บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 928: ฝึกบำเพ็ญคู่ก็ใช่ว่าไม่ได้
ตอนที่ 928: ฝึกบำเพ็ญคู่ก็ใช่ว่าไม่ได้
ทดสอบ!
เมื่อคำนุ่มนวลอ่อนหวานคำนี้ดังขึ้น
เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตางดงามที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งคู่นั้นของยมบาลก็เกิดประกายแสงสีเลือดอันสว่างสดใสขึ้นมา
ชั่วขณะนั้น อีกาเก้ามืดมิดหลับตาปี๋ก่อนใครราวกับรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวกลับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สองมือกุมหัวลงไปกองอยู่กับพื้น
เมื่อสักครู่เขาเพียงแค่มองดูแต่ไกล ๆ เท่านั้น ทว่าเมื่อมองเห็นประกายแสงสีเลือดนั้นแล้ว จิตดั้งเดิมรู้สึกราวกับโดนคมแห่งอาญาสวรรค์เชือดเฉือน ริ้วความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ถึงแม้จะขับเคลื่อนระดับการฝึกตนทั่วร่างแล้วก็ยังยากจะต้านทานความเจ็บปวดได้
ขณะเดียวกันนี้เอง ดวงตาอันลุ่มลึกของซูอี้หรี่เล็กลง
ในห้วงความนึกคิด ประกายแสงสีเลือดอันสว่างเจิดจ้ากลายเป็นดาบแกร่ง ซึ่งแฝงอานุภาพทำลายล้างเอาไว้ ฟาดฟันลงมา
ความรุนแรงของอานุภาพระเบิดปะทุ สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงความนึกคิดของซูอี้
ด้วยประสบการณ์ในอดีตชาติของซูอี้ การโจมตีครั้งนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวมาก และถือได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาสุดยอดของวิถีจิตวิญญาณ
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือประกายแสงสีเลือดนั้นยังแฝงไว้ซึ่งพลังของ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’
สำหรับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ ภัยพิบัติมหาวิถีเช่นนี้มีอันตรายถึงแก่ชีวิตมากที่สุด
ทว่ากระบวนท่าพิฆาตเช่นนี้นับว่าไร้ผลสำหรับซูอี้
ครืน!
ในชั่วเวลาเป็นตายเท่ากันเช่นนี้ ดาบเก้าคุมขังที่คอยเฝ้าอยู่ในห้วงความนึกคิดของชายหนุ่มมาโดยตลอดพลันส่งเสียงประหลาดออกมา
เสียงดาบราวกับระลอกคลื่นแผ่กระจายไปทุกที่ ห้วงความนึกคิดที่สับสนปั่นป่วนในตอนแรกจึงสงบลงในที่สุด
เมื่อระลอกคลื่นเสียงดาบปะทะกับประกายแสงสีเลือดนั้น…
ปัง!!
ประกายแสงสีเลือดแตกระเบิดในพริบตา สะเก็ดแสงที่เกิดขึ้นถูกเสียงดาบดูดกลืน
ยมบาลสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกในตอนแรก เวลานี้ร่างสะโอดสะองของนางถึงกับสั่นสะท้าน นางส่งเสียงร้องฮึออกมาจากริมฝีปากแดงอิ่มเอิบ รอยยิ้มบนใบหน้างดงามแข็งกระด้าง
ทว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งคู่นั้นของนางกลับปรากฏความไม่อยากจะเชื่อออกมา
“เจ้า… สามารถสลายกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้อย่างนั้นหรือ!?”
ยมบาลตกใจจนเนตรงามเบิกกว้าง รัศมีสูงส่งยิ่งใหญ่ประหนึ่งผู้ชี้ชะตาในตัวลดน้อยลงไปมาก นางตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าก็ลองสัมผัสกับฝีมือของข้าซูผู้นี้ดูบ้าง”
ซูอี้เอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา
ในห้วงความนึกคิด เขาขับเคลื่อนกลิ่นอายพลังของดาบเก้าคุมขังออกมา และสำแดงความลึกล้ำของ ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’
สวบ!
