บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 935: ชิ้นส่วนมหาวิถี
ตอนที่ 935: ชิ้นส่วนมหาวิถี
เสียงรบพุ่งในดินแดนอันมืดมิดดังสะเทือนเลือนลั่น
ร่างของมารปีศาจระเบิดและร่วงหล่นจากนภาดุจอุกกาบาตเป็นครั้งคราว
ในหมู่ดินแดนต้องห้ามในเมืองมรณะ จักรพรรดิกระดูกขาว ท่านเทพดาราคล้อย และตัวตนร้ายกาจอื่น ๆ นับได้ว่าเป็นนายผู้ปกครองแดนดินโดยแท้
พวกเขาแข็งแกร่งร้ายกาจ ดุร้ายไร้ขอบเขต กระทั่งอีกาเก้ามืดมิดยังไม่อยากยั่วโทสะพวกเขาง่าย ๆ
ยามนี้เมื่อต้องร่วมมือกันกำจัดมารปีศาจในคุกอเวจีชั้นที่เก้า จึงไม่ยากนักสำหรับพวกเขา
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็ยังเป็นเพียงชั้นเจ็ดของคุกอเวจีแห่งเมืองมืด แม้มารปีศาจที่นี่จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังห่างชั้นกับชั้นที่แปดและเก้ามากนัก
โดยเฉพาะชั้นที่เก้าซึ่งถูกมองเป็น ‘พื้นที่ต้องห้ามสำหรับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ’!
นับแต่โบราณกาล ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิมากมายมีฤทธิ์เดชแข็งกล้าทะลวงสวรรค์ แต่น้อยคนนักที่จะมีชีวิตรอดกลับมาจากชั้นที่เก้าได้
แต่ถึงอย่างไร ศึกที่เกิดขึ้นยามนี้อยู่บนชั้นที่เจ็ด นับแต่ตัวตนร้ายกาจนับสิบรวมถึงจักรพรรดิกระดูกขาวร่วมมือโจมตี ฝ่ายตรงข้ามก็แตกพ่ายข้างเดียว
จวบจนยามนี้ ฝั่งปีศาจร้ายเสียพรรคพวกไปมากกว่าครึ่งแล้ว!
กร๊อบ!
ระหว่างการเข่นฆ่า จักรพรรดิกระดูกขาวสำแดงฤทธา โดยการหักคอของปีศาจร้ายตนหนึ่งออกตรง ๆ
ตู้ม!
ท่านเทพดาราคล้อยใช้เพลิงดารานับหมื่นพันแผดเผาศัตรูมอดม้วย
ในขณะที่อีกทิศหนึ่ง ตัวตนร้ายกาจเหล่านั้นต่างอาละวาดสังหารปีศาจร้ายตนแล้วตนเล่า
กระทั่งปีศาจเฒ่าคิ้วขาวก็สำแดงเคล็ดแห่งมิติ วูบไหวเกี่ยวหัวของศัตรูราวกับเป็นมือสังหารผู้ไปมาไร้ร่องรอย
ทว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือโยวเสวี่ย
ความยิ่งใหญ่ของนางดุจดั่งเทพ ทุกการตวัดดาบ ทั่วหล้าก็พังทลายมอดไหม้ ปีศาจร้ายที่นางหมายหัวแทบไร้โอกาสดิ้นรน ถูกแผดเผาสิ้นสูญทันที
ในสายตาเหล่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิซึ่งอยู่ห่างออกไป การต่อสู้เช่นนี้ทำให้เลือดในกายพวกเขาเดือดพล่าน ตื่นเต้นทั้งใจกาย พวกเขาต่างลุ้นยินดี
ไร้อุบัติเหตุใด ๆ
เพียงหนึ่งชั่วครู่ต่อมา เหล่าปีศาจร้ายก็ถูกปราบราบคาบ เสียหายล้มตายมากมาย มีเพียงไม่กี่ตนที่รีบร้อนหนีรอดไปได้
ในขณะเดียวกัน ฝั่งโยวเสวี่ยและพวกจักรพรรดิกระดูกขาวไร้ผู้ใดบาดเจ็บ
ศึกนี้เรียกได้ว่าชนะขาดลอย!
