บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 929: ข้อตกลงสิบปี
ตอนที่ 929: ข้อตกลงสิบปี
เมื่อเผชิญคำถามเช่นนี้จากยมบาลสาว ซูอี้ก็ตอบยิ้ม ๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าถูกขังที่นี่ จะมีคุณสมบัติใดให้เป็นศัตรูข้า?”
คู่เนตรงามของยมบาลเฉยชายิ่งขึ้น นางถูปลายนิ้วเรียวขาวของตนเองบนเท้าแขนที่นั่งเบา ๆ และกล่าวว่า “สหายเต๋าคิดว่าพลังต้นกำเนิดของเมืองมรณะนี้จะขังข้าได้ชั่วชีวิตหรือ?”
ก่อนซูอี้จะทันได้ตอบ นางก็กล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าควบคุมพลังของศิลาหลุมศพได้ เจ้าก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าพลังต้นกำเนิดของเมืองมรณะกำลังอ่อนแอลง แม้ข้าจะไม่รู้เหตุผลก็ตาม แต่ข้าก็พอเดาได้ว่าช่วงนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลกับภูมิมืดมิดนี้เป็นแน่”
ซูอี้นิ่งเงียบไปชั่วขณะ
นางพูดถูก พลังต้นกำเนิดของเมืองมรณะกำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ
ก่อนที่เขาจะมาถึงเมืองมรณะ ซูอี้เคยได้พูดคุยกับผู้คุมรัตติกาลถึงเรื่องนี้ และพอเดาได้ว่าน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นกับพลังต้นกำเนิดของภูมิมืดมิด ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสารพัดขึ้นบนแดนดินมากมายในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ
เช่นเหตุเปลี่ยนแปลงในเมืองมรณะยามนี้ การเปลี่ยนแปลงลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ และการปรากฏของเรือยมโลกสีดำเป็นต้น
กระทั่งจันทราสีเลือดยังปรากฏขึ้นบ่อยครั้งบนนภาราตรี
ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของที่มาแห่งภูมิมืดมิด
น่าเสียดายที่ภูมิมืดมิดนั้นยิ่งใหญ่กว้างขวาง ไร้ขอบเขตแตกต่างจากโลกกว้างอื่น ๆ และจวบยามนี้ ยังไม่มีผู้ใดทราบได้ว่ามันใหญ่โตเพียงไร
กระทั่งการตัดสินที่อยู่ที่มาแห่งภูมิมืดมิด ยังไม่มีผู้ใดหยั่งทราบนับแต่บรรพกาล
ดังนั้นย่อมเป็นไปมิได้หากจะมีผู้ใดรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับที่มาแห่งภูมิมืดมิด
“และนี่ยังให้โอกาสข้าในการดิ้นหลุดได้อีกด้วย”
ยมบาลสาวกล่าวอีกครั้งด้วยแววตาโหยหา และน้ำเสียงของนางก็เฉียบขาด “ต่อให้ไม่มีผู้ใดช่วยข้า ในสิบปี ข้าก็จะออกไปจากเมืองมรณะนี้ได้อยู่ดี!”
หัวใจของปีศาจเฒ่าคิ้วขาวสั่นระรัว
สิบปี?
มันดูเป็นกาลอันแสนนาน ทว่าสำหรับตัวตนเช่นพวกเขา มันก็แค่เวลาที่ไม่มีค่าใดเลย
หากสิบปีต่อจากนี้ ยมบาลสามารถออกมาได้ ก็คงจะไม่มีผู้ใดในดินแดนต้องห้ามเมืองมรณะนี้เป็นคู่ต่อกรให้แก่นางได้!
หนึ่งมือของยมบาลสาวยกขึ้นเท้าคางขาว ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อย ดูเย้ยหยันยั่วยุ
ซูอี้คิดสักพัก และตอบว่า “อย่างนั้นเราก็นัดกันด้วยเวลาสิบปี หากเจ้าสามารถออกจากนภาโกลาหลนี้ได้ ข้าก็ไม่ขัดหากจะให้โอกาสร่วมมือกับเจ้า”
นางยิ้มเยาะ “ถึงยามนั้น ไฉนข้าต้องร่วมมือกับเจ้าอีกเล่า?”
