บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 932: ปรากฏกาย
ตอนที่ 932: ปรากฏกาย
ชายในชุดนักรบผู้หนึ่งเข้ามากล่าวกับเย่อวี๋เบา ๆ “ผู้อาวุโส สวรรค์ไม่เคยขวางทางผู้ใด สรรพสิ่งไร้ประมาณ อย่าถอดใจเลย”
ชายในชุดนักรบสูงใหญ่ดูแข็งกร้าว
เขาคือบรรพชน ‘เว่ยเต้าเยวี่ยน’ จากตระกูลเว่ยจากมหาภูผา
เขาคือผู้เดียวที่ทราบว่าไฉนเย่อวี๋จึงโศกเศร้า
เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน เขาร่วมมือกับเย่อวี๋ตั้งพื้นที่ต้องห้ามลึกเข้าไปในมหาภูผา และให้ผู้ฝึกตนจากเผ่าปีศาจลิงพันหน้าผู้หนึ่งแสร้งสวมรอยเป็นเขา
จากนั้นก็ทิ้งหยกประสานวิญญาณบุตรมารดาไว้ชิ้นหนึ่ง
ไม่นานมานี้ เย่อวี๋สัมผัสสัญญาณจากหยกประสานวิญญาณบุตรมารดาได้ และตัดสินได้ทันทีว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินกลับมาแล้ว!
ยามนั้น กระทั่งเว่ยเต้าเยวี่ยนก็ยังตื่นเต้น เขาก็รอแทบไม่ไหวเช่นกัน
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงมหันต์ในเมืองมืดจะขวางทางกลับสู่โลกภายนอกของพวกเขาสิ้น!
“สวรรค์ไม่เคยขวางทางผู้ใด?”
เย่อวี๋พึมพำเบา ๆ “เว่ยน้อย เจ้าคิดว่าเรายังมีหวังรอดชีวิตอยู่หรือ?”
นางมองไปไกล
รอยแตกมิติอันพาดผ่านเวหานั้นเรียกว่า ‘รอยแบ่งเขตแดน’
มันเหมือนแนวป้องกันที่หยุดเหล่าปีศาจร้ายในโลกแห่งความมืดห่างออกไปไว้
ทว่ายามนี้ แม้กระทั่ง ‘รอยแบ่งเขตแดน’ ก็กำลังจะพังทลาย
เมื่อแนวป้องกันนี้พังลง จักรพรรดิสิบกว่าคนที่เหลือรอดก็ต้องหนี ทำได้เพียงรักษาชีวิตรอดจากปีศาจร้ายเหล่านั้น
“ข้าไม่รู้ว่าจะยังมีหวังหรือไม่ ทว่าข้าจะไม่ยอมแพ้จวบจนวาระสุดท้าย!”
เสียงของเว่ยเต้าเยวี่ยนดังสนั่น
เย่อวี๋พยักหน้าน้อย ๆ ไม่ได้กล่าวอันใด
ไกลออกไปในโลกหล้าอันมืดมิด เสียงเป่าแตรดังกังวาน ตามด้วยเสียงกลองสะท้านทั่วแดนดิน
จากนั้นร่างตะคุ่มของปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งทะยานเข้าใส่ ‘รอยแบ่งเขตแดน’ ทันที
“มันเริ่มอีกแล้ว!” ใครบางคนกล่าวขึ้นมา
ในระหว่างช่วงนี้ สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วหลายหน
ปีศาจเหล่านั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจักรพรรดิเลย และยังมีตัวตนร้ายกาจบางตนเทียบได้กับขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำด้วย
เพื่อไม่ให้ ‘รอยแบ่งเขตแดน’ นี้ถูกยึดครอง พวกเขาจึงส่งจักรพรรดิมาต่อสู้กับปีศาจเหล่านี้
จวบจนยามนี้ ผ่านไปเพียงเดือนเศษ แต่แม้พวกเขาจะปกป้องรอยแบ่งเขตแดนไว้ได้ แต่ก็เสียตัวตนจักรพรรดิไปมากกว่าสิบคน
และยามนี้ ปีศาจเหล่านี้ก็กำลังโจมตีอีกครั้ง!
“บัดซบเอ๊ย ข้าจะออกไปสู้กับไอ้สารเลวพวกนั้นเอง!”