ดาบน้อยพิฆาตเทวะที่บางเฉียบจนแทบมองไม่เห็นหายวับไปกับตา
แทบจะในเวลาเดียวกัน ยมบาลสาวผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างแรง
ดวงตาคู่งามของนางหม่นแสง ใบหน้างดงามสดใสราวกับสาวน้อยซีดขาวขึ้นมาในทันใด เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
ทันใด สิบนิ้วเรียวงามขาวเนียนของนางจิกลงบนที่รองมือของบัลลังก์กระดูกขาว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ปลายหางตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความเจ็บปวด
อีกาเก้ามืดมิดเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกอย่างแรง
ดังที่รู้กันดีว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าของนภาโกลาหล เป็นเพียงแค่ภาพที่สะท้อนออกมาเท่านั้น ส่วนยมบาลตัวจริงถูกกักขังอยู่ในส่วนลึกของนภาโกลาหล
ทว่าเวลานี้ ซูอี้ลงมือในระยะไกลนอกนภาโกลาหล ก็ยังสร้างผลกระทบอันน่าสะพรึงกลัวต่อจิตวิญญาณของยมบาลได้!!
สักพักใหญ่ ๆ…
นางจึงได้สติกลับคืนมาจากความเจ็บปวดนั้น
เพียงแต่ว่า ใบหน้าหมดจดนั้นกลับซีดเผือด ร่างอรชรที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวแลดูอยู่ในสภาพย่ำแย่
โดยเฉพาะสิบนิ้วของนาง มันเกิดรอยเลือดคั่งเป็นจุด ๆ และสั่นระริกน้อย ๆ เนื่องจากใช้พลังมากจนเกินไป
“รสชาติเป็นอย่างไร?”
อันที่จริงเขาก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่เช่นกัน ด้วยพลังจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ กอปรกับกลิ่นอายพลังของดาบเก้าคุมขังก็สามารถกำจัดจิตดั้งเดิมของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย
และที่สำคัญที่สุดก็คือกลิ่นอายพลังดาบเก้าคุมขังใช้สำหรับสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่ยมบาลใช้เป็นการเฉพาะ
ทว่ายมบาลผู้นี้กลับต้านทานรับได้ไหว ดูท่าทีเหมือนจะแย่ แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอันใดมากนัก
นางนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสับสนไม่นิ่ง
ผ่านไปนานมาก นางจึงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำและตื่นตัว ทว่าทั้งหมดนี้ยังคงไม่อาจลดทอนความสวยของนางลงไปได้ กลับเพิ่มความงดงามอย่างน่าตะลึงมากยิ่งกว่าเดิม
อีกาเก้ามืดมิดถึงกับตาค้าง ใต้เท้ายมบาลเป็นอะไรไป?
นางเมื่อในอดีต สูงส่งหยิ่งผยองถึงเพียงไหน ทั้งยังเป็นที่เกรงกลัวของคนทั้งหลายดุจเทพเทวาบนสวรรค์ นางเคยอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้เมื่อใดกัน?
หรือว่า… การบุกโจมตีของตัวประหลาดซูเมื่อสักครู่สร้างบาดแผลสาหัสให้กับจิตวิญญาณของใต้เท้ายมบาล จนทำให้สติสัมปชัญญะของนางบกพร่องขึ้นมาเช่นนั้นหรือ?
อีกาเก้ามืดมิดอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
ทว่าในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เพราะปฏิกิริยาในตอนนี้ของยมบาลสาว ทั้งบ้าคลั่งและผิดปกติไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาถึงขั้นฟังออกว่าในเสียงหัวเราะของนางแฝงไว้ซึ่งความสุขสาสมใจ
‘หรือว่า… ยมบาลผู้นี้จะชอบความรุนแรง?’
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวลอบคิด
ซูอี้ขมวดคิ้ว ราวกับพอจะเดาสาเหตุออก
ตามความคาดหมาย หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเขาก็เห็นยมบาลสาวหุบยิ้ม นางบิดขี้เกียจเล็กน้อย จากนั้นกวาดสายตามองทั่ว
ริมฝีปากแดงเผยอขึ้น ก่อนที่นางจะกล่าวขึ้น “ซูเสวียนจวิน ที่แท้… เจ้าก็คือคนที่เจ้าหอของพวกข้าตามหามานานแสนนานนั่นเอง!”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวแอบสะดุ้งในใจ
เขาเคยได้ยินผู้ลงทัณฑ์กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เจ้าหอผู้ลึกลับของหอเก้าสวรรค์ตามหาคนที่สามารถต้านทานกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้มาโดยตลอด
และยมบาลผู้มาจากหอเก้าสวรรค์ก็มองออกแล้วว่าใต้เท้าซูก็คือคนที่สามารถต้านทานกฎเกณฑ์วอนสวรรค์คนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
สีหน้าของซูอี้ยังคงราบเรียบเหมือนดังเดิม “ในเมื่อเจ้ามองออกแล้ว เหตุใดจึงไม่บอกเล่าว่าเพราะเหตุใดเจ้าหอเก้าสวรรค์ของพวกเจ้าจึงต้องการตามหาข้า?”
