บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 927: ยมบาล!
ตอนที่ 927: ยมบาล!
เมื่อขนนกคู่ชีพของอีกาเก้ามืดมิดลุกไหม้ คลื่นประหลาดไร้รูปร่างพลันพาดผ่านค่ายกลบวงสรวงโลหิตประหนึ่งระลอกคลื่นไหลสู่นภาโกลาหลที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีดำ
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวสีหน้าเปลี่ยน มันรู้สึกหวาดเกรงขึ้นมาอย่างประหลาด
ลึกเข้าไปในนภาโกลาหล ราวกับมีกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวตื่นขึ้นจากความเงียบสงัด เพียงแค่ทำท่าจะตื่นขึ้นเท่านั้น ก็รู้สึกใจสั่นสะท้านแล้ว
ครืน!
หมอกสีดำพุ่งโขมง ผืนแผ่นดินในบริเวณนั้นสั่นสะเทือน อัสนีสีเลือดราวกับกิ่งไม้ขนาดใหญ่ฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เหตุใดกลิ่นอายพลังของยมบาลถึงยังน่ากลัวได้เพียงนี้ หรือว่า… เขาจะเป็นเทพจริง ๆ?”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวกลืนน้ำลายฝืด มือเท้าเย็นไปหมด
ครืน!
ดูเหมือนพลังกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดที่ปกคลุมไปทั่วนภาโกลาหลจะรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว จึงเริ่มกดดันการตื่นของกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวนั้น
ชั่วครู่เดียว บนฟากฟ้าของนภาโกลาหลปรากฏสายฟ้าฟาด หมอกดำคละคลุ้ง พลังกฎเกณฑ์อันดุดันถาโถมโหมกระหน่ำ ลักษณะราวกับวันสุดท้ายของโลกกำลังจะมาถึง
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วยังอดหรี่ตาลงไม่ได้
ทันใด กลิ่นอายพลังน่ากลัวที่กำลังตื่นขึ้นมานั้นก็สงบนิ่งลง ถัดจากนั้น พลังกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดที่เดิมทีรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวก็เงียบหายไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นเสียงเย็นชาราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของนภาโกลาหล
“อีกาน้อย เหตุใดจึงเผาขนนกคู่ชีพ หรือว่า เกิดปัญหาอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ?”
แต่ละคำดังกึกก้องไปทั่วปฐพี
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวตื่นตะลึง
สายตาของซูอี้แปลกไปด้วยความคาดไม่ถึง
เพราะว่า เสียง ๆ นั้นเป็นเสียงผู้หญิง!
เรื่องนี้ผิดจากความคาดหมายของซูอี้ไปไกลโข
ดังที่รู้กันว่า เมื่อครั้งที่เขาบุกตะลุยภูมิมืดมิดในชาติที่แล้ว เขาเคยได้ยินเรื่องราวของยมบาลมาหลายครั้ง
ทว่าไม่เคยมีใครบอกเลยว่ายมบาลเป็นผู้หญิง!
“เรียนใต้เท้ายมบาล การบวงสรวงวิญญาณในครั้งนี้เกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ ขอรับ”
อีกาเก้ามืดมิดก้มหัวลงด้วยความหวาดเกรง
หลังจากที่นิ่งเงียบไปได้สักพัก เสียงของยมบาลก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ผู้ลงทัณฑ์เกิดเรื่องด้วยเช่นนั้นหรือ?”
อีกาเก้ามืดมิดคอตกหน้าเศร้า “ขอรับ”
“ฝีมือของใคร?”
เสียงของยมบาลเย็นยะเยือกลงยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ซูอี้หมดความอดทน เขาไม่ต้องการจะมาฟังการสนทนาแบบถามคำตอบคำเช่นนี้ จึงกล่าวไปตรง ๆ “ฝีมือข้า”
ทว่าอีกาเก้ามืดมิดราวกับเกรงกลัวว่ายมบาลจะโกรธ จึงรีบกล่าว “เรียนใต้เท้ายมบาล ครั้งนี้ ใต้เท้าซู ซูเสวียนจวินต้องการจะพบท่านสักครั้งขอรับ!”
“ซูเสวียนจวิน!?”
