บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 93 น้ำตาลูกผู้ชาย
ตอนที่ 93 : น้ำตาลูกผู้ชาย
ไม่นานนักหลังจากซูอี้และหวงเฉียนจวินเดินจากไป…
โจวจือหลี ชิงจิน จางตั้ว และองครักษ์คนอื่นก็ลงจากเรือทีละคน
“องค์ชายหก!”
ไม่ไกลกันนัก ชายชราสวมหมวกสานไม้ไผ่เดินตรงมาประสานมือคารวะ บนใบหน้าเหี่ยวย่นปรากฏรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าชรารออยู่ที่นี่นานแล้ว”
โจวจือหลีเผยสีหน้าเปี่ยมสุข รีบคำนับกลับ “ผู้อาวุโสมู่มาด้วยตนเอง ข้าปลาบปลื้มใจยิ่ง”
ชิงจินเลิกคิ้วรับชม นางจำตัวตนของอีกฝ่ายได้
มู่จงถิง!
ผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ ปรมาจารย์วิถียุทธ์ผู้เก่งกล้า!
เขตปกครองหย่งเหอและเขตปกครองอวิ๋นเหออยู่ติดกัน หากควบม้าจากเขตปกครองหย่งเหอจะถึงเขตปกครองอวิ๋นเหอในหนึ่งวัน
มู่จงถิงภายนอกเหมือนชายชราชาวประมง เขากวาดตามองก่อนเอ่ยถ้อยคำ “องค์ชายหก ข้าไม่แนะนำให้อยู่ที่นี่นานเกินไป เราค่อยคุยหลังจากเข้าเมืองแล้ว”
โจวจือหลีตกลงอย่างว่าง่าย
บนเรือโดยสาร
รับชมกลุ่มโจวจือหลีและมู่จงถิงจากไป จางอี้เหรินก็เข้าสู่ห้วงความคิด จุดประสงค์การมาเยือนขององค์ชายหกคือสิ่งใด?
นอกจากนี้ ท่านเฉินเจิ้งกล่าวว่าจะมายังมหานครอวิ๋นเหอในไม่ช้า นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงหรือ?
ไม่นาน จางอี้เหรินส่ายศีรษะ ละทิ้งความคิด
ภายในเมืองมหานครอวิ๋นเหอ
ถนนและตรอกซอกซอยทอดยาวทั่วทุกทิศเสมือนใยแมงมุม ผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน ฉากความครึกครื้นเหล่านี้ แสดงถึงความมั่งคั่งและรุ่งเรือง
เปรียบเทียบกับความทรงจำของซูอี้ มหานครอวิ๋นเหอไม่ได้เปลี่ยนแปลงนัก
อย่างไรก็ตาม มันผ่านมาเพียงหนึ่งปีที่เขาถูกทอดทิ้งโดยสำนักดาบชิงเหอ
หากมีการเปลี่ยนแปลง อาจเป็นตัวเขาเองที่ต่างจากเดิม
ซูอี้เดินอย่างเกียจคร้านออกไปตามตรอก มือสองข้างไพล่หลัง ถามถ้อยคำเป็นกันเอง “เจ้าจะไปสำนักดาบชิงเหอเพื่อลงทะเบียนตอนนี้ หรือมีแผนการอื่นใด?”
หวงเฉียนจวินรีบตอบกลับ “ข้าจะปักหลักอยู่กับพี่ซูก่อน แล้วจึงค่อยไปลงทะเบียนที่สำนักดาบชิงเหอ”
การเข้าร่วมสำนักดาบชิงเหอของเขานั้นใช้เส้นสายผ่านความสัมพันธ์ของตระกูล จึงสามารถไปได้ทุกเมื่อ
ซูอี้ไม่ถามไถ่สิ่งใดอีก เขาเดินตรงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองตามความทรงจำในใจ
ผ่านไปได้ครึ่งทาง รถม้าตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามได้มาหยุดด้านข้างซูอี้
ม่านหน้าต่างเปิดออก เผยใบหน้างามสง่าทั้งหงุดหงิดและยินดี
บนมวยผมประดับปิ่นหงส์ไฟ คิ้วโค้งโก่งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาดำขลับแวววาว ผิวบอบบางราวกับเพียงเป่าแผ่วเบาก็สามารถทำให้หลุดลอก ครั้งสบตาพบความอ่อนโยนเหลือล้น น่าทะนุถนอมและงดงาม เปี่ยมด้วยเสน่หา
หวงเฉียนจวินค้างแข็งครู่หนึ่ง สาวน้อยผู้นี้มีเสน่ห์มากเกินไปหน่อยไหม?
“ข้าขอถาม ท่านใช่คุณชายซูหรือไม่?”