ชายร่างสูงใหญ่กำยำผู้กำลังซ่อมดาบลุกขึ้นตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวมาดร้าย
สตรีผมขาวผู้กำลังร่ำสุราอยู่เงียบ ๆ วางไหลงบนพื้นและลุกขึ้นช้า ๆ และพุ่งขึ้นสู่เวหาพร้อมบรรยากาศเย็นเยียบ
“พวกเจ้าต่างบาดเจ็บสาหัส ให้ข้ากับเฒ่าอินไปเถอะ”
ชายชุดขาวผู้เหน็บดาบโบราณกล่าวเสียงลุ่มลึก
ว่าแล้ว เขาก็มองไปยังบัณฑิตวัยกลางคนผู้ถือขลุ่ยกระดูก แล้วอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ
ในช่วงกาลผ่านมานี้ พวกเขาต่อสู้บ่อยครั้ง และบาดเจ็บกันไม่มากก็น้อย
ที่ยิ่งแย่ก็คือ โอสถเยียวยาที่พวกเขามีกำลังจะหมดไป!
“ข้าจะไปด้วย”
เย่อวี๋ลุกขึ้น
ยามนี้ ความเศร้าหมองผิดหวังบนใบหน้าของนางสลายไปแล้ว ใบหน้างามของนางเยือกเย็นดุจผิวทะเลสาบ เต็มไปด้วยความขึงขังยิ่งใหญ่
คู่เนตรเจิดจรัสงดงามมีจิตสังหารอันโหดเหี้ยมน่าตกใจ
สีหน้าของเว่ยเต้าเยวี่ยนแปรเปลี่ยนกะทันหัน จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “สถานการณ์ครานี้มีบางอย่างผิดปกติ”
ทุกคนมองขึ้นไปข้างบน
และเห็นว่าไกลออกไปในดินแดนอันมืดมิด ร่างตะคุ่มของเหล่าปีศาจต่างทะยานเข้ามาอย่างไม่รู้จบ ปราณของแต่ละตนต่างดุร้ายโหดเหี้ยม
“พวกมันตัดสินใจลุยเต็มกำลังแล้วหรือ!?”
ชายร่างสูงใหญ่สูดหายใจเฮือก
คนอื่น ๆ เองก็เปลี่ยนสีหน้า หัวใจของพวกเขาหนักอึ้ง
“ทุกคน ลงมือด้วยกันเถอะ!”
บัณฑิตวัยกลางคนรำพึง
คนทุกผู้ต่างเห็นว่าครานี้หากไม่ทุ่มสุดตัว รอยแบ่งเขตแดนชะรอยจะถูกทำลายก็ครานี้ และยามนั้น พวกเขาจะจนตรอก!
“ไป!”
ร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีครามดุจผืนน้ำ ทะลวงเวหาตรงไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ จักรพรรดิคนอื่น ๆ ก็กัดฟันทะยานตาม
“แม่นางเย่อวี๋ เป็นเกียรติของข้าลู่สิงที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเจ้าตลอดมานี้”
ชายชุดขาวเหน็บดาบโบราณมองเย่อวี๋ด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
เขาแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มจาง ๆ ทันที ก่อนจะฟาดดาบแหวกอากาศทะยานสู่สนามรบอันห่างออกไป
เย่อวี๋เม้มปากไม่กล่าววาจาใด เอื้อมหยิบโคมออกมาดวงหนึ่งและเดินขึ้นสู่อากาศ
เว่ยเต้าเยวี่ยนตามนางไปติด ๆ
จักรพรรดิมากกว่าสิบร่วมมือพร้อมเพรียง ข้ามรอยแบ่งเขตแดนไปเป็นครั้งแรก และลงมือเข่นฆ่าปีศาจมวลมารที่ออกมาจากรัง
ตู้ม!
สงครามปะทุ โลกหล้าซีดสี
แสงศักดิ์สิทธิ์ไร้ใดเทียบกระหวัดพันกับสมบัติล้ำค่า ก่อกวนกระแสแห่งโลกหล้าราวบังเกิดสงครามเทพ
เสียงเลือนลั่นแห่งศึกสงคราม เสียงคำรามการประชันสมบัติครางครืนสะท้านทศทิศ
ทว่าปีศาจอันร้ายกาจมีมากมายเกินไป พวกมันมีกันมากกว่าสี่สิบ ตัวที่อ่อนแอที่สุดเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ส่วนตัวที่แข็งแกร่งเพียงพอจะเทียบชั้นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้
ไม่นานหลังเริ่มศึก เย่อวี๋ เว่ยเต้าเยวี่ยนและคณะต่างถูกปิดล้อม สถานการณ์อันตราย
จักรพรรดิบางคนบาดเจ็บสาหัส และเมื่อมาถูกล้อมโจมตีเช่นนี้ พวกเขาก็พบอันตรายจนอาจตายได้ทุกเมื่อ
“ทุกคน ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน หากมีโลกหน้า ข้าหวังจะได้รับโอกาสต่อสู้เคียงบ่าทุกท่านอีกครั้งนะ!”