เสียงของยมบาลดูตื่นตะลึง
จากนั้น บนท้องฟ้าของนภาโกลาหลที่ห่างไกลออกไปพลันเกิดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ท่ามกลางไอหมอกสีดำที่คละคลุ้ง สะท้อนสะเก็ดแสงสีแดงออกมา
สะเก็ดแสงปลิวว่อน เริ่มสะท้อนภาพ ๆ หนึ่งออกมาอย่างเชื่องช้า
ในภาพ คือตำหนักใหญ่อันมืดมิดและว่างเปล่า มีแต่เพียงบัลลังก์ซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้โครงกระดูกซ้อนทับกัน ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางตำหนักใหญ่
บนบัลลังก์กระดูก มีร่างสูงผอมนั่งอยู่
ผมยาวสลวยสวยนุ่มสีน้ำเงินถูกรวบอยู่ด้านหลังอย่างลวก ๆ นางสวมชุดกระโปรงสีดำประดุจน้ำหมึกปราศจากสิ่งแต่งเติม ทว่ารับกับผิวขาวเนียนประดุจหิมะของนาง ทำให้ดูสว่างเด่นชัด
ขาเรียวยาวทั้งคู่ของนางซ้อนทับกัน มือหนึ่งวางอยู่บนที่วางมือ ส่วนอีกมือหนึ่งเท้าคาง
ทว่าเมื่อมองดูใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนแล้ว สายตาของปีศาจเฒ่าคิ้วขาวถึงกับตะลึงค้าง ปากแห้ง คอแห้งขึ้นมา
สวยเหลือเกิน!
รูปโฉมเช่นนั้น คล้ายกับสาวน้อยหน้าใสบริสุทธิ์ ทว่าที่ปลายหางตากลับมีเสน่ห์ยั่วเย้าประดุจนางปีศาจมากเสน่ห์
ริมฝีปากแดงประดุจเพลิงไฟ ดวงตาใสสว่างประดุจน้ำ เป็นหญิงงามที่หาพบได้ยากในปฐพี
ทว่าเมื่อสบสายตาของหญิงสาวเข้า ราวกับถูกเทพเทวาผู้เย็นชาคอยจับจ้อง ชั่วขณะนั้น จิตวิญญาณของปีศาจเฒ่าคิ้วขาวก็เจ็บแปลบขึ้นมา ขนลุกซู่ไปทั้งตัวราวกับร่วงหล่นสู่ห้องน้ำแข็ง
เขารีบก้มหน้าลงในทันใด สันหลังหนาววาบเหงื่อแตกพลั่ก
ยมบาล!
เขามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าหญิงสาวผู้เลอโฉมที่นั่งสบายอยู่บนบัลลังก์กระดูกนางนั้นก็คือยมบาลผู้ที่เคยมีบารมีสยบสรรพชีวิตทั่วทั้งภูมิมืดมิดเมื่อครั้งบรรพกาล!
และในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของยมบาลแล้วเช่นกัน
เมื่อครั้งแรกสุด เขาก็อดรู้สึกตะลึงในความงามไม่ได้
เพราะว่าท่าทางของยมบาลมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ รูปโฉมของนางสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้แก่สรรพสัตว์ทั่วปฐพีได้ ทว่ากลับเย็นยะเยือกดุจเทวะ ดูเย้ายวนผ่อนคลาย ทว่าทั่วทั้งตัวกลับเต็มไปด้วยอำนาจบารมี ยิ่งใหญ่ประดุจผู้ชี้ชะตา
เมื่อสบสายตาของยมบาล ซูอี้รู้สึกได้เช่นกันถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้ามาหา ที่ตั้งของจิตวิญญาณและภาวะจิตราวกับได้รับการบดขยี้จากอานุภาพสวรรค์ที่กลายเป็นสายฟ้าพิฆาตอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียว ความรู้สึกกดดันเช่นนี้ก็ถูกดาบเก้าคุมคังย่อยสลายจนไร้รูปร่าง
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก
ฉับพลัน ซูอี้ก็สังเกตเห็นรอบด้านของตำหนักสีดำแห่งนั้น ถูกครอบงำด้วยคลื่นพลังกฎเกณฑ์อันลึกลับและยากจะเข้าใจ ราวกับมีหมอกควันบดบังทั่วทุกตารางนิ้วของตำหนักสีดำ
แท้จริงแล้ว ยมบาลตนนี้ดูเหมือนจะนั่งสบายอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาว ทว่าความจริงแล้วถูกกักขังอยู่ในตำหนักสีดำซึ่งมีพลังกฎเกณฑ์ปกคลุมไปทั่วตำหนัก
และที่นางสามารถใช้เคล็ดวิชา สะท้อนภาพให้ปรากฏอยู่บนนภาโกลาหลเช่นนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังกฎเกณฑ์ที่ครอบงำตัวนางกำลังถดถอยลดกำลังลง!
และในขณะเดียวกัน นางก็สังเกตเห็นซูอี้ รวมถึงอีกาเก้ามืดมิดที่ถูกซูอี้หิ้วปีกด้วยเช่นกัน
ฉับพลัน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ระดับฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณหรือ?”
กลับชาติมาเกิด!