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ก็ไม่แปลกใจเลย เขาคาดถึงผลลัพธ์เช่นนี้มาตั้งแต่ยามมาถึงคุกอเวจีชั้นที่เจ็ดแล้ว
หากเกิดความผิดพลาดสิ นั่นต่างหากที่แปลก
เย่อวี๋เองก็เช่นกัน
นับแต่ยามที่ซูอี้ปรากฏกาย นางก็รู้แล้วว่าศึกนี้จะไม่ยืดเยื้อต่อ
และความตระหนักรู้เชื่อมั่นดังกล่าวก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ณ ยามนี้
แม้ผืนนภาจะถล่มลงมา ขอเพียงมีเขาอยู่ ท้องฟ้าก็อาจฟื้นซ่อม ปฐพีก็อาจประคองร่างไหว!
ภายใต้สายตาตื่นเต้นปรีดาของเหล่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ โยวเสวี่ยกลับมาจากสมรภูมิเป็นคนแรก
นางปรากฏกายข้างเย่อวี๋ โอบไหล่กรุ่นหอมเนียนราวสลักเสลาด้วยมีดของนางอย่างเบามือ และกล่าวเบา ๆ “เย่น้อย เจ้ายังเศร้าอยู่หรือไม่?”
เย่อวี๋ไม่สบายใจเล็กน้อย ดวงตาคู่งามของนางเหลือบมองซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ก่อนจะกระซิบตอบ “ข้าจะไม่เศร้าอีก”
โยวเสวี่ยยิ้ม ทว่าดวงตาของนางซับซ้อนเล็กน้อย
วูบ! วูบ!
กลุ่มตัวตนร้ายกาจเช่นจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อยเองก็กลับจากสนามรบแล้ว
ตัวตนร้ายกาจเหล่านี้ล้วนแต่เก็บเขี้ยวเล็บคำนับซูอี้อย่างหวาดเกรง “ใต้เท้า จัดการศัตรูเรียบร้อยแล้วขอรับ”
แม้พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าตัวตนร้ายกาจเหล่านี้อยู่ใต้บัญชาของซูอี้ แต่ลู่สิงและคนอื่น ๆ ก็ยังตัวสั่นยามเห็นภาพนี้อยู่ดี
ตลอดกาลนานมา ไม่ว่าผู้ใดเข้ามายังเมืองมรณะ พวกเขาก็จะต้องผ่านดินแดนต้องห้ามที่ตัวตนร้ายกาจเหล่านี้ปกครองแน่นอน!
ทว่ายามนี้ ตัวตนร้ายกาจเหล่านั้นต่างพินอบพิเทาต่อชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
“ใต้เท้า นี่คือชิ้นส่วนมหาวิถีที่ปีศาจร้ายเหล่านั้นทิ้งไว้ โปรดรับไว้เถิดขอรับ!”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวเสนอสินสงครามของตนให้แก่ซูอี้อย่างประจบสอพลอ
มันเป็นชิ้นส่วนหลายสิบชิ้น หลากสี วาววับละลานตาดุจหยก
ชิ้นส่วนมหาวิถี!
สมบัติพิเศษเฉพาะซึ่งหาได้เพียงในคุกอเวจีแห่งเมืองมืดเท่านั้น
สำหรับผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลก แม้ว่าคุกอเวจีแห่งเมืองมืดจะอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็ยังเป็นกรุสมบัติอันเต็มไปด้วยโอกาสเช่นกัน
การเดินสำรวจภายในนั้นไม่เพียงสามารถลับคมขัดเกลาวิถีเต๋าของตนได้ แต่ยังสามารถรวบรวมชิ้นส่วนมหาวิถีอันเก่าแก่หายากได้จากการล่ามารปีศาจอีกด้วย
ยิ่งลงไปในคุกอเวจีลึกขึ้น ๆ ชิ้นส่วนมหาวิถีที่ล่าได้ยังหายากมากขึ้น และมีคุณภาพสูงขึ้น
โดยเฉพาะคลื่นพลังมหาวิถีที่แผ่ออกมาจากชิ้นส่วนมหาวิถีหลายชิ้น กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่อยู่ที่นี่ยังตะลึง
และยามนี้ สินสงครามเหล่านี้ก็ถูกนำมาวางตรงหน้าซูอี้!