“ความลับนี้ มีแต่เพียงเจ้าหอของพวกข้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ต่อให้เป็นผู้บวงสรวงสวรรค์เหล่านั้นก็ไม่มีใครล่วงรู้ถึงเหตุผลนี้”
ถึงแม้เมื่อสักครู่ยมบาลสาวจะเพิ่งโดนซัดจนอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ทว่านางในเวลานี้กลับแลดูปีติยินดียิ่งนัก สีหน้าแววตาเผยความยินดีออกมาอย่างยากจะกลบเกลื่อน ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับกำลังเปล่งประกาย
ซูอี้พินิจมองสีหน้าของนางแล้ว พลันเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงไม่ถูกลงโทษจากคำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถี?”
มือขาวเนียนดุจหิมะของยมบาลสาวเท้าคางน้อย ๆ ขณะยิ้มหวานพลางกล่าว “ซูเสวียนจวิน อย่าได้นำข้าไปเปรียบกับผู้ลงทัณฑ์ คำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีสามารถกักขังข้าได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่อาจกักขังข้าได้ตลอดชีวิต”
พูดจบ สายตาของนางก็ผุดประกายแห่งการย้อนความทรงจำ “ครั้งนั้น หลังจากที่ข้ามาถึงภูมิมืดมิดแล้ว ใช้เวลาค้นหานานถึงหนึ่งหมื่นห้าพันปี ในที่สุดข้าก็ได้รับ ‘หญ้าลวงสวรรค์’ จากกรมสุขาวดีซึ่งเป็นหนึ่งในกรมหกวิถีมาต้นหนึ่ง โดยอาศัยโอสถทิพย์ซึ่งมีพลัง ‘เหตุต้นผลกรรม’ สะสมต้นนี้จึงสามารถขจัดคำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีภายในใจลงได้”
“นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่ต้องถูกพลังดาบวิถีของหอเก้าสวรรค์เล่มนั้นคอยบีบรัดอีก”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้แล้ว นางก็ถอนหายใจยาว ๆ ออกมา ประกายความบ้าคลั่งผุดขึ้นมาในสายตาอีกครั้ง “แต่เสียดาย เหมือนดังที่กรมสุขาวดีกล่าวเอาไว้ ผู้ใดก็ตามที่ลวงสวรรค์จะต้องได้รับความทุกข์ทรมานแห่งเคราะห์หนัก ตอนนั้น ถึงแม้ข้าจะใช้หญ้าลวงสวรรค์ขจัดคำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีภายในจิตวิถี แต่ก็เพราะเหตุนี้ ทำให้ข้าโดนเหล่าตาเฒ่าแห่งดินแดนปรภพปิดล้อม จนถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้…”
“แต่เสียดาย ตามที่ข้ารู้มา ดินแดนปรภพได้ล่มสลายไปเมื่อนานมากแล้ว ต่อให้ข้าต้องการจะแก้แค้น ก็หาคนให้แก้แค้นไม่เจออีก”
สีหน้าของยมบาลสาวแฝงความประหลาดใจ
ทันใดนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ฟันสวย ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบ ช่างยั่วยวนยิ่งนัก
“แต่ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ ส่วนพวกตาเฒ่าเหล่านั้นได้แตกดับไปจากโลกนี้ตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สุดท้าย… ข้าก็ยังคงเป็นฝ่ายชนะอยู่ดี!”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ซูอี้จึงเอ่ยพลางใช้ความคิด “หากว่าเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เจ้าจะมาภูมิมืดมิด ก็มีความคิดที่จะทรยศต่อหอเก้าสวรรค์แล้วใช่หรือไม่?”
“ทรยศ?”