ริมฝีปากบางของหญิงสาวเผยออก เสียงอ่อนโยนไพเราะราวออกจากขลุ่ย
ซูอี้พยักหน้า หยุดคิดครู่หนึ่งและกล่าวออก “เจ้าคือคณิกาฉาจิ่นแห่งตึกบุปผาหอม?”
ดวงตาคู่งามเผยแววประหลาดใจ นางยิ้มเล็กน้อย “ถูกจดจำโดยคุณชายซู ผู้น้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง ”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงหลงเสน่ห์อันเหลือล้นของหญิงสาวผู้งามงดนี้ไปนานแล้ว
แต่ซูอี้กล่าวถ้อยคำเฉยเมย “เจ้ากำลังตามหาข้า?”
ฉาจิ่นกัดริมฝีปากแดงเรื่อแผ่วเบา ดวงตาส่องประกายเหมือนสายน้ำ ถ้อยคำจริงจังกล่าวออก “คุณชายซู ผู้น้อยอยู่บนเรือเมื่อคืนก่อน ได้ยินว่าคุณชายซูเป็นผู้พลิกกระแสน้ำ พลิกผันอันตรายกลายเป็นดี ดังนั้นเมื่อนั่งรถม้าผ่านและจดจำตัวตนของคุณชายได้ ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณคุณชายซูด้วยตัวเอง”
มองเห็นได้ว่านางเป็นหญิงสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปี แม้ขณะนี้นางจะเผยสีหน้าจริงจังขมวดคิ้ว แต่ความอ่อนโยนและเสน่ห์อันล้นเหลือของนางกลับไม่ลดลงเลย หวงเฉียนจวินด้านข้างเห็นแล้วใจสั่นไหว
ซูอี้ถอนหายใจ มองฉาจิ่นและเอ่ยคำ “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ขอแค่เจ้าไม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าติดตามองค์ชายหก นั่นก็เพียงพอแล้ว”
ใบหน้าฉาจิ่นนิ่งงัน นัยน์ตาหดลีบชัดเจน เม้มริมฝีปากบางก่อนกล่าวยิ้ม “เช่นนั้นแล้ว ข้าไม่ขอรบกวนให้คุณชายซูรำคาญใจ ข้าขอตัวลา”
สิ้นเสียง ม่านหน้าต่างถูกเลื่อนปิด รถม้าอันสวยงามเคลื่อนผ่านออกไป
เฝ้าดูรถม้าแล่นไปหยุดลงหน้าอาคารหรูหราห่างออกไป ดวงตาหวงเฉียนจวินเปล่งประกาย “น…นั่นฉาจิ่นไปที่ ‘ศาลาคลื่นซัดทราย’ เพื่อหาเลี้ยงตนหรือ? พี่ซู…เอ๊ะ?”
เมื่อหันกลับพบว่าซูอี้เดินไปไกลแล้ว เขาจึงไล่ตามออกไปอย่างรวดเร็ว
“พี่ซู ฉาจิ่นนางนั้นไปยังศาลาคลื่นซัดทราย มันคือหอนางโลมมีชื่อที่สุดของมหานครอวิ๋นเหอ และเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ความงามดั่งเมฆา พันทองหนึ่งฝัน’!”
หวงเฉียนจวินเผยความตื่นเต้น มือทั้งสองถูกันไปมา
จากนั้นถ้อยคำกล่าวออกอย่างระมัดระวัง “พี่ซู ทำไมเราไม่ลองสละเวลาเข้าไปดูด้านใน?”
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่กล่าวจบประโยค เขาแทบอยากตบหน้าตัวเอง
บัดซบ! ข้าแนะนำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ต่อตัวตนที่เลิศล้ำอย่างพี่ซูได้อย่างไร หากพี่ซูถือโทษโกรธขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร?
