บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 936: รอดจากวิกฤต
ตอนที่ 936: รอดจากวิกฤต
ปราณดาบประสานทั่วฟ้าดิน หวีดหวิวลั่นคำรามดุจวาตะอสนี
เหล่าปีศาจร้ายผู้ผยองอำนาจต่างถูกลำแสงดาบไร้ใดเปรียบฉีกกระชากราวสร้างจากกระดาษ
ร่างของซูอี้วูบไหวภายใต้แสงแห่งมหาวิถีเจิดจ้าดุจทองเทวะ และดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ในมือก็ส่งเสียงครวญพลางสะท้อนลำแสงดาบไปทั่วท้องนภา
อำนาจทำลายล้างรุนแรงราวสายฟ้า ดุดันทรงพลัง
กระทั่งปีศาจร้ายอันเทียบได้กับขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำยังไม่อาจหยุดมันได้!
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวที่อยู่ไกลออกไปตะลึงค้าง
ในสายตาตัวตนเก่าแก่เช่นเขา ศึกนี้มิได้น่าระทึกใจ
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจได้จริง ๆ คือพลังต่อสู้ฝืนกฎสวรรค์ที่ซูอี้แสดงออกมาในขอบเขตวงล้อวิญญาณต่างหาก!
“ตัวตนใต้ขอบเขตจักรพรรดิล้วนเหมือนมดแมลง ทว่ายามนี้ใต้เท้าซูผู้มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณกลับมีอำนาจสังหารจักรพรรดิอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนนับแต่โบราณ!”
“ดูเหมือนใต้เท้าซูจะเดินบนวิถีวัฏสงสารสู่มหาวิถีอันเหนือล้ำยิ่งกว่าอดีตชาติของเขา และสักวันเมื่อกลายเป็นจักรพรรดิ อำนาจที่เขามีย่อมเหนือชั้นกว่าอดีตชาติมหาศาล…”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวตัวสั่น
ก่อนหน้านี้ เขาติดตามซูอี้ไปยังดินแดนต้องห้ามอันเป็นที่ตั้งศิลาหลุมศพ และได้รับรู้ว่าซูอี้บรรลุสู่การเวียนวัฏสงสารแล้ว
และยังได้เห็นซูอี้และ ‘ยมบาล’ ผู้ลึกลับน่ากลัวเผชิญหน้ากันที่นภาโกลาหลด้วย
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวยิ่งกว่าแน่ใจว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่ และการฝึกฝนของเขาในปัจจุบันก็อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณจริง ๆ
ทว่ามันไม่ได้ตระหนักจวบจนยามนี้เลยว่าอำนาจที่ซูอี้มีในขอบเขตดังกล่าวนั้นช่างเหลือเชื่อ!
ทั่วโลกหล้าแหลกสลาย
ซูอี้กวัดแกว่งดาบสังหาร ศึกปะทุระอุร้อน ท่วงท่าวางตัวเย่อหยิ่ง
นับแต่ออกจากเมืองตาข่ายม่วง เขาก็ไม่ได้ทำศึกเข่นฆ่าแสนสุขีเยี่ยงนี้มาแสนนาน
บางทีอาจเป็นเพราะเขาอุดอู้มานาน เมื่อต่อกรกับปีศาจร้ายเหล่านี้ ทั่วสรรพางค์กายของเขาจึงดูเหมือนกำลังโห่ร้องยินดี พลังปราณทั้งในและนอกกายเดือดพล่าน
ผู้ฝึกดาบนั้นดำรงอยู่ด้วยการต่อสู้ เข่นฆ่าเพื่อพิสูจน์วิถี
โดยเนื้อแท้ซูอี้ก็คือคนบ้าสงครามผู้หนึ่ง
แค่ว่าในอดีต การที่เขาจะได้พบคู่ต่อสู้ที่คู่ควรสักคนนั้นช่างยากเย็น
ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ดูจะสัมผัสเสียงในใจของซูอี้ได้ มันคำรามลั่นสะท้านเก้าสวรรค์ทศทิศ ทำให้ซูอี้ดูอหังการทรงพลังยิ่งขึ้นอีก
หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม สามชั่วยาม…
ด้วยกาลเวลาเคลื่อนผ่าน ซูอี้ก็ดูไร้เหน็ดเหนื่อย แต่การเคลื่อนไหวร่างกายของเขากลับยิ่งดุร้ายทรงพลัง
จนกระทั่งเมื่อกาลต่อมา
ซูอี้พลันชะงักร่าง
เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าในโลกกว้างนี้ไร้เงาปีศาจร้ายตนอื่นให้เห็น
ยามนี้เอง จิตใจของซูอี้จึงตื่นจากความรุ่มร้อนแห่งสงครามขึ้นเล็กน้อย
ความรู้สึกอ่อนล้าเองก็ซัดสาดเข้าสู่ร่างของเขาราวกระแสน้ำ
และยามนี้ เขาก็ตระหนักว่าพลังมหาวิถีของเขาแทบเกลี้ยงร่าง
ทว่าซูอี้กลับยิ้ม
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์กลับสู่ร่างของเขา
ซูอี้ยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่ม
และยามนี้เอง พลังปราณของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างเงียบงัน
เหมือนเช่นต้นไม้ตายท่ามกลางวสันตฤดู พลังมหาวิถีซึ่งเงียบงันใกล้เหือดแห้งของเขาพลันเฉิดฉายด้วยพลังใหม่ที่ทะลักไหลเยี่ยงคลื่นยักษ์โหมซัดสาดทั่วกาย
ตู้ม!
