหมิงต่างก็เห็นซูอี้และคณะของเขา
“ไอ้หนูจากตระกูลชุย ในที่สุดก็มาจนได้! ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่นานแล้ว!”
คู่เนตรสีเลือดของอีกาเก้ามืดมิดเปี่ยมจิตสังหารและความอาฆาตแค้น
ทั่วพื้นที่ลุกฮือ
หลูฉางหมิงและคณะต่างตะลึงอึ้ง เห็นได้ชัดว่าวิหคอัปมงคลนี้รู้จักซูอี้อยู่ก่อนแล้ว แต่มันกลับเรียกเขาเป็นคนจากตระกูลชุย ซึ่งคงเป็นความเข้าใจผิด
“เด็กนั่นหรือที่สังหารนักบวชลำดับสามแล้วชิงดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาไป?”
“ไม่ เป็นสตรีข้าง ๆ เขา!”
“อย่างนี้เอง…”
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากวัดเสวียนหมิงต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือ
โลกหล้าปั่นป่วนไปชั่วขณะ สารพัดอำนาจร้ายกาจผันผวนก่อกวน ครอบคลุมไปทั่วร่างของซูอี้และคณะของเขา
ซูอี้เมินเฉยเรื่องนี้และก้าวไปข้างหน้า
“หยุดนะ!”
กลุ่มมารร้ายพุ่งเข้ามาขวางเบื้องหน้า
คู่เนตรพร่างดาวของโยวเสวี่ยเย็นชา จากนั้นนางก็สะบัดมือออก
ฟิ้ว!
ปราณดาบสีดำยาวพันจั้งพุ่งแหวกนภาฟาดฟันลง
โลกหล้าดุจผ้าใบอันถูกตัดตรงแบ่งครึ่ง
ไม่อาจทราบได้ว่ารอยผ่านั้นสลายวิญญาณร้ายไปมากเพียงไรในพริบตา
ตู้ม!
เมื่อปราณดาบแตะพื้น มันก็ผ่าพิภพเป็นรอยแยกยาวหลายพันจั้งในบัดดล ฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย รอยแยกทั้งสองข้างไร้วิญญาณร้ายใด ๆ หลงเหลือ
ช่างง่ายดายราวขีดเส้นลากข้าม!
อำนาจต่อสู้ร้ายกาจทำให้เปลือกตาของสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายกระตุกยิบ
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลังและเดินต่อไม่หยุดฝีเท้า
“ไม่รู้จักรักษาชีวิตเสียแล้ว!”
เสียงเย็นชามืดหม่นดังก้องขึ้น
เป็นเสียงของชายร่างผอมดุจแท่งไม้ไผ่ในอาภรณ์สีทองผู้พร้อมก้าวเข้ามาสังหารเขา
“ช้าก่อน!”
จู่ ๆ อีกาเก้ามืดมิดก็กล่าวขึ้น “ข้าไม่เคยพบพานไอ้โง่ที่โยนตัวเองติดร่างแหเช่นนี้มาก่อน โปรดหลีกทางให้เขาที!”
เสียงกังวานของมันสะท้อนทั่วโลกา
ทันใดนั้น ทัพวิญญาณร้ายมหาศาลเบื้องหน้าซูอี้ก็แหวกทางออก
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากวัดเสวียนหมิงผู้เตรียมลงมือยืนสงวนท่าทีมองมาอย่างเย็นชา
ยามนี้ หลูฉางหมิงผู้ไม่อาจสงบใจได้กล่าวอย่างร้อนรน “สหายเต๋าโปรดรีบหนี อย่าเข้ามาใกล้นะ!”
ใครเล่าจะไม่รู้ว่า ขอเพียงซูอี้มาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว เขาจะต้องติดในวงล้อมนี้เหมือนเช่นพวกเขา?
ไม่ต่างจากสอดตัวเองเข้ามาตายเลย
“ที่แห่งนี้มิใช่ถ้ำเสือรังมังกร ไฉนเลยจึงอยากหนี?”
ในที่สุดซูอี้ก็กล่าวขึ้นอย่างสุขุม “ยิ่งกว่านั้น ข้ามาที่นี่ก็เพื่อไปยังคุกอเวจีทั้งเก้าใต้เมืองมืด ข้าย่อมต้องไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วก่อน”
ทุกคน “…”
ไม่มีผู้ใดคิดฝันว่าแม้สถานการณ์จะร้ายแรง แต่ซูอี้ยังคิดไปคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดอีก!
เขาเมินเหล่ายอดฝีมือจากวัดเสวียนหมิงไปเสียสนิท!
อีกาเก้ามืดมิดเองก็ผงะไปชั่วครู่ เกือบคิดว่ามันฟังผิด
ทันใดนั้น มันก็อดโก่งคอหัวเราะใส่ฟากฟ้าไม่ได้ “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ เจ้าเด็กนี่มายังที่แห่งนี้ และคิดจะไปเมืองมืดอีก! ฮ่า ๆๆ”
มันหัวเราะลั่น
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากวัดเสวียนหมิงต่างหัวเราะขบขันเช่นกัน
ราวกับพวกเขาได้ยินเรื่องตลกที่สุดในโลก
บรรยากาศซึ่งเดิมเย็นเฉียบบีบหัวใจกลับครึกครื้นขึ้นมาอย่างแปลก ๆ
ซูอี้ทำราวไม่ได้ยิน สีหน้าของเขายังคงเฉยเมยเยี่ยงก่อน
โยวเสวี่ยขมวดคิ้ว
สารเลวพวกนี้ เกรงว่าคงยังไม่รู้อีกว่ากำลังเผชิญตัวตนร้ายกาจเพียงไรอยู่
สีหน้าของหยวนหลินหนิงเองก็พิกลเล็กน้อย
ยามนี้นางเดินตามหลังซูอี้ผ่านทะเลวิญญาณร้ายอันไพศาล ไม่ได้ลนลานแม้แต่น้อย
รู้สึกกระทั่งท่าทีหัวร่องอหายของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าตลกดีเอาการ
จนกระทั่งซูอี้และคณะของเขามาถึงยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว เฟิงอวี่จือ หลูฉางหมิงและคนอื่น ๆ ก็มาหาพวกเขาทันที
“สหายเต๋า ขอบคุณที่เข้ามาช่วยเหลือ!”
เฟิงอวี่จือสงบใจโค้งหัวลง
คนอื่น ๆ ต่างก็คำนับเช่นกัน
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แต่ซูอี้และคณะยังคงเข้ามาช่วยประหัตประหารอย่างเด็ดเดี่ยว ใครเล่าจะอยู่เฉยได้?
ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อย “ยินดี ข้าเพียงแค่มาพบเจอประจวบเหมาะเท่านั้น”
เขาเคยรับปากผู้คุมรัตติกาลเรื่องที่จะกวาดล้างวัดเสวียนหมิง
และยังเคยบอกให้อีกาเก้ามืดมิดล้างคอรอเขาที่นี่
การช่วยเหลือคณะของเฟิงอวี่จือนั้นประจวบเหมาะโดยแท้
เพราะยามมา กระทั่งเขายังไม่คาดว่าเหล่าจักรพรรดิจากโลกภายนอกจะตกอยู่ในสภาวะคับขันเช่นนี้