ยมบาลที่นั่งสบายอยู่บนบัลลังก์กระดูกในตอนแรกนั่งตัวตรงขึ้นมาในทันใด ดวงตาสวยคู่นั้นผุดประกายเพลิงสีเลือดน่ากลัวออกมา บนใบหน้าอันงดงามแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
นางพินิจดูซูอี้สักครู่ ริมฝีปากแดงราวกับเพลิงไฟเผยอน้อย ๆ “น่าสนใจ ดูท่าแล้วมหาเทพมืดมิดไม่ได้พูดโกหก ในภูมิมืดมิดแห่งนี้มีพลังแห่งวัฏสงสารซ่อนเร้นอยู่จริง ๆ!”
ดูเหมือนว่าการที่ค้นพบความลับนี้สร้างความพึงพอใจอย่างที่สุดให้แก่นาง จากนั้นนางพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ด้วยสายตาที่เหม่อลอย “นานเท่าใดแล้ว สรรพสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนจนผืนทะเลกลายเป็นผืนนาไปแล้ว ถึงแม้ตอนนี้ยังคงถูกจองจำอยู่ที่นี่ แต่อย่างไรเสียข้าก็ยังได้รู้ว่า วัฏสงสารนั้นมีอยู่จริง…”
ชั่วขณะนี้ สีหน้าของยมบาลสาวมีกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่งซ่อนเร้น
“หากว่าเป็นเช่นนี้ ผู้ลงทัณฑ์เอ่ยไว้ไม่ผิด เจ้ามาจากหอเก้าสวรรค์จริง ๆ จุดมุ่งหมายในการมาภูมิมืดมิดในครั้งนั้น ก็เพื่อเสาะหาความลับแห่งวัฏสงสารอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ดวงตาสวยของยมบาลสาวหรี่ลง สีหน้าของนางกลับสู่ความสงบเหมือนเดิม “ผู้ลงทัณฑ์… ถูกเจ้าฆ่าเช่นนั้นหรือ?”
คิ้วดกเข้มราวกับแนวขุนเขาของยมบาลสาวขมวดเล็กน้อย “ผู้ลงทัณฑ์ได้บอกเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังหมดแล้วเช่นนั้นหรือ? ที่แท้แล้วเป็นเพราะสาเหตุใดเขาจึงยอมทำผิดต่อสัตย์ปฏิญาณ?”
การสนทนาของคนทั้งสองล้วนหลบเลี่ยงที่จะตอบคำถามซึ่งกันและกัน แต่ยืมข้อมูลที่เปิดเผยซึ่งไม่มีใครถามหยั่งลองเชิง
ไหวพริบปฏิภาณด้านการสนทนาเช่นนี้ทำเอาปีศาจเฒ่าคิ้วขาวที่มองดูอยู่ถึงกับแอบตื่นตระหนกไม่หาย
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “เจ้ามาจากหอเก้าสวรรค์จริง ๆ เสียด้วย”
ดวงตาคู่สวยของยมบาลผุดประกายแสงสีเลือดขึ้นมา และกล่าวตอบโต้ “ซูเสวียนจวิน เจ้าต้องการจะพบข้า คงไม่ใช่เพราะเรื่องเท่านี้หรอกกระมัง?”
“ไม่ผิด”
ซูอี้พยักหน้า
ยมบาลสาวแสดงสีหน้าสนใจขึ้นมา ก่อนกล่าวว่า “เจ้าสามารถบอกจุดประสงค์การมาของเจ้าให้ข้าฟังได้ ไม่แน่เจ้ากับข้าอาจจะมีโอกาสร่วมมือกันก็เป็นได้”
ซูอี้โพล่งออกมา “เจ้าคิดมากเกินไปเสียแล้ว ข้าเพียงแค่อยากจะดูว่า ด้วยความสามารถที่เจ้ามี ที่แท้แล้วจะมีโอกาสหลุดพ้นจากพันธนาการได้หรือไม่ต่างหาก”
นางหรี่ตาลง พลางกล่าว “เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ซูอี้ตอบน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนที่ข้ามายังเมืองมรณะ เคยรับปากผู้คุมรัตติกาลเอาไว้ว่าจะช่วยเขาขจัดปัญหาอุปสรรค ป้องกันไม่ให้เจ้าหลุดรอดไปจากที่นี่ จึงไม่อาจจะผิดคำพูดได้”
ริมฝีปากแดงของยมบาลสาวเผยอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ตอนนั้น มหาเทพมืดมิดแห่งดินแดนปรภพร่วมมือกับผู้พิพากษาชุยแห่งกองตัดสิน กับผู้นำแห่งกรมหกวิถี ทั้งยังใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘บันทึกยมภูมิ’ ‘พู่กันพิพากษา’ ‘กระดานหกวิถี’ ก็ยังทำได้เพียงแค่กักขังข้าไว้ในที่แห่งนี้เท่านั้น”
“หากไม่ใช่เพราะข้าถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้เป็นเวลายาวนาน ผู้เป็นใหญ่ทั่วทั้งแดนดินก็คงไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น!”