พลังปราณของเขาคำรามลั่นดุจวาตะอสนี
การฝึกฝนซึ่งอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นกลางกำลังพุ่งสูงขึ้น ทะยานเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลายในพริบตา!
ในร่างของเขา แก่นแท้วิถีวิญญาณเอกกะเคลื่อนผ่านวงล้อวิญญาณมหาวิถีอันสว่างไสวดุจทองเทวะ สมบูรณ์ราวมหาตะวัน แปรเปลี่ยนเป็นสารพัดนิมิตตระการตาอันไม่อาจตีความ
พลังในเลือดเนื้อ ในห้วงความนึกคิดและวิญญาณของเขาเองก็แปรเปลี่ยนไปตามกัน
หากมองจากไกล ๆ จะพบว่าเขายืนแหงนหน้าดื่มสุราอยู่บนพื้น ทั่วร่างสะท้อนแสงนับพันเฉดดุจนิมิตฝัน แยกห่างจากความเป็นจริงราวเทพยดาท่ามกลางฝุ่นควัน
ท่าทางเช่นนั้นทำให้ดวงตาของปีศาจเฒ่าคิ้วขาวซึ่งมองอยู่จากระยะไกลเบิกกว้าง
นั่นมัน… เลื่อนขั้นพลัง!?
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวตัวสั่นหอบหายใจ
ในสงครามเข่นฆ่าเพียงไม่กี่ชั่วยาม เขาเลื่อนขั้นพลังด้วยดาบอันไร้เทียมทาน ดูราวกับปาฏิหาริย์!
ทันใดนั้น ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวก็รีบรี่ไปหา ประคองกำปั้นกล่าวประจบด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าซู ยินดีกับการเลื่อนระดับพลังด้วยขอรับ! การพิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิอยู่อีกไม่ไกลแล้วขอรับ!”
ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลายนั้นอยู่ห่างการพิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิเพียงขั้นเดียว!
ซูอี้กำลังอารมณ์ดี เขาเก็บน้ำเต้าสุราไปเงียบ ๆ และกล่าวติดตลกอย่างหาได้ยาก “มาชมข้าเช่นนี้ คิดประจบข้าหรือไร?”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวรีบกล่าวว่า “ตาเฒ่าผู้น้อยกล่าวจากก้นบึ้งหัวใจขอรับ ฟ้าดินเป็นพยาน ตะวันจันทราเป็นสักขี ข้าไม่กล้ามีความคิดอื่นในใจหรอกขอรับ”
“คนอื่นล้วนประจบสอพลอ สนใจแต่จะเลียให้ข้าชุ่มแฉะ มีแต่เจ้าที่ซื่อตรงจริงใจ กล่าวเช่นนี้ไม่กลัวให้ผู้อื่นหัวเราะหรือไร?”
ซูอี้กล่าวทั้งรอยยิ้ม
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวเองก็เห็นว่าซูอี้กำลังอารมณ์ดี จึงฉีกยิ้มกล่าว “ใต้เท้าซู ตาเฒ่าผู้น้อยรู้สึกว่านอกจากท่านแล้ว ไร้ผู้ใดในโลกที่จะทำให้ตาเฒ่าผู้น้อยรู้สึกเคารพและชื่นชมจากก้นบึ้งหัวใจได้อีกแล้วขอรับ”
“…”
อนิจจา ยิ่งพูดกับเจ้าเฒ่านี่ ยิ่งรู้สึกเวียนหัวขึ้นทุกที
หลังจากครุ่นคิดสักครู่ ซูอี้ก็กล่าวขึ้น “เจ้าคงได้เห็นเหตุการณ์วันนี้มาหมดแล้ว”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวก็กล่าวว่า “ใต้เท้าซูโปรดวางใจ ตาเฒ่าผู้น้อยจะหุบปากเงียบสนิทมิแพร่งพรายแม้เพียงน้อย หากตระบัดฝ่าฝืน ขอให้สวรรค์ส่งทัณฑ์อสนีบาตมาคร่าชีวิตข้าผู้นี้ได้เลย!”