ทันใดนั้น ชายชราผอมแห้งในชุดดำก็ระเบิดหัวเราะ
เขาบาดเจ็บสาหัสเกินไป และไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงผู้ใด จึงตั้งใจแผดเผาร่างตนตกตายไปพร้อมศัตรู
“ช้าก่อน!”
ร่างของเย่อวี๋พลันปรากฏข้างกายชายชราผอมแห้ง นางคว้าคอเสื้อของเขาโยนออกไปไกลจากสนามรบ
“ต่อให้สิ้นหวัง ก็อย่าด่วนจากไปยามนี้ รีบกลับจุดพักแรมเร็วเข้า!”
“ข้า…”
ชายชราผอมแห้งริมฝีปากสั่น ดวงตาของเขาแดงฉาน
ท้ายที่สุด เขาก็กันฟันกลับที่พักแรมไปเงียบ ๆ
ไม่นานนัก ใครบางคนก็ทนไม่ไหวแล้ว
โลหิตหลั่งรินจากปากของสตรีผมขาว ผิวกระจ่างของนางปริจนโลหิตหลั่งไหล
ทว่านางไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย จิตสังหารของนางพลุ่งพล่าน ทิ้งความอาลัยในชีวิต พุ่งสังหารศัตรูอย่างบ้าคลั่ง
ตู้ม!
อสนีบาตคลั่งสีชาดพลันปรากฏ แปรเปลี่ยนเป็นหอกสีเลือดแทงเข้าใส่สตรีผมขาวอย่างแรง
สตรีผมขาวกำลังรับมือปีศาจมากมาย สายเกินกว่าจะปัดป้อง
เมื่อนางสังเกตเห็น นางผู้บาดเจ็บสาหัสใกล้ตายอดยิ้มอย่างขมขื่นใจไม่ได้
ทว่ายามนี้เอง แสงสีทองพร่างพรายพลันสว่างวาบ ขยี้ใส่หอกสีเลือดด้วยอำนาจทำลายล้างสูงส่ง
แทบจะในยามเดียวกัน ร่างของสตรีผมขาวก็ถูกมือหนึ่งคว้าโยนออกไปนอกสนามรบ
“เจ้าเองก็กลับจุดพักแรมด้วย อย่าทำให้ข้าเสียแรงเปล่า!”
นางคือเย่อวี๋ผู้ร่างเต็มไปด้วยเลือด นางบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสีหน้าแววตาของนางยังคงสุขุม
สตรีผมขาวตะลึงและกล่าวเสียงดัง “เย่อวี๋ สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะช่วยได้สักกี่คน? เจ้าจะอยู่รอดได้นานเพียงไร?”
“ช่วยได้สักกี่คน? อยู่ได้นานเพียงไร?”
เย่อวี๋ยังคงต่อสู้อย่างหนักบนสนามรบ “ต่อให้สุดท้ายข้าจะต้านไม่ไหว ข้าก็ไม่ให้เจ้าตายตรงหน้าข้าอยู่ดี”
วาจานั้นถูกกล่าวอย่างสุขุมมุ่งมั่น
เหล่าจักรพรรดิผู้กำลังต่อสู้กับปีศาจเหล่านั้นอดตื้นตันใจ หัวใจเต้นแรงไม่ได้
ในระหว่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดสงครามหนใด เย่อวี๋จะอยู่ในแนวหน้าเสมอ
และเมื่อถอยทัพ นางจะกลับมาเป็นคนสุดท้าย!
ไม่มีผู้ใดขอให้เย่อวี๋ทำเช่นนี้
เพราะเหตุนี้ ในใจของเหล่าจักรพรรดิเหล่านี้ เย่อวี๋จึงไม่ต่างจากผู้นำที่พวกตนอดเคารพไม่ได้
“หากเจ้าทนไม่ไหว ข้าจะตายต่อหน้าเจ้า”
สตรีผมขาวลอบกล่าวในใจ
นางหันหลังจากสนามรบ และกลับสู่สถานที่พักแรมเพื่อเริ่มฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด
ในระหว่างนั้น บุคคลผู้ไม่อาจรั้งไหวก็มีมากขึ้นทุกที และต่างได้รับความช่วยเหลือจากเย่อวี๋ สั่งกลับสู่สถานพักแรมโดยถ้วนทั่วไม่ละเว้น
ผลก็คือ เย่อวี๋ต้องเผชิญแรงกดดันมากขึ้นทุกขณะ
ท้ายที่สุด ในสนามรบก็เหลือเพียงนาง เว่ยเต้าเยวี่ยน และชายชุดขาวลู่สิงต่อสู้เคียงบ่า ถูกล้อมโจมตีได้แผลอย่างต่อเนื่อง…
กระทั่งทางหนียังไม่มี!
