บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 92 ยอดทหารพยัคฆ์เกล็ดแดง พรสวรรค์ของราชา
“ไม่รู้เลยว่าจะรับเนื้อหาทั้งหมดของบทแท้จริงอรุณวิญญาณจากเขาได้อย่างไร”
หลังจากนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ชิงจินก็ถอนหายใจอย่างเสียศูนย์
“อาชิงจิน ซูอี้พูดอะไรบ้าง?”
ไม่ไกลนัก โจวจือหลีมาพร้อมกับจางตั้วและองครักษ์อีกสี่คน
“เขาน่าจะไม่พอใจที่ข้าปฏิเสธเขา”
แม้จะรู้สึกอยากได้เนื้อหาของบทแท้จริงอรุณวิญญาณ สีหน้าของนางก็ยังสงบนิ่งดั่งทะเลสาบ
ในความคิดของนาง เบื้องหลังนางคือสำนักที่ทรงอำนาจมากพอจะสั่นคลอนแผ่นดินต้าโจว
ผู้อาวุโสหลายคนคอยสั่งสอนดูแลนางอย่างดี
นางจึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาตนได้อย่างราบรื่นต่อไปแม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากซูอี้!
“เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นสุดลง เราจะหาโอกาสพบเจอกับซูอี้ผู้นี้อีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรข้าจะช่วยอาหญิงต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา”
โจวจือหลีกล่าวถ้อยจริงจัง
“แม้เขาจะยังดูเยาว์ แต่ภายในแท้จริงหยิ่งยโสเหนือล้ำ ครั้งนี้ข้าไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขของเขา เกรงว่าคงทำให้เขารู้สึกไม่ดีภายในใจ หากเจ้าไปพบเจอเขาอีกครั้ง ไม่มีทางที่เจ้าจะทำสำเร็จ กลับกันเขาจะยิ่งดูแคลนมากกว่าเดิม”
ชิงจินยืดเอวบางของตนเอง กล่าวถ้อยคำเกียจคร้าน “ถึงอย่างไรเสีย เราทุกคนล้วนติดหนี้บุญคุณเขา หากเขาประสบปัญหาใดในมหานครอวิ๋นเหอ เราจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”
สิ้นเสียง นางก้าวออกไปด้านหน้าทันที
…
“คุณชายซู เมื่อวานข้าได้รับนกส่งสารจากนายของข้า เขาขอให้ข้าขอบคุณท่านอีกครั้ง”
จางอี้เหรินมาพบซูอี้เป็นการส่วนตัว ถ้อยคำสุภาพกล่าวออก “และนายท่านยังบอกอีกว่า เขาจะมามหานครอวิ๋นเหอในเร็ววันนี้เพื่อรับสมัครคนหนุ่มสาวจากสำนักดาบชิงเหอมาเข้าร่วมกองทัพเกราะเขียว ในเวลานั้น เขาอาจใช้โอกาสมาพบท่านเป็นการส่วนตัว”
ก่อนที่ซูอี้จะกล่าวสิ่งใด หวงเฉียนจวินกล่าวออกอย่างประหลาดใจ “ท่านโหวยุทธ์วิญญาณเฉินเจิ้งกำลังมายังมหานครอวิ๋นเหอเพื่อรับสมัครกองกำลังอย่างนั้นหรือ?”
จางอี้เหรินพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น กองทัพเกราะเขียวของเราเกณฑ์คนหนุ่มเลือดร้อนทุกปีเพื่อเสริมพลังความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ”
หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะเผยความปรารถนาอันแรงกล้า กล่าวออกอย่างตื่นเต้น “ตั้งแต่เป็นเด็กความปรารถนาสูงสุดของข้าคือการได้ต่อสู้ในสนามรบ ยิ้มเย้ยให้เหล่าปีศาจกระหายเลือด หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าเองก็อยากจะลองดูสักครั้ง”
จางอี้เหรินหัวเราะเสียงดัง “ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าเชยชมของต้าโจว! หากการจากลาไม่ใกล้เข้ามา ข้าคงเชิญเจ้ามาร่วมร่ำสุราด้วยกัน!”