วาจานั้นเต็มไปด้วยความดูแคลนเดียดฉันท์
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “ข้าเชื่อว่าถึงยามนั้น เจ้าจะกราบกรานขอร้องเพื่อร่วมมือกับข้าเป็นแน่”
คู่คิ้วเรียวของยมบาลสาวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาของนางจับจ้องนิ่งที่ซูอี้ราวจะมองทะลุให้ถึงความลับในใจ
ครู่ต่อมา นางก็เม้มปากหัวเราะหึ และกล่าวออกมาว่า “ข้าชอบการวางตัวเจ้านะซูเสวียนจวิน ยามเมื่อข้าออกไปได้ ข้าจะหาเวลาเล่นกับเจ้าแน่!”
คู่เนตรทรงเสน่ห์ไร้ขอบเขตของนางจ้องเขาราวนักล่าที่มองเหยื่ออันโอชะ ไม่ปกปิดความปรารถนาของนางแม้แต่น้อย
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวหัวใจเย็นวาบ หวาดกลัวขนลุกซู่
วาจาเหล่านี้ฟังดูเหมือนกำลังเกี้ยวพา ทว่าความหมายของวาจาเหล่านั้นชวนให้คนฟังตัวสั่น
ซูอี้แค่นเสียงพลางกล่าวเตือน “เล่นกับไฟ ระวังไฟคลอกล่ะ”
ยมบาลสาวขบริมฝีปากสีกุหลาบของนางและกล่าวว่า “ข้าเล่นกับไฟโดยไม่เคยกลัวอยู่แล้ว ไม่ว่าข้าจะเอาชนะเจ้าและให้เจ้าหมอบคลานใต้เท้าข้าอย่างเชื่อฟัง หรือจะเป็นข้าเองที่ถูกเจ้าเอาชนะ เมื่อถึงกาลนั้น… ข้าจะรับใช้เจ้าเป็นนาย ขึ้นกับความเมตตาของเจ้า คิดเช่นไร?”
ซูอี้จับจ้องยมบาลตรงหน้าอย่างลึกล้ำ “ข้าจะรอวันนั้น”
นางยิ้มหวาน “ข้าก็เช่นกัน”
ยามนี้ ทั้งปีศาจเฒ่าคิ้วขาวและอีกาเก้ามืดมิดต่างหัวใจสั่นระรัว
บทสนทนาเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการเชือดเฉือนโดยแฝงจิตสังหารทั้งหมดไว้!
ทันใดนั้น ยมบาลสาวก็เปลี่ยนคำพูด “สหายเต๋า ปล่อยเจ้ากาน้อยก่อนเป็นไร? ข้าสัญญาว่าในอีกสิบปี จะทำให้เจ้าจำนนต่ออำนาจข้า และจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงอีก”
ซูอี้ก้มลงมองอีกาเก้ามืดมิดซึ่งสะดุ้งและมิกล้าสบสายตาเขา
“ช่างเถอะ ข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้า ไว้คิดบัญชีกันภายหลัง”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
ซูอี้อดแปลกใจมิได้ “โอ้? ความลับใดเล่า?”
ยมบาลกะพริบคู่เนตรพราวเสน่ห์งดงามของนาง อ้าปากน้อย ๆ และเสียงแว่วหวานอันมีมนตราดึงดูดพิเศษเฉพาะก็ดังขึ้นข้างหูซูอี้
“เจ้าเคยได้ยินถึง ‘ร่างมาตุรงค์’ หรือไม่?”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วขณะ
ร่างมาตุรงค์!
จากคำร่ำลือ เทพมารในสมัยโบราณต่างถือว่าร่างมาตุรงค์นี้คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์อย่างหนึ่ง ซึ่งหาได้ยากยิ่งมิอาจพบพานได้ที่ไหน
สตรีผู้มีร่างมาตุรงค์นั้นงดงามล่มเมือง มีเสน่ห์ ‘ผิวหยกกายพิสุทธิ์’ และ ‘งดงามอมตะ’ โดยธรรมชาติ
เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งทึ่งของซูอี้ แววตาของยมบาลสาวก็ฉายประกายอันไม่อาจตีความ
ท่าทีของนางดูเฉื่อยช้าขึ้นทุกขณะ ยมบาลสาวเอนร่างลงบนบัลลังก์กระดูกขาว ท่วงท่าของนางทำให้เรียวขาคู่ดุจหยกของนางดูเรียวขึ้นอีก
และน้ำเสียงของนางยังอ่อนหวานเจือวาทศิลป์มากยิ่งขึ้น “ในสายตาของยอดฝีมือใด ๆ ผู้เกิดมาด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นเตาหลอมแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญคู่อันหาได้ยากยิ่งทั่วฟ้าดิน และข้า… ก็มีคุณสมบัติดังว่า”
เขาจะฟังไม่ออกได้เช่นไรว่าคนผู้นี้กำลังจงใจหยอกล้อยั่วยวนเขาอยู่?
