บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 934: คลายปมในใจ
ตอนที่ 934: คลายปมในใจ
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
มือเท้าของลู่สิงสั่นเล็กน้อย
นับแต่ห้าร้อยปีก่อน ข่าวการตายของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็ลือกันไปทั่วภูมิมืดมิดแล้ว
กล่าวกันว่าเขาน่าจะเวียนวัฏสงสาร
ทว่าไม่มีผู้ใดถือมันเป็นจริงเป็นจัง
และด้วยการผันผ่านของกาลเวลา ผู้คนก็ได้ลืมข่าวลือนี้ไป
เพราะถึงอย่างไร หากปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเวียนวัฏสงสารเกินใหม่จริง ๆ เวลาห้าร้อยปีก็พอให้เขาเรืองอำนาจโด่งดังทั่วโลกาอีกครั้งได้แล้ว
ทว่ากลับไร้ข่าวคราว
“เป็นไปไม่ได้!”
ลู่สิงกล่าวอธิบาย “พ่อหนุ่มเมื่อครู่อายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปด เขาจะเป็นร่างเวียนวัฏสงสารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินได้เช่นไร? หรือหากเขาเวียนวัฏสงสารได้จริง ๆ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็น่าจะมีอายุห้าร้อยปีได้แล้วนะ”
เขากล่าววาจาเหล่านี้ด้วยเสียงหนักแน่น ราวกับอยากให้ผู้อื่นเชื่อ แต่ก็เหมือนกล่อมตนเองมากกว่า
ตัวตนจักรพรรดิผู้อื่นต่างแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ทว่า หากไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แล้วผู้ใดในโลกเล่าที่จะทำให้เหล่าตัวตนร้ายกาจเหล่านี้ก้มหัวรับใช้? ใครเล่าที่จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์จะชอบเพียงนี้?”
บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวขึ้น
“นี่…”
ทุกคนเงียบไป
นี่เป็นดั่งปริศนา ทำให้เหล่าผู้เฒ่าเจนโลกอย่างพวกเขาไขว้เขวเล็กน้อย
“พวกเจ้าห่วงอันใดกัน? ไม่ว่าตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้นจะเป็นใคร แต่เขาก็คือผู้ช่วยเหลือสำหรับเรา!”
ชายร่างสูงใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเปล่ง คนทุกผู้ก็พยักหน้า
…
ไกลออกไป ศึกยังคงดำเนินต่อไป
ความแตกต่างก็คือ ยามนี้เหล่าปีศาจร้ายพวกนั้นคือผู้ที่ถูกเข่นฆ่า!
ไม่ใช่เพราะปีศาจร้ายเหล่านั้นไม่แข็งแกร่งพอ
แต่เป็นเพราะพวกจักรพรรดิกระดูกขาวนั้นแต่เดิมเป็นตัวตนระดับผู้ครองพื้นที่ต้องห้ามในเมืองมรณะ และด้วยการมีอยู่ของโยวเสวี่ยผู้ใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเข้าสยบ การจัดทัพเช่นนี้มิใช่สิ่งที่เหล่าปีศาจร้ายยื้อยุดได้เลย
ทั้งหมดนี้ยังทำให้หัวใจของลู่สิงและจักรพรรดิคนอื่น ๆ ตื่นตะลึงและสงบใจลง
ยามนี้ ซูอี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน มือถือไหสุรา ขณะเสวนากับเย่อวี๋ เขาเมินศึกที่เกิดขึ้นข้างนอกโดยสิ้นเชิง
สำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นการสยบวัดเสวียนหมิงที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วก็ดี หรือศึกที่อยู่ตรงหน้าก็ดี ทั้งหมดนี้ดูน่าเบื่อนัก
เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะเขามิอาจใช้การฝึกฝนของตนเข้าแทรกได้เลย จึงทำได้เพียงปล่อยตัวตนร้ายกาจเหล่านี้ลงมือเท่านั้น
ในทางกลับกัน การปราบผู้ลงโทษหน้าศิลาหลุมศพในคืนนี้ และการเผชิญหน้ากับยมบาลผู้งดงามในนภาโกลาหลต่างหากที่ทำให้ซูอี้รู้สึกประสบความสำเร็จ
แน่นอนว่าสำหรับเขาในยามนี้ เย่อวี๋ที่อยู่ตรงหน้าเขาสำคัญที่สุด
“ไฉนเจ้าจึงหยุดพูดหลังพบข้าเล่า?”