ดวงตาคู่สวยของนางจับจ้องไปที่ซูอี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ทว่าตอนนี้ เจ้ามีเพียงแค่ร่างที่กลับชาติมาเกิดเท่านั้น ระดับวิถีเพียงน้อยนิดเช่นนั้นจะสามารถทำอะไรได้?”
ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิง ทว่าเวลานี้กลับคล้ายราชาผู้กุมอำนาจเหนือสิ่งใด ดุจดังผู้กุมชะตาแห่งฟ้าดิน สูงส่งและเป็นใหญ่
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวถึงกับหนาวสะท้าน
หากว่าเป็นคนอื่นกล้ามาพูดเช่นนี้ เขาคงถือโอกาสร้องตะคอกด่าฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว และยังถือโอกาสนี้ประจบเอาใจซูอี้ไปด้วย
ทว่าเมื่อคำกล่าวนี้ออกมาจากปากของยมบาลผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรเกริกก้องไปทั่วปฐพีในยุคบรรพกาล เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะโต้แย้ง
แต่ซูอี้กลับอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เพราะที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ของคนในหอเก้าสวรรค์ก็คือ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’
และบังเอิญว่า ดาบเก้าคุมขังของเขาสามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่ใช้ดาบเก้าคุมขัง เขาก็มั่นใจว่าอาศัยระดับการฝึกตนวิถีดาบเมื่ออดีตชาติก็สามารถต้านทานกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้!
ดังนั้นคำกล่าวเหล่านี้ของยมบาลอาจจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนอื่น ๆ ได้ แต่เมื่อเขาได้ยินคำกล่าวนี้แล้วกลับรู้สึกเหมือนดังเรื่องตลก
“เจ้าหัวเราะอะไร?”
สายตาของยมบาลสาวเย็นชาขึ้นมาราวกับไม่พึงพอใจ
ซูอี้บีบคออีกาเก้ามืดมิด “อีกาน้อย เจ้าจงบอกกับใต้เท้ายมบาลของเจ้าสิว่า เหตุใดข้าจึงหัวเราะ”
“เออ… เรื่องนี้…”
อีกาเก้ามืดมิดตัวสั่นงันงก มันลังเลอยู่สักครู่จึงบากหน้าตอบออกไป “ใต้เท้ายมบาล ถึงแม้ระดับการฝึกตนในตอนนี้ของใต้เท้าซูจะด้อยอยู่บ้าง แต่สามารถควบคุมพลังศิลาหลุมศพได้ อีกทั้งใต้เท้าผู้ลงทัณฑ์ก็ยังถูกใต้เท้าซูจับตัวไว้ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กระบวนเดียว…”
เสียงของมันเบาลงไปเรื่อย ๆ
บนบัลลังก์กระดูก ความดูแคลนที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากยมบาลสาวแข็งกระด้างและนิ่งเงียบไป
สาเหตุที่นางถูกกักขังอยู่ในนภาโกลาหลเป็นเวลาเนิ่นนามเช่นนี้ ก็เป็นเพราะศิลานั่น! และก็เป็นเพราะเหตุนี้ นางจึงมีบัญชาให้อีกาเก้ามืดมิดคิดหาวิถีย้ายศิลาหลุมศพนั่น!
ทว่าใครเลยจะคาดคิดว่าซูอี้สามารถควบคุมพลังของศิลาหลุมศพได้!
นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
“ตอนนี้เจ้าคิดว่า ระดับวิถีอันน้อยนิดของข้าเป็นอย่างไร?”
ซูอี้ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ยมบาลสาวผู้นิ่งเงียบเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พลันหัวเราะขึ้นมา
ชั่วขณะนั้น ราวกับภูเขาน้ำแข็งกำลังละลายภายใต้แสงตะวันอันอบอุ่น ลมแห่งวสันต์พัดพาความเหน็บหนาวหมื่นปีให้หมดไป รอยยิ้มงดงามจนถึงขั้นทำให้สรรพชีวิตตกอยู่ในความเคลิบเคลิ้ม
นางจับจ้องมองไปที่ซูอี้ ดวงตางดงามคู่นั้นผุดประกายแสงสีเลือดแห่งความบ้าคลั่ง ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนหวานนุ่มนวล “ในเมื่อสหายเต๋าซูกล่าวมาเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้า… ก็ต้องทดสอบด้วยตนเองเสียแล้ว”