ซูอี้มองมันและหยิบออกมาสามชิ้น
ชิ้นแรกคือหยกเขียวแวววาวนวลตา บรรจุปราณอันบริสุทธิ์มหาศาลของมหาวิถีมรกตเอาไว้
ชิ้นต่อมาเป็นสีทองเจิดจ้า แผ่รัศมีคมกริบดารดาษ ตราอำนาจจากที่มาแห่งทองคำซึ่งหาได้ยากยิ่งไว้
ชิ้นสุดท้ายดำสนิทราวหยกนิล แผ่บรรยากาศเย็นเยียบกัดกร่อนซึ่งเป็นพลังจากที่มาแห่งนพวารี พลุ่งพล่านเปี่ยมพลัง เชี่ยวกรากไพศาลดุจมหาสมุทร
จากชิ้นส่วนมหาวิถีทั้งสาม หนึ่งสามารถหล่อหลอมฟูมฟักพลังมหาวิถีของตน หนึ่งสามารถใช้ขัดเกลาดาบวิถีคู่ชีพนิลกาฬบริสุทธิ์ของเขาได้ และอีกชิ้นสามารถเสริมแกร่งอำนาจแห่งวิญญาณ
มูลค่าของมันไม่อาจประเมิน
ซูอี้เก็บชิ้นส่วนมหาวิถีทั้งสามไป ก่อนจะหันไปกล่าวกับโยวเสวี่ยและเย่อวี๋ “พวกเจ้าก็มาเลือกบ้างสิ”
โยวเสวี่ยและเย่อวี๋ต่างเลือกไปสองสามชิ้นอย่างไม่เกรงใจ
“ที่เหลือ พวกเจ้าแบ่งกันได้เลย”
ซูอี้กล่าวกับปีศาจเฒ่าคิ้วขาว
“ขอบพระคุณใต้เท้า!”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวยินดีจนน้ำตารื้น
ตัวตนร้ายกาจคนอื่น ๆ ต่างขอบคุณพวกเขาตนแล้วตนเล่า สีหน้าของคนเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยความปรีดา
ควรค่าจดจำว่าตลอดมานี้ เนื่องจากการกีดขวางของเส้นทางหยินหยาง ตัวตนร้ายกาจเหล่านี้จึงไร้โอกาสได้เข้ามายังคุกอเวจีแห่งเมืองมืด อย่าว่าแต่มาล่าชิ้นส่วนมหาวิถีเลย
“เย่น้อย พวกเจ้ารอที่นี่ก่อนนะ ข้ากับเฒ่าคิ้วขาวจะไปคุกอเวจีชั้นอื่นก่อน และเมื่อกลับมา เราจะออกจากเมืองมืดไปด้วยกัน”
ซูอี้สั่ง
“ได้” เย่อวี๋พยักหน้าตกลง
“ใต้เท้าโยวเสวี่ย พี่ซูยอมรับท่านแล้วหรือเจ้าคะ?”
เมื่อซูอี้ไม่อยู่ เย่อวี๋ก็อดถามมิได้
ใบหน้างามอันเย็นชาโดดเดี่ยวของโยวเสวี่ยเผยความซับซ้อน “สหายเต๋าซูรับปากเพียงพาข้ามาช่วยเจ้า”
เสียงของนางเต็มไปด้วยความผิดหวังและจนใจ
จากนั้นนางก็พูดขึ้นมาเสียงเบาว่า “ทว่า เห็นได้อยู่ว่ายามสหายเต๋าซูปฏิบัติต่อเจ้า เขาไม่ได้ไร้เมตตาเยี่ยงกาลก่อน นับว่าเป็นเรื่องดี”
ดวงตาของเย่อวี๋ทอประกายพร่างพราว ใบหน้างามงดของนางเปี่ยมสุขอย่างไม่อาจยั้ง
ทว่า เมื่อนางสังเกตเห็นสีหน้าผิดหวังเศร้าใจของโยวเสวี่ย นางก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้
นางก็ประสบกับความรู้สึกที่ไม่อาจได้สิ่งที่ต้องการมาครอบครองเช่นกัน แล้วจะไม่รู้ถึงอารมณ์ของโยวเสวี่ยได้เช่นไร?
หลังครุ่นคิดสักพัก เย่อวี๋ก็กล่าวเบา ๆ “ใต้เท้าโยวเสวี่ย คนรุ่นเรา กาลเวลาไม่เคยเป็นปัญหา ในเมื่อพี่ซูต้องการให้ท่านติดตามเขายามนี้ ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ยอดเยี่ยมแล้วนะเจ้าคะ”
โยวเสวี่ยผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้น “อาจจะนะ”
ในสายตาชนเผ่าปีศาจงูรุ่นแล้วรุ่นเล่า นางคือตัวตนผู้เย่อหยิ่งอหังการดุจเทพ ที่พวกเขาทำได้เพียงเงยหน้ามอง
ทว่าท้ายที่สุด นางก็คือสตรีผู้หนึ่ง จะไม่ให้นางอิจฉาเย่อวี๋ที่มีตัวตนในใจซูอี้ได้เช่นไร?