ทว่า หากมองดี ๆ แล้ว นี่ก็อาจจะเป็นคำยั่วยุและหลอกล่อจากยมบาลได้เช่นกัน เพื่อดูว่าเขาซูเสวียนจวินจะหวั่นไหวด้วยหญิงงามหรือไม่
เพราะถึงอย่างไร หากเป็นมารเฒ่าผู้ดำเนินบนวิถีแห่งการฝึกฝนคู่ คงคลั่งไปเรียบร้อยเมื่อได้รับรู้ว่าพบสตรีผู้หนึ่งมี ‘ร่างมาตุรงค์’!
ครู่ถัดมา ซูอี้ก็หัวเราะกล่าว “ข้าจะช่วยเจ้าเก็บความลับนี้ให้”
อยากยั่วยวนเขา ซูเสวียนจวินหรือ?
พูดได้เพียงว่าเล่นกับไฟจริงแท้!
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวและอีกาเก้ามืดมิดต่างงุนงง ไม่รู้ว่ายมบาลบอกความลับอันใด
ทว่าทั้งคู่ต่างรู้จักสงวนคำ ไม่กล้าเอ่ยถาม
“อย่างนั้นหรือ มันยังไม่สายไป สิบปีจากนี้ ข้าจะรอใช้เวลาดี ๆ กับสหายเต๋าซูนะ”
ยมบาลสาวกล่าวด้วยยิ้มน้อย ๆ และยกมือขึ้นดีดนิ้ว
จิตใจของซูอี้ก็ผ่อนคลายลงด้วยเช่นกัน
การเผชิญหน้าสตรีผู้เจือความบ้าคลั่งเยี่ยงยมบาลทำให้เขาต้องวางแผนระมัดระวังตนมาก่อน
ทว่าโชคดีที่สตรีนางนี้ยังมิเสียสติจนโจมตีอย่างจนมุม
“เจ้ากาน้อย ไปปล่อยคนออกมาก่อน”
ซูอี้ออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
อีกาเก้ามืดมิดรู้แล้วว่ารอบนี้มันรอดตาย และย่อมตอบรับอย่างยินดี
…
ดินแดนต้องห้ามเมืองมืด บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว
โยวเสวี่ย ชิงเถิง ชิงมู่และคนอื่น ๆ รวมไปถึงอวิ๋นซงจื่อ เฟิงอวี่จือ หลูฉางหมิงและจักรพรรดิคนอื่น ๆ ต่างรอคอยอยู่
สงครามจบลงแล้ว และทูตรับใช้กาฬราตรีทั้งสามต่างก็ปลิดปลิวล้มตาย
เมื่อมองไปรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียงภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วล้วนเละเทะราบคาบ
สิ่งเหล่านั้นคือร่องรอยแห่งสงคราม
“ใต้เท้าซูไม่น่าประสบเคราะห์ภัยใดกระมัง ทว่าไฉนเขาจึงยังไม่กลับมาอีก”
ชิงมู่กังวลเล็กน้อย
ชิงเถิงตำหนิ “อย่าพูดเพ้อเจ้อ จะเกิดสิ่งใดกับใต้เท้าซูได้?”
ชิงมู่คอตกอย่างละอาย
ไกลออกไป เมื่อเฟิงอวี่จือและพวกอวิ๋นซงจื่อเห็นเช่นนี้ อารมณ์ของพวกเขาต่างก็พลุ่งพล่าน
ครานี้ พวกเขาได้พบกับดักที่ศัตรูบรรจงตระเตรียม กล่าวได้ว่าเป็นหายนะ
แต่เดิม พวกเขาจนมุมและพร้อมต่อสู้จนตัวตาย
เมื่อย้อนคิดถึงประสบการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเฟิงอวี่จือก็รู้สึกเลื่อนลอยราวเป็นความฝัน
“ใต้เท้าซูกลับมาแล้ว!”