“แม่นางเย่อวี๋ เจ้ากับสหายเต๋าเว่ยควรไปนะ พวกเหลือขอพวกนี้หากจะทำลาย ‘รอยแบ่งเขตแดน’ ก็ต้องใช้เวลานานพอที่จะให้พวกเจ้าฟื้นพลังกายได้บ้างแหละ”
ทันใดนั้น ลู่สิงก็กล่าวขึ้นยิ้ม ๆ
ชายชุดขาวอาบโลหิตเต็มกาย บาดเจ็บสาหัส
ทว่าสีหน้าของเขาไร้ความกลัว
“ให้ข้า ลู่สิง ต่อสู้เปิดทางให้พวกเจ้าเถอะ!”
ลู่สิงสูดหายใจลึก ๆ ด้วยดวงตามุ่งมั่น
ดาบวิถีของเขาส่งเสียงครวญสะท้านไหว ใบดาบเรืองรองทอประกาศเจิดจ้าราวลุกไหม้
เย่อวี๋ขมวดคิ้ว
นางพยายามจะหยุดเขา ทว่าไม่อาจทำได้
ปีศาจเหล่านั้นกลุ่มรุมนาง ไม่มอบโอกาสให้นางหยุดเขาเลย
ยามนั้นเอง…
“เย่น้อยน่ะของบ้านข้า เจ้าไม่ต้องสู้เพื่อนางหรอก”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น โลกหล้าก็สะท้านไหวรุนแรง และดาบหยกปลายมนดุจอัคคีเล่มหนึ่งก็ปรากฏฟาดฟัน
ตู้ม!
เหล่าปีศาจที่ล้อมรุมเย่อวี๋ต่างถูกกระแทกกระเด็นออกไป
ปีศาจสองตนถูกสังหารในพริบตา วิญญาณสลายหาย
หนึ่งการโจมตีนี้ช่วยเย่อวี๋คลายวงล้อมได้!
การโจมตีรุนแรงนี้ทำให้เหล่าผู้มองตะลึงในทันใด
“นี่…”
ลู่สิงผู้เตรียมการทะลวงวงล้อมอย่างสิ้นหวังเบิกตากว้าง
เว่ยเต้าเยวี่ยนอดอ้าปากค้างไม่ได้
เย่อวี๋ตะลึง แววตาของนางเหม่อลอยเล็กน้อย
ร่างอรชรร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายนาง ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ เย็นชาราวน้ำแข็ง ยิ่งใหญ่ดุจเทพเซียน
“ใต้เท้าโยวเสวี่ย ท่าน… ไฉนจึงอยู่ที่นี่เจ้าคะ?”
เย่อวี๋ไม่อยากเชื่อสายตา
“ครานี้ ไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะที่อยู่ที่นี่”
โยวเสวี่ยกล่าวเบา ๆ
เสียงของนางยังไม่ทันจางหาย…
ตู้ม!
แผ่นพสุธาสะเทือนไหว
ไกลออกไป มารปีศาจบางตนพลันระเบิดร่างสิ้นใจคาที่
ร่างของตัวตนร้ายกาจสิบกว่าตน เช่นจักรพรรดิกระดูกขาว ท่านเทพดาราคล้อย และจักรพรรดิร้ายฉือเลี่ยนต่างปรากฏขึ้น
แต่ละผู้ต่างมีปราณดุร้าย อำนาจอหังการ!
เหล่าปีศาจในสนามรบดูตกใจ พวกมันต่างพากันร่นถอยอย่างตระหนก
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะในสนามรบอันแสนโศก
จากนั้น ภายใต้สายตาเหลือเชื่อของเหล่าผู้เฝ้ามอง
พวกเขาพบว่าเบื้องหลังเหล่าตัวตนร้ายกาจอย่างจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อย ปรากฏชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งขี่บนหลังสัตว์สุญญะสว่างว่างกำลังเดินมาทางนี้