ซูอี้ถามยิ้ม ๆ
เย่อวี๋กระชับอาภรณ์ของนาง และนั่งลงข้างโขดหินอย่างเรียบร้อย นางดูลังเลที่จะพูด
หลังถูกซูอี้เอ่ยถาม ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มของนางดูเคอะเขินเล็กน้อย และกล่าวออกมาตรง ๆ “แต่เดิม… ข้ามีเรื่องจะพูดมากมาย แต่หลังพบเจ้าจริง ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดไม่สำคัญแล้ว”
นางดูเหมือนกับหญิงสาวแรกแย้ม บนศีรษะประดับมงกุฎบงกชและอาภรณ์สีดำอันรับกับรูปร่างเพรียวบางของนาง
เทียบกับเสน่ห์เย่อหยิ่งเย็นชา สูงส่งเกินใครของโยวเสวี่ยแล้ว เย่อวี๋ดูสงบเงียบบริสุทธิ์ เป็นเสน่ห์สง่างามแห่งธรรมชาติสรรค์สร้าง
คิ้วโก่งสวยดุจขุนเขา นัยน์ตาได้รูป ริมฝีปากอิ่มสีชมพู ทุกการกระทำราวนางสวรรค์ผู้เยื้องย่างออกจากภาพวาด
หลังครุ่นคิดสักพัก เย่อวี๋ก็ก้มหน้าลงกล่าว “ข้ารู้สึกเพียงว่า ตราบใดที่ข้าได้ติดตามข้างกายพี่ซู ข้าก็พอใจมากแล้ว”
อารมณ์ของซูอี้ซับซ้อนเล็กน้อย
ในอดีตชาติของเขา เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้บริสุทธิ์สูงส่ง แม้จะไม่ใช่นักรัก แต่ก็มีคนสนิทผู้ฝึกฝนบำเพ็ญคู่กันอยู่บ้าง
ทว่าเฉพาะยามปฏิบัติตนต่อเย่อวี๋ เขาก็อดรู้สึกละอายในใจบ้างไม่ได้
ที่มาแห่งความละอายนี้เกิดจากความจริงที่เขาผิดต่อความรักของเย่อวี๋ยามเมื่อเขาอยู่ในภูมิมืดมิดเมื่ออดีตชาติ…
ยามนั้น ในใจของเขา เย่อวี๋เป็นสตรีผู้พิเศษยิ่ง มีกิริยาท่าทางสงบเงียบอ่อนโยน รูปลักษณ์งดงาม จิตใจบริสุทธิ์ดั่งแผ่นกระดาษขาว
แม้เขาจะรู้ว่าเย่อวี๋ชอบเขาก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจรั้งนางไว้ได้
เพราะชายหนุ่มรู้ตนเองดี เป็นไปไม่ได้เลยที่สตรีใดในโลกจะผูกมัดเขาไว้ได้
นอกจากนี้ ณ ขณะนั้น เขายังมุ่งมั่นกับการสำรวจค้นหาเคล็ดเวียนวัฏสงสารจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเย่อวี๋ไป
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร
เพราะถึงอย่างไร เรื่องเช่นนี้บังคับกันไม่ได้
ทว่า ใครเล่าจะติดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เย่อวี๋นั้นรักเขามาโดยตลอด และช่วยเขารวบรวมทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสารโดยไม่รู้สึกเสียใจ
นางไม่เคยหมกมุ่นในตัวเขา ไม่เคยแสดงความชิงชัง และไม่เคยรู้สึกเศร้าเพราะการปฏิเสธของเขา
ทว่านางกลับคิดถึงเขาและทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อเขาอย่างเงียบ ๆ
จนกระทั่งเขาเดินทางออกจากภูมิมืดมิดอย่างเด็ดเดี่ยว และยามนั้นเองเย่อวี๋จึงอดหลั่งน้ำตาไม่ได้
จวบจนวันนี้ ซูอี้ก็ยังจำได้แม่นยำว่าเย่อวี๋สวมมงกุฎ เสื้อคลุมกระเรียนและถือโคมบงกช เดินจากไปตามลำพังด้วยน้ำตาคลอเบ้า ร่างผอมบางของนางเดียวดายท่ามกลางโลกหล้าอันมืดมิดว่างเปล่า