ทันใดนั้น จักรพรรดิกระดูกขาวซึ่งอยู่ห่างออกไปพลันโพล่งขึ้น
ขวับ!
ทุกสายตาหันมองตามทันที
และพบว่าไกลออกไปภายใต้นภารัตติกาลเกิดคลื่นมิติกระเพื่อมขึ้นบนอากาศ จากนั้นชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็ขี่สัตว์สุญญะสว่างว่างปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ชายหนุ่มผู้มีท่าทีเฉยเมย สุขุมสบายใจ และนั่นก็คือซูอี้
“คารวะใต้เท้าซู!”
กลุ่มตัวตนร้ายกาจเช่นจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อยต่างรีบร้อนก้าวออกมาทักทายเขา
สิ่งนี้ทำให้พวกเฟิงอวี่จือตาค้าง
ในศึกก่อนหน้านี้ วิชาที่เหล่าตัวตนร้ายกาจเหล่านี้สำแดงทรงพลังเพียงไร?
ทว่าเมื่อเผชิญกับชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นซูอี้ พวกเขากลับนอบน้อมพินอบพิเทาราวเผชิญหน้ากับเทพ!
แม้ในใจของพวกเขาจะคิดเช่นนั้น แต่พวกเฟิงอวี่จือก็มิกล้าเฉยเมย และต่างก้าวออกมาทักทายเขาคนแล้วคนเล่า
“ขอบคุณการยื่นมือเข้าช่วยอย่างทรงคุณธรรมของสหายเต๋าซูด้วย!”
“บุญคุณสหายเต๋าซูที่ช่วยชีวิต ข้าจะจดจำไว้ และตอบแทนในภายหน้าเป็นแน่”
…จักรพรรดิเหล่านี้มาจากตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง วังธารเหลือง โถงหลงลืมและขุมกำลังสูงสุดอื่น ๆ และต่างฝ่ายต่างระบือนามในโลกภายนอก
ทว่าครานี้เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ พวกเขาต่างมีท่าทีพินอบพิเทา และก้มหัวลดตัวลง
ซูอี้ก้าวลงมาจากสัตว์สุญญะสว่างว่าง พยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ด้วยความยินดี”
กล่าวจบ เขาก็หันไปกล่าวกับพวกจักรพรรดิกระดูกขาวว่า “หลังจากนี้ ข้าจะไปยังเมืองมืด และเมื่อกลับมา ข้าจะคืนอิสรภาพให้กับพวกเจ้า”
หลังได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากซูอี้ เหล่าตัวตนร้ายกาจเช่นจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อยต่างก็โล่งใจ
ก่อนหน้านี้ เมื่อพวกเขาถูกชายหนุ่มปราบลงและกักไว้ในคัมภีร์แห่งตี้ทิง พวกเขาก็กังวลมาตลอดว่าอีกฝ่ายจะถีบหัวเรือส่ง ฆ่าพวกเขาทีละคนหลังจากนี้
ยามนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะคิดมากกันไปเองจริง ๆ
ไม่นานนัก ตัวตนร้ายกาจเหล่านั้นก็ถูกซูอี้ผนึกกลับไปในคัมภีร์แห่งตี้ทิง
“เพื่อนพ้องของพวกเจ้าที่ถูกจับไปถูกส่งคืนสู่ทางออกเมืองมรณะแล้ว พวกเจ้าไปหาพวกเขาเถอะ”
ซูอี้หันไปมองพวกเฟิงอวี่จืออีกครั้ง
พวกเฟิงอวี่จือผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ
ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าซูอี้ไปช่วยสหายที่ถูกขังของพวกเขาออกมาสำเร็จ!
อารมณ์ของคนทุกผู้สับสนปรวนแปรอยู่ในชั่วขณะ และต่างก้าวออกมาคำนับด้วยความรู้สึกขอบคุณเกินแปรเปลี่ยนเป็นวาจา
ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการให้พวกเขารู้สึกขอบคุณความเมตตาของเขาเลย
เพราะท้ายที่สุด เขาก็แค่ใช้โอกาสกระทำตามสะดวกเท่านั้น