เย่อวี๋กุมมือโยวเสวี่ยอย่างนุ่มนวล โดยไม่ได้กล่าวอันใดอีก
…
“นั่นมันคัมภีร์แห่งตี้ทิงนี่!”
“ที่แท้เจ้าหนูผู้นั้นก็น่าจะเป็นทายาทของผู้คุมรัตติกาล มิน่าเล่าจึงสามารถใช้งานตัวตนร้ายกาจเหล่านี้ได้”
“ข้าก็จำได้นะว่าก่อนเข้ามาในนี้ จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์เคยไปหาช่างตีเหล็กในเมืองหิมะสวรรค์เพื่อพบผู้คุมรัตติกาล พิสูจน์ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์และผู้คุมรัตติกาลมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาต่อกัน!”
ไกลออกไป เหล่าจักรพรรดิต่างส่งกระแสเสียงปรึกษากัน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างเห็นซูอี้ใช้คัมภีร์แห่งตี้ทิงปราบกลุ่มตัวตนร้ายกาจ และย่อมมีการเข้าใจกันไปต่าง ๆ นานา
“จริงหรือ แต่ถึงเป็นเช่นนั้น ด้วยฐานะและตัวตนของแม่นางเย่อวี๋ นางก็ไม่น่าจะสนิทกับชายหนุ่มผู้นั้นนักไม่ใช่หรือ?”
น้ำเสียงของลู่สิงกระแทกกระทั้นเล็กน้อย
สีหน้าของผู้คนที่ได้ยินดูแปลกพิกลเล็กน้อย
ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่อสู้ร่วมกันในคุกอเวจีชั้นที่เจ็ดมานาน และย่อมรู้ว่าลู่สิงมีความรู้สึกที่ต่างออกไปแก่เย่อวี๋
ยามนี้เมื่อชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นปรากฏกาย จึงเห็นได้ชัดเจนว่ามันส่งผลกระทบต่อลู่สิงมหาศาล
“สหายเต๋าลู่ ข้าแนะนำแล้วว่าให้ทิ้งความคิดเกินจริงเหล่านั้นไปเสีย”
เว่ยเต้าเยวี่ยนกล่าวเตือน “ในความคิดข้า จากนี้ไป คงจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่พยายามเข้าไปใกล้ผู้อาวุโสเย่อวี๋ เพราะหากไม่ไปกระตุ้นมัน หายนะก็จะไม่เกิด”
เหมือนเช่นเย่อวี๋ เขาเองก็รู้ถึงตัวตนของซูอี้แล้ว!
เขาแค่ไม่โพล่งมันออกมาเท่านั้น
“หากไม่ไปกระตุ้นมัน…”
ลู่สิงเงียบไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
“พี่เว่ย เจ้ารู้ที่มาของพ่อหนุ่มผู้นั้นหรือ?”
ใครบางคนอดถามไม่ได้
คนอื่น ๆ เองก็หันมองมา
ทุกคนรู้ว่าเว่ยเต้าเยวี่ยนและเย่อวี๋เป็นสหายสนิทกัน
เว่ยเต้าเยวี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง และตอบว่า “สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ถูกแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้น… มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับผู้คุมรัตติกาล ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่รู้แน่นัก”
เขาไม่กล้าเผยตัวตนของซูอี้โดยพลการ
หลังทุกคนฟังจบ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าฐานะของชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ลึกลับขึ้นอีก
ในขณะเดียวกัน
คุกอเวจีชั้นที่ห้า
มารปีศาจที่กระจายอยู่ทั่วแดนดินนี้แข็งแกร่งพอจะเป็นภัยต่อจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำได้ และแทบไม่มีตัวตนใต้ขอบเขตจักรพรรดิผู้ใดที่กล้าบุกเข้ามาที่นี่
“เจ้ารอที่นี่นะ ข้าจะไปเก็บประสบการณ์สักหน่อย!”
ซูอี้ก้าวลงจากสัตว์สุญญะสว่างว่างและยืดเส้นยืดสาย
ดวงตาลึกล้ำดูระริกระรี้ ในที่สุดเขาก็พบจุดที่เขาสามารถใช้ความสามารถของตนต่อสู้ได้!