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เขากล่าวขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ “จะไปที่นั่นด้วยเหตุอันใด ไม่เห็นจะมีอะไรดี”
“เฮ้อ…”
หวงเฉียนจวินถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธ
…
ตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง
ย่านถนนต้นหลิว ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านดินที่ผุพังดูทรุดโทรม พื้นดินถนนเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ดูเหมือนว่าที่นี่เพิ่งมีฝนตก ทั่วทุกหนแห่งจึงเต็มไปด้วยดินโคลน
ที่นี่คือชุมชนแออัดตามปากคำของเฉิงอู้หย่ง ที่ซึ่งคนยากไร้อาศัยอยู่อย่างยากลำบาก
กราดมองรอบบริเวณล้วนสกปรกและมีกลิ่นเหม็นเอียน
เมื่อเทียบกับย่านอื่นของมหานครอวิ๋นเหอ ที่นี่เหมือนกับอยู่คนละโลก
เมื่อซูอี้และหวงเฉียนจวินย่างกรายเข้ามาบนถนนแห่งนี้ อาจด้วยเสื้อผ้าหรูหราและแวววาว พวกเขาจึงดึงดูดความสนใจผู้คนมากมาย
“คุณชาย โปรดให้เงินแก่ข้า ลูกของข้าต่างหิวโหยมาหลายวันแล้ว”
หญิงร่างผอมคุกเข่าเบื้องหน้าพลางร้องไห้อ้อนวอน ทั่วร่างกายเปรอะเปื้อนด้วยน้ำโคลน
หวงเฉียนจวินทนเห็นภาพเบื้องหน้าไม่ได้ ขณะที่กำลังจะควักเงินออกมา ทว่ากลับถูกซูอี้ห้ามปรามไว้
ซูอี้กล่าวเฉยเมย “หากเอาเงินออกมา เพียงครู่เดียวเจ้าจะถูกรายล้อมด้วยขอทานจำนวนมากในตรอกนี้ จากนั้นเจ้าจะไม่อาจออกจากที่นี่ได้หากไม่ควักเงินออกมาจนหมด”
หวงเฉียนจวินเปิดปากกล่าวถ้อยคำ “ด้วยกำลังของเรา คนเหล่านี้จะหยุดไว้ได้เชียวหรือ?”
ซูอี้ถามกลับ “แล้วด้วยจิตสำนึกของเจ้า เจ้าหยาบช้าพอจะทำร้ายพวกเขาหรือไร? หากได้รับบาดเจ็บไป คนเหล่านี้ไม่มีเงินรักษาและทำได้เพียงนอนรอความตาย”
“นี่…”
หวงเฉียนจวินพลันกระอักกระอ่วน
“เราสองเป็นสหายของเฝิงเสี่ยวเฟิง”
ซูอี้มองหญิงสาวที่คุกเข่าบนพื้น “หากลูกเจ้าหิว จงพาพวกเขาไปยังบ้านของเฝิงเสี่ยวเฟิงเถิด”
หญิงผู้นั้นตะลึงแล้วรีบลุกขึ้นเดินจากไปพลางสบถดัง “ทำไมเจ้าไม่พูดแต่ก่อนหน้า ข้าจะได้ลุกออกจากน้ำโคลนโดยเร็ว!”
“นี่มันบัดซบอะไรกัน??”
หวงเฉียนจวินแทบไม่อยากเชื่อสายตา
“เพียงเพื่อเอาชีวิตรอด คนเหล่านี้กอดกันเพื่อให้ความอบอุ่น พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อใดที่เจ้ารู้จักหนึ่งในพวกเขา ผู้อื่นจะเลิกมองเจ้าเป็น ‘แกะอ้วน’ ที่หลงฝูงเข้ามา”
ขณะพูด ซูอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว
หวงเฉียนจวินรีบตามไปทันทีและเอ่ยถาม “พี่ซู ใครคือเฝิงเสี่ยวเฟิง?”
“สหาย”
สองคำกล่าวออก ปรากฏร่องรอยอารมณ์ในแววตาของซูอี้
สำหรับตัวเขาก่อนฟื้นความทรงจำ คำว่าสหายนั้นสำคัญยิ่งกว่าสมบัติใดในโลกหล้า
เฝิงเสี่ยวเฟิงเป็นหนึ่งในสหายเพียงไม่กี่คนของเขายามเมื่อครั้งฝึกฝนอยู่ในสำนักดาบชิงเหอ
ไม่นานนักซูอี้ก็หยุดยืนที่หน้าบ้านทรุดโทรมแห่งหนึ่งในส่วนลึกของตรอก
บ้านนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงโคลนเตี้ย ดูแล้วได้รับความเสียหายอย่างหนักมาหลายปี ประตูเหล็กขึ้นสนิมเขรอะ เมื่อมองผ่านเข้าไปจะเห็นภายในลาน ถัดจากลานลึกเข้าไปแลเห็นบ้านดินสามหลังติดกัน แปลงผักหนึ่งแปลง ต้นหลิวเขียวขจียืนเด่นหนึ่งต้น ไก่และเป็ดอีกราวเจ็ดตัว
ร่างผอมบางนั่งบนรถเข็นไม้ นุ่งเสื้อผ้าทำจากกระสอบเก่าคร่ำคร่า ขณะกำลังทำอาหารอยู่หน้ากองไฟ