หวงเฉียนจวินยิ้มรับ
หยวนลั่วซีมองซูอี้ด้วยดวงตาคู่งาม ปากเอ่ยคำเบาว่า “คุณชายซู ท่านจะไปอาศัยอยู่ที่ใดหลังจากเข้าเมืองแล้ว?”
ซูอี้หวนคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบ “ลึกเข้าไปในถนนต้นหลิว”
“สถานที่นั้นคือที่แห่งใด?”
หยวนลั่วซีถามเฉิงอู้หย่งอย่างนึกสงสัย
เฉิงอู้หย่งเผยความไม่แน่ใจ “หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าย่านถนนต้นหลิวคือ… ชุมชนแออัดที่คนยากไร้รวมตัวกัน ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง…”
สถานที่คนยากไร้รวมตัวกัน?
หยวนลั่วซีตกตะลึงชั่วขณะ
แต่นางมีไหวพริบพอที่จะไม่ถามไถ่สิ่งใดอีก เพียงจดจำชื่อสถานที่ไว้ในใจ
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น น้ำเสียงหนักแน่นราวกับเหล็กกล้าดังจากท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำต้าฉาง
“ลั่วซี ผู้อาวุโสเฉิง พวกเรามาแล้ว!”
บนท่าเรือที่มีคนสัญจรอย่างหนาแน่น ปรากฏกลุ่มคนดูสะดุดตา ผู้คุ้มกันนับร้อยยืนเรียงท่าทีน่าเกรงขาม พร้อมกับม้าประจำกายดูสง่างาม
ด้านหน้าพวกเขา มีสตรีผู้เลอโฉมยืนอยู่ ท่าทีเงียบขรึมและสง่างามยิ่ง
ผมสีดำขลับมวยยกขึ้น คอยาวระหง เอวเรียวบาง ทั้งร่างกายเปล่งประกายราวกับหยกที่ถูกแกะสลักตามกาลเวลา
ผู้ที่กล่าวถ้อยคำเมื่อครู่ เป็นชายหนุ่มด้านข้างหญิงงาม
บุรุษผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้างเอวแคบ สวมชุดนักรบ รัศมีรอบกายทั้งกล้าหาญและดุดัน ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่นั่น
“เหตุใดท่านแม่และท่านพี่จึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
หยวนลั่วซีประหลาดใจ
“บุตรสาวเดินทางหลายพันลี้ มารดาของท่านจึงเป็นกังวล แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ นายน้อยรองก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่ใช่ว่านายน้อยกำลังฝึกอยู่ในกองกำลังเกล็ดแดงหรือ?”
เฉิงอู้หย่งเอ่ยออกเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่ม
ส่วนสตรีผู้งดงามคนนั้นก็คือมารดาของหยวนลั่วซีนามว่าเหลิ่งอวี้ชิว ซึ่งเป็นภรรยาเอกของผู้นำตระกูลหยวนคนปัจจุบัน ถัดจากนางคือพี่รองของหยวนลั่วซี นามว่าหยวนลั่วอวี่!
ในมหานครอวิ๋นเหอ หยวนลั่วอวี่เป็นผู้คลั่งไคล้การบ่มเพาะ ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่หาใครเปรียบได้ยาก
ครั้งอายุได้สิบสามปี ด้วยหมัดคู่อันแข็งแกร่ง เขาจึงเอาชนะเหล่าคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหยวนจนราบคาบ เห็นชัดได้ถึงความสามารถอันแพรวพราว
เมื่ออายุได้สิบห้าปี หยวนลั่วอวี่ก็ถูกส่งไปยังกองกำลังเกล็ดแดงภายใต้การบัญชาของจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เชินจิ่วซงเพื่อฝึกฝน เวลาผ่านไปจนอายุสิบเจ็ดปี เขากลายเป็นแม่ทัพกองกำลังเกล็ดแดงที่อายุน้อยที่สุด
จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงยังยกย่องเขาว่าเป็น ‘ยอดนักรบพยัคฆ์เกล็ดแดง พรสวรรค์ระดับราชา’!