เขายังจำได้ดีถึงวาจาที่นางทิ้งไว้ก่อนจากไป “ซูเสวียนจวิน ข้าจะรอเจ้ากลับมา ไม่ว่าจะต้องรอไปชั่วชีวิตหรือไม่”
โชคร้ายที่หลังจากไปครานั้นจวบจนยามเวียนวัฏสงสาร ซูอี้ก็ยังไม่เคยกลับไปภูมิมืดมิดเลย…
มันช่างโหดร้าย
ทว่าไร้ผู้ใดจะรู้ว่าไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ชายหนุ่มก็ยังคงละอายที่ตนปฏิบัติต่อหญิงสาวเช่นนั้นไม่คลาย
นี่ยังเป็นเหตุผลที่เขาไว้ชีวิตธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อจากโถงวิญญาณหยินทมิฬยามเขาอยู่ในมหาทวีปคังชิง เพราะเสวียนจื่อมาจากเผ่าปีศาจงู
นี่คือเหตุที่เขาอดทนยามปฏิบัติตนต่อเจ้าเด็กอวดดีเช่นเย่ซุ่น
และยังเป็นเหตุที่เมื่อเขารับรู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงในเมืองมืดและนางติดอยู่ในนั้น เขาจึงมาช่วยโดยเร็วที่สุด!
ยามนี้ เขาก็ได้พบเย่อวี๋อีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี ได้มองใบหน้างดงามคุ้นตาของหญิงสาว และฟังวาจาอันอ่อนหวานของนาง
เช่นนี้เขาจะไม่รู้สึกเว้าวอนได้อย่างไร?
“กาลก่อน ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้ และทำให้เจ้าต้องโศกเศร้ามากนัก”
ซูอี้ถอนหายใจหลังครุ่นคิดสักพัก “ในโลกนี้ เจ้าคือผู้เดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดจวบจนยามนี้ได้”
แพขนตาของเย่อวี๋ระริกไหวเล็กน้อย นางดูประหลาดใจ แต่ก็ยังดูหวาดหวั่นด้วย และอธิบายเสียงเบา “พี่ซู ข้า… ข้าไม่คิดเลยว่าจะทำให้เจ้ารู้สึกผิด”
ซูอี้โบกมือด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกผิดของข้าเอง ข้าไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจเจ้า ทว่าสุดท้ายข้าก็ทำมันลงไป เรื่องบนโลกหล้าช่างไร้เหตุผลนัก”
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า “พี่ซู ที่เจ้ามาช่วยข้านี่ เจ้าพยายามชดใช้ความรู้สึกผิดในใจหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ข้าคิดเช่นนั้น แต่มากกว่านั้นคือ ข้ายังเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า ข้าไม่ห่วงใครในภูมิมืดมิดนี้ แต่เจ้าคือผู้เดียวที่ข้าไม่ห่วงไม่ได้”
วาจาเหล่านี้ตรงไปตรงมาและสั้นห้วนนัก
ทว่าเมื่อมันกระทบโสตของเย่อวี๋ มันทำให้นางตกใจ ดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ หัวใจเต้นระรัวตุ้มต่อม
นางรอคอยมาตลอดสามหมื่นหกพันปี เฝ้าฝันถึงไม่เว้นวัน เมื่อยามนี้ได้พบชายที่นางรักอีกครั้ง และฟังวาจาเปิดใจของเขา เย่อวี๋พลันรู้สึกว่านางคือผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก ณ ยามนี้
ความสุขสูงสุดในโลกที่นางหวังมาชั่วชีวิต ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่านั้น