คำพูดนี้ราวกับทิ่มแทงใจของยมบาลสาว ความเคียดแค้นปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของนาง ความดุดันโหดเหี้ยมผุดขึ้นในดวงตาคู่นั้น
ทว่าสีหน้าของนางก็กลับมาเป็นสภาพดังเดิมอย่างรวดเร็ว ยมบาลสาวเม้มริมฝีปากยิ้มพลางกล่าว “เรื่องเหล่านี้มีเหตุผลอื่น วันข้างหน้าหากมีโอกาส ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเล่าให้เจ้าฟัง”
พูดจบ นางก็เหลือบมองไปที่ซูอี้ จากนั้นก็ยกขึ้นทัดผมยาวสลวยสีน้ำเงินแนบข้างหู และกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ซูเสวียนจวิน หากว่าเจ้ายอมช่วยข้าออกไป ไม่ว่าเรื่องใดข้าก็สามารถรับปากเจ้าได้”
ยมบาลสาวส่งสายตายั่วเย้า พลางหัวเราะหึ ๆ และกล่าว “ถูกต้อง ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม แม้กระทั่งหากเจ้าต้องการจะฝึกบำเพ็ญคู่กับข้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
นางนั่งเอนตัวสบายอยู่บนบัลลังก์กระดูก ขาเรียวยาวเนียนสวยสองข้างซ้อนทับกัน ผิวขาวดังหิมะ งดงามเลิศเลอ เป็นหญิงงามผู้เลอโฉมที่ใครต่อใครต่างก็หมายปอง
ซี้ด!
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวสูดปาก
อีกาเก้ามืดมิดราวกับถูกฟ้าผ่า
ในใจของมัน ยมบาลเป็นดั่งเทพแห่งเก้าสวรรค์ สูงส่งยิ่งใหญ่ ไหนเลยจะคาดคิดว่า เพื่อให้หลุดออกจากการพันธนาการ นางถึงกับยอมรับปากในทุกเรื่องได้?
ทว่าซูอี้กลับหัวเราะขึ้นมา “หากว่าเจ้ายอมตั้งสัตย์ปฏิญาณมหาวิถี ชาตินี้ทั้งชาติจะยกย่องข้าเป็นนาย ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
สีหน้าของยมบาลสาวนิ่งตะลึง ความโกรธผุดขึ้นบนใบหน้าในทันใด
นางไหนเลยจะฟังคำดูแคลนในวาจาของซูอี้ไม่ออก?
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็หุบยิ้มและกล่าวจริงจัง “สหายเต๋าซู ข้าคิดว่าระหว่างข้ากับเจ้า มีโอกาสร่วมมือกันมากมาย เจ้าเป็นคนที่หอเก้าสวรรค์ตามหา ชาตินี้ทั้งชาติยากนักจะหลบเหตุต้นผลกรรมนี้ไปได้ และข้าก็มาจากหอเก้าสวรรค์ สามารถบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหอเก้าสวรรค์ให้เจ้ารู้ได้”
หลังจากนิ่งเงียบไปสักครู่ นางก็กล่าวออกมาทีละคำชัด ๆ “หากว่าเจ้าต้องการรับมือหอเก้าสวรรค์ ข้ายังสามารถช่วยเจ้าได้! หากว่าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะตั้งสัตย์ปฏิญาณมหาวิถี!”
ในชั่วขณะนี้ สายตาของยมบาลพลันจริงจังขึ้นมา
ไม่ว่าใครก็มองออกว่านางไม่ได้พูดล้อเล่น!
แต่ซูอี้กลับเอ่ยขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องคิด “ต่อให้ข้าต้องการรับมือหอเก้าสวรรค์ ก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”
ในน้ำเสียงที่ราบเรียบนั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
ผู้ฟังรู้สึกตื่นตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง ราวกับนางได้รู้จักกับซูอี้คนนี้ใหม่อีกครั้ง ยมบาลสาวจึงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ซูเสวียนจวิน เจ้าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา”
ซูอี้อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าผ่านโลกมาน้อยเกินไป จึงเห็นเป็นเรื่องประหลาด”
“…”
ริมฝีปากแดงเฉิดฉายของนางถึงกับกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกแน่นหน้าอก
หากว่าเป็นคนอื่น นางจะจัดการจับตัว และให้เลือกว่าจะเลือกเอาความตายหรือยอมสวามิภักดิ์ โดยไม่ต้องพูดมากด้วย
ทว่าวิธีนี้ไม่อาจใช้กับซูเสวียนจวินได้
เพราะไม่อาจใช้ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’ บีบบังคับฝ่ายตรงข้ามได้
นิ่งเงียบไปนาน ยมบาลก็เก็บขาที่นั่งไขว่กันอยู่ให้กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยจริงจัง สายตาของนางเย็นยะเยือก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ระหว่างเจ้ากับข้าก็เป็นได้แค่ศัตรู?”