“อาหย่ง อย่าลืมที่สัญญากันไว้” หยวนลั่วซีเอ่ยกระซิบคำเบาในทันใด
ดวงตาเฉิงอู้หย่งแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เมื่อคืนที่ผ่านมา หยวนลั่วซีกล่าวว่านางไม่ต้องการให้ตระกูลและคนใกล้ตัวรู้เรื่องราวเกี่ยวกับซูอี้ และขอให้เฉิงอู้หย่งปิดปากให้สนิท
ส่วนเหตุผลนั้นคือ หยวนลั่วซีกังวลว่าทุกคนจะพยายามรบกวนซูอี้หลังรับรู้ถึงความสามารถอันยอดเยี่ยม ในกรณีนั้น สิ่งที่คาดเดาไม่ได้อาจจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ นางยังแอบมีความเห็นแก่ตัว โดยไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูอี้เปลี่ยนไปเพราะการแทรกแซงของตระกูล
เฉิงอู้หย่งเข้าใจอุปนิสัยบางอย่างของซูอี้ เขารู้ว่าคุณชายซูผู้เหนือล้ำ แม้จะมีอารมณ์เรียบเฉยดั่งลำธาร แต่แท้จริงแล้วลึกลงไปเขาแสนจะเย่อหยิ่ง
หากถูกทดสอบโดยอำนาจของตระกูลหยวน มีความเป็นไปได้สูงที่จะกระตุ้นความเกลียดชังและการปฏิเสธจากเขา
ดังนั้นเฉิงอู้หย่งจึงนำเรื่องนี้ไปคิดทบทวนอยู่นาน แล้วจึงตอบตกลง
แต่ใจหนึ่งเขารู้ดีว่าไม่อาจซ่อนเร้นได้ตลอดไป
ตราบใดที่ตระกูลหยวนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองกว่างหลิงหรือสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือโดยสาร ย่อมสามารถค้นพบได้ง่ายดาย
“ผู้บัญชาการจาง ข้าขอตัวก่อน”
ในเวลานี้ เมื่อสังเกตเห็นครอบครัวของหยวนลั่วซีรออยู่แล้ว ซูอี้จึงโค้งคำนับให้จางอี้เหรินและตัดสินใจกล่าวคำลา
“ภูเขาคงตระหง่าน สายน้ำมิหยุดไหล คุณชายซูโปรดรักษาตัว!”
จางอี้เหรินโบกมือและเผยยิ้มกว้าง
ซูอี้พยักหน้ารับ หันกลับมุ่งหน้าลงเรือ
หยวนลั่วซีและคนอื่นเดินตามใกล้ชิด
กระทั่งลงมาถึงท่าเรือ หยวนลั่วอวี่ก็พูดขึ้นด้วยความเคืองโกรธ “ลั่วซี! เจ้าไม่เห็นหรือว่ามารดาและข้ารออยู่ เจ้าอืดอาดอยู่นานเช่นนั้นได้อย่างไร ประเดี๋ยวเถอะ หากข้ายังใจร้อนเหมือนก่อน ป่านนี้ข้าตีเจ้าก้นลายไปแล้ว”
แม้กล่าวถ้อยคำเช่นนั้น ทว่ารอยยิ้มยังคงแฝงอยู่ในดวงตาทั้งสอง
“ใครใช้ให้เจ้ารอเล่า?”
หยวนลั่วอวี่กลอกตา น้ำเสียงเดือดดาล “ทั้งยังพาคนมาด้วยมากมาย ไม่คิดว่าเป็นการโอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ?”
สิ้นเสียง นางหันหลังกลับไปโอบแขนรอบตัวเหลิ่งอวี้ชิวผู้เป็นมารดา ปากกล่าวออกด้วยรอยยิ้มเบิกกว้าง “ท่านแม่ คงคิดถึงข้ามากใช่หรือไม่?”