ควันอาหารโอบล้อมรอบร่างเขา เสียงไอรุนแรงดังขึ้นครั้งคราว
เมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาซูอี้หรี่ลงเล็กน้อยพลางกล่าวออกแก่หวงเฉียนจวิน “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็ผลักประตูเดินตรงเข้าไปในลาน
“เสี่ยวเหรินกลับมาแล้วหรือ? เข้าไปทำการบ้านรอก่อน พี่ชายจะเตรียมอาหารเย็นให้”
ร่างผอมในรถเข็นพูดขึ้น
แต่ในทันใดเขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เมื่อหันมองดูก็เห็นร่างสูงยืนอยู่ด้านข้าง
ทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ร่างผอมตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ “ศิษย์พี่ซูอี้! เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”
เขาหยิบไม้เท้าด้านข้างและกำลังจะลุกขึ้น แต่ถูกซูอี้จับไว้พลางเอ่ยคำ “ข้าเพิ่งมาถึงมหานครอวิ๋นเหอ แต่ไม่คาดคิด เพียงไม่เจอหนึ่งปีกว่า เจ้ากลับกลายเป็นเช่นนี้” แววตาซูอี้ดูสับสนเล็กน้อย
ร่างผอมบางเบื้องหน้าเขาคือเฝิงเสี่ยวเฟิง แต่อีกฝ่ายตอนนี้แตกต่างจากภาพจำผู้ซึ่งเคยเป็นชายหนุ่มผู้เก่งกล้าที่เขาเคยประทับใจอย่างสิ้นเชิง
ผมเผ้าพันกันยุ่งเหยิง เสื้อผ้าชำรุดทรุดโทรม ร่างผอมบางและผิวหมองคล้ำ ใบหน้าของชายหนุ่มที่ควรร่าเริง กลับถูกย้อมจนขุ่นมัวด้วยสายลมและน้ำค้างแข็ง
เห็นได้ชัดว่าขาของอีกฝ่ายไม่สามารถใช้การได้และจำเป็นต้องนั่งรถเข็นเท่านั้น
ความยินดีบนใบหน้าเฝิงเสี่ยวเฟิงเริ่มจางหาย เขานิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มกล่าวถ้อยคำ “ข้ายังดีอยู่เช่นเดิม”
“ไม่ดีแม้แต่น้อย”
ซูอี้เหลือบมองบ้านอันทรุดโทรม ก่อนสายตาจะหยุดลงที่หม้อสีดำบนกองไฟ
น้ำต้มกำลังเดือดพล่าน มีเพียงรำข้าวผลุบโผล่ในน้ำอย่างน่าเวทนา
อารมณ์ของซูอี้พลันดิ่งฮวบรุนแรง
“ศิษย์พี่ซูอี้ ทุกอย่างในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้ข้ากลายเป็นคนพิการ แม้ชีวิตจะย่ำแย่อยู่บ้าง แต่ก็พอเอาตัวรอดได้”
เฝิงเสี่ยวเฟิงเงยหน้ากล่าวถ้อยคำจริงจัง “ข้าไม่ต้องการความสงสารหรือความช่วยเหลือจากท่าน แค่ท่านมาหาข้าก็สุขใจมากแล้ว”
“แต่ข้าไม่”
ซูอี้ตบไหล่เฝิงเสี่ยวเฟิง “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลสิ่งใด กลัวว่าข้าจะไปล้างแค้นแทนเจ้า กลัวว่าหากข้าปรากฏตัว ตัวข้าจะถูกล้างแค้นจากผู้ที่รังแกเราในตอนนั้น”
สิ้นเสียง ซูอี้เผยยิ้ม แววตาลึกล้ำยากหยั่งถึงความคิดอ่าน “หากเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าคิดถูกแล้ว ข้ากลับมาครั้งนี้ก็เพื่อชำระหนี้แค้นในอดีตและกำจัดความคับข้องใจที่สุมอยู่ในอก!”
เฝิงเสี่ยวเฟิงกล่าวคำตกใจ “ศิษย์พี่ต้องการแก้แค้น? หรือว่า…”
“ใช่ การบ่มเพาะของข้าฟื้นคืนแล้ว”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าวเสริมในใจ “อีกอย่าง ข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่เพียงแต่สามารถสะสางหนี้แค้น แต่ข้าสามารถช่วยรักษาขาที่พิการของเจ้าได้ด้วย!”
เฝิงเสี่ยวเฟิงพูดโพล่งอย่างประหลาดใจ “นี่เป็นข่าวดีจริง! ฮ่า ๆๆ”
เขาหัวเราะจนหางตาเอ่อชื้น
เขาสูดหายใจเข้าลึกอยู่สองถึงสามครั้ง น้ำตาที่ปริ่มจะร่วงหล่นเหือดหายกลับเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
บุรุษไม่ควรหลั่งน้ำตาโดยง่าย!