ในดวงตากระจ่างใสของหญิงสาวรื้นด้วยน้ำตาแห่งความปีติ
“อย่าร้องไห้สิ”
ซูอี้กล่าวอย่างเย็นชา
“อือ…”
เย่อวี๋ถูจมูกแสบ ๆ ของนางและกล่าวด้วยรอยยิ้มเจิดจรัส “ข้าไม่ได้ร้องไห้นะ”
ซูอี้แหย่ “ไม่ร้องก็ดีแล้ว เจ้าฝึกฝนมาจนถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ขืนร้องไห้อีก คงได้อายตายพอดี”
เย่อวี๋ยิ้มจนตาหยีโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ความปรีดาจากใจเกินคำใดพรรณนาส่งไปถึงยังซูอี้เช่นกัน
ยามนี้ หัวใจของเขาผ่อนคลายและรู้สึกสุขีอย่างไม่อาจอธิบาย
ราวกับเขาได้คลายปมในใจ และกระโดดออกจากกรงขังที่มองไม่เห็น
หลังจากสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของตนเงียบ ๆ ซูอี้ก็ตระหนักว่าหนี้ที่เขาติดค้างเย่อวี๋ในคราแรก ซึ่งดูเหมือนไม่เคยกระทบอารมณ์และการฝึกฝนของเขา ทว่าที่แท้มันซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดแห่งห้วงอารมณ์ของเขาเสมอมา
หากไม่ทลายมันเสียตั้งแต่ยามนี้ มันคงกลายเป็นอันตรายแฝงยามพิสูจน์วิถีเป็นแน่!
“หากจะมีจิตสำนึกอย่างกระจ่างแจ้ง เมื่อลองเปลี่ยนความคิดดู สิ่งที่เราสะบั้นไป แท้จริงก็คือตรวนชั้นหนึ่งในหัวใจวิถี…”
ซูอี้พึมพำในใจ ดวงตาลึกล้ำของเขาสว่างไสวขึ้นมา
จากนั้นเขาก็กล่าวกับอีกฝ่าย “เย่น้อย ข้าจะชดใช้ให้เจ้าในภายหน้านะ”
เย่อวี๋ตะลึงไป นางตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าทัศนคติของซูอี้ ณ ขณะนี้เกินกว่าความสงสาร แต่เป็นความรักจากใจ
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของนางสั่นคลอนเล็กน้อย ราวกับคลื่นน้ำกระเพื่อมไหว
ซูอี้ผู้กระตือรือร้นเช่นนี้ทำให้นางไม่อาจทราบว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่นางก็ประหลาดใจอย่างไม่อาจบรรยายเช่นกัน
ทันใดนั้น เย่อวี๋ก็ลอบสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงเบาว่า “พี่ซู ข้าไม่ได้ต้องการการชดใช้ใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งแต่ก่อน ยามนี้ และในภายหน้า”
ใบหน้างามของหญิงสาวเปี่ยมความจริงจัง
เป็นความรักจากหัวใจ
ซูอี้จ้องใบหน้างามของหญิงสาวและพยักหน้า
เย่อวี๋เข้าใจนิสัยเขาดี บางวาจาไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเลย
ยามนี้ นางพอจะรู้แล้วว่าหากชายหญิงรักกัน ก็ไหลไปตามกระแสได้
ยิ่งดึงดันไม่อยากปล่อยมือ ยิ่งติดค้างหนี้รัก
เกรงว่าความรักจะแผ่วปลาย?
ไม่มีทาง
“ดูเหมือน… จะชนะแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากไกล ๆ อย่างตื่นเต้น
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิแต่ละคนต่างลุกขึ้นมองไปยังสนามรบซึ่งอยู่ห่างออกไป