ดวงตาเหลิ่งอวี้ชิวเกิดริ้วแดง แต่น้ำเสียงเย็นชาตำหนิออก “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว แอบหนีออกจากมหานครอวิ๋นเหอ หากเกิดสิ่งใดขึ้นมา ข้าจะอธิบายกับพ่อเจ้าว่าอย่างไร?”
หยวนลั่วซีแลบลิ้นท่าทีซุกซน กล่าวออกไม่ใส่ใจ “ข้ากลับมาโดยไม่ได้รับอันตรายใด ท่านอย่ากังวลเลย”
เหลิ่งอวี้ชิวเหลือบมองไปยังซูอี้และหวงเฉียนจวิน พลันเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสเฉิง นายน้อยสองคนนี้เป็นใครหรือ?”
ขณะที่รออยู่ที่ท่าเรือ นางสังเกตเห็นว่าหยวนลั่วซีและซูอี้สนทนากันอยู่นาน
นอกจากนี้ซูอี้ยังเยาว์และหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสุขุมดูมีภูมิฐาน จะไม่ให้นางสนใจได้อย่างไร?
เฉิงอู้หย่งกล่าวออกเคร่งขรึม “รายงานต่อนายหญิง นี่คือคุณชายซู และนี่คือนายน้อยหวง ก่อนกลับมาเราเดินทางไปยังสันเขามารดาภูตผีแห่งเมืองกว่างหลิง ข้าและคุณหนูได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสอง ภัยอันตรายทั้งหลายที่เกิดขึ้นจึงได้รับการแก้ไขด้วยดี”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เฉิงอู้หย่งกล่าวต่อ “ครั้งนี้พวกเขาต้องการเยี่ยมชมมหานครอวิ๋นเหอ จึงได้เดินทางร่วมกับเรา”
กลับกลายเป็นว่ามาจากสถานที่ขนาดเล็กอย่างเมืองกว่างหลิง
ดวงตาเหลิ่งอวี้ชิวกลายเป็นไม่แยแส สงวนท่าทีกล่าวออกคำเบา “ผู้อาวุโสเฉิง ได้ขอบคุณนายน้อยทั้งสองแล้วหรือยัง?”
เฉิงอู้หย่งกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “นายหญิงอย่ากังวล ข้าไม่มีทางลืมความกรุณาและบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของนายน้อยทั้งสอง”
หยวนลั่วอวี่มองไปยังซูอี้และหวงเฉียนจวิน ทันใดก็พูดด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
“สหายทั้งสองช่วยเหลือลั่วซี นับเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหยวน หากประสบปัญหาในมหานครอวิ๋นเหอในภายภาคหน้า สามารถอ้างถึงชื่อตระกูลเรา ข้าเชื่อว่ามันจะช่วยเหลือได้บ้าง”
ถ้อยคำเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ
แต่ถ้อยคำเหล่านี้เอง ทำให้เฉิงอู้หย่งและหยวนลั่วซีรู้สึกผิด พวกเขาหันมองซูอี้และหวงเฉียนจวินอย่างขอโทษ คล้ายกับบอกว่าอย่าได้สนใจสองคนนี้เลย
ซูอี้ยิ้มเล็กน้อยและไม่คิดนำมาใส่ใจ
ส่วนหวงเฉียนจวินเอาแต่ตกตะลึงกับเหล่าคนคุ้มกันของตระกูลหยวนที่มารอรับหยวนลั่วซี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับรู้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
“ดึกแล้ว พ่อเจ้ากำลังรออยู่ที่บ้าน เรากลับกันเถิด”
เหลิ่งอวี้ชิวจับแขนหยวนลั่วซีพลางเอ่ยเสียงเบา
หยวนลั่วอวี่ขึ้นหลังม้าและตะโกน “เตรียมตัว!”
ทหารองครักษ์หลายร้อยที่กำลังรออยู่รอบบริเวณพลันเคลื่อนไหว จัดระเบียบแถวอย่างยิ่งใหญ่จนทำให้ผู้คนมากมายที่ท่าเรือล้วนประหลาดใจ
สำหรับซูอี้และหวงเฉียนจวิน คล้ายกับพวกเขาถูกลืมไปแล้ว
รับชมกลุ่มคนน่าเกรงขามเดินผ่านท่าเรือ กระทั่งหายเข้าไปในประตูเมืองในระยะไกล หวงเฉียนจวินขมวดคิ้วราวกับเพิ่งหวนนึกบางสิ่งได้
“พี่ซู เหตุใดคุณหนูหยวนและผู้อาวุโสเฉิงจึงดูเฉยเมยเช่นนั้น คล้ายกับจงใจที่จะไม่แนะนำตัวตนของเรา?”
ซูอี้กล่าวตอบ “หากตระกูลหยวนล่วงรู้ว่าข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตหยวนลั่วซี เจ้าคิดว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร?”
“แน่นอนว่าถือเป็นแขกผู้มีเกียรติ!”
หวงเฉียนจวินตอบกลับอย่างไม่ลังเล แต่แล้ว ราวกับนึกเรื่องราวบางอย่างได้ออก เขาเอ่ยต่อด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไม่สิ ยิ่งพี่ซูสร้างผลงานยิ่งใหญ่ พวกเขาคงจะยิ่งระวังตัวมากขึ้น พวกเขาคงไม่เชื่อในทันทีทันใดอย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง หยวนลั่วซีกำลังทำสิ่งนี้ด้วยความตั้งใจอันดี นางต้องกังวลว่าหากบอกกล่าวเรื่องราวไป ตระกูลหยวนคงอดไม่ได้ที่จะทดสอบเรา ในกรณีนั้น ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ซูอี้ชี้ไปยังชายฝั่งไม่ไกลพลางกล่าวออก “ดูเถิด ชาวประมงชราที่อยู่ตรงนั้นเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ที่แฝงตัวอยู่”
หวงเฉียนจวินหันมองทันที แลเห็นชายชราคนหนึ่งสวมหมวกไม้ไผ่ เขายืนเท้าเปล่าอยู่บนชายฝั่ง ขณะก้มตัวล้างอวนปลาที่ชำรุด ใบหน้าชราซูบผอมและหม่นหมองเต็มไปด้วยร่องรอยของอายุ
“ไม่มีทาง!” หวงเฉียนจวินขมวดคิ้ว
ซูอี้ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
ทว่าหวงเฉียนจวินดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง แล้วจึงถอนหายใจและกล่าวว่า “พี่ซูพูดถูกแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่ท่านพูด นับประสาอะไรกับเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลหยวน”
ซูอี้กล่าวออกท่าทีสบาย “จำประโยคข้าไว้ ไม่ว่าโลกของปุถุชนหรือโลกแห่งผู้บ่มเพาะ ความแตกต่างทางวิสัยทัศน์ อำนาจ และสถานะ ล้วนถูกกำหนดให้นำไปสู่อคติและความขัดแย้ง”
หวงเฉียนจวินแสดงท่าทีนับถือ กล่าวคำออก “คำสั่งสอนของพี่ซู ข้าจะจารึกไว้ในใจและไม่มีวันลืมเด็ดขาด!”
ซูอี้พลันหัวเราะเสียงดัง “เรียนรู้ง่ายกว่าลงมือ รู้มากไปก็เท่านั้น ตราบใดที่แข็งแกร่งพอ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้เลย”
ท้ายที่สุด เขาก็วางมือไพล่หลังเดินไปด้านหน้า
หวงเฉียนจวินรีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่า ชายชราสวมหมวกไม้ไผ่ที่กำลังล้างอวนอยู่นั้นเผยสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าดำคล้ำ
ชายหนุ่มเสื้อคลุมเขียว มองออกถึงตัวตนของข้างั้นหรือ?