วาจาของเขาดังก้องหนักแน่น
สิ่งใดหรือที่เรียกว่าเข้าอกเข้าใจและวาจาตรงกับการกระทำ?
นี่แหละใช่
ซูอี้ยกมือขึ้นหยิบม้วนหยกโบราณออกมาม้วนหนึ่ง เขาครุ่นคิดสักพัก และสลักบางอย่างลงไป
จากนั้น เขาก็ส่งม้วนหยกนั้นให้แก่ปีศาจเฒ่าคิ้วขาว “นี่คือเคล็ดกลั่นพลังชั่วร้ายและภัยพิบัติ ด้วยการฝึกฝนของเจ้า เจ้าคงสามารถกลั่นพลังชั่วร้ายได้ในช่วงร้อยปี เคล็ดวิชานี้เป็นรางวัลแก่เจ้า”
“ขอบพระคุณใต้เท้า! ตาเฒ่าผู้น้อยจะไม่ทำให้ใต้เท้าผิดหวังขอรับ!”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวตื่นเต้นเสียจนพูดไม่ได้ศัพท์ นิ้วทั้งสิบของเขาที่ยื่นออกรับม้วนหยกสั่นระรัว
เหตุผลที่ตัวตนร้ายกาจติดอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามโดยไม่อาจออกไปได้นั้นก็เพราะพวกเขาถูกกฎดั้งเดิมของเมืองมรณะจองจำเหนี่ยวรั้ง
ในระหว่างฝึกฝนในเมืองมรณะนานแสนนานจนกลายเป็นตัวตนแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น พลังมหาวิถีของเขาย่อมมีพลังชั่วร้ายสะสมอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ผลก็คือ โอกาสที่จะออกไปจากเมืองมรณะก็ยิ่งริบหรี่
ทว่ายามนี้ เมื่อเขาได้ม้วนหยกนี้มา มันคือการมอบโอกาสแก่ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวในการออกจากเมืองมรณะ!
นี่จะไม่ทำให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
“อย่าสอนเคล็ดวิชานี้ให้ผู้อื่นเชียว”
ซูอี้กล่าว
ต่อให้เขาไม่เตือน ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวจะไม่ทราบผลกระทบในการทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร?
เขาคำนับและกล่าวอย่างจริงจังระคนหวั่นเกรงว่า “ตาเฒ่าผู้น้อยสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่ทำเช่นนั้นขอรับ!”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “กลับไปหาคนอื่น ๆ กันเถอะ”
นอกเมืองมืด
บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว
“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!”
“ข้าคิดว่าต้องตายครานี้แล้วเสียอีก…”
“ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่ช่วยชีวิต!”
เหล่ายอดฝีมือซึ่งติดอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าเมื่อกาลก่อนถูกซูอี้นำตัวออกมาแล้ว
ยามนี้ เหล่ายอดฝีมือผู้ยืนอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วต่างตื่นเต้นและปรีดาราวได้เกิดใหม่
กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิยังตื่นเต้นเช่นกัน
และซูอี้ก็ได้พาเย่อวี๋ โยวเสวี่ย และสัตว์สุญญะสว่างว่างจากไปก่อนแล้ว
เขายังมีสิ่งที่ต้องทำ
เช่นปล่อยตัวตนร้ายกาจเช่นจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อยออกไปก่อน
…
นภาโกลาหล
“ใต้เท้ายมบาล ซูเสวียนจวินไปแล้วขอรับ”
อีกาเก้ามืดมิดซึ่งยืนอยู่หน้าทางเข้านภาโกลาหลกล่าวอย่างนอบน้อม
“เจ้าคิดว่าเขาจะไปหนใดต่อหรือ?”
เสียงเฉื่อยชาอันมีเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัวดังออกมาจากม่านหมอกที่ปกคลุมนภาโกลาหล
นั่นคือเสียงของยมบาล!
อีกาเก้ามืดมิดเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ทะเลทุกข์ขอรับ!”
“หือ?”
“ไม่แปลกหากใต้เท้ายมบาลจะไม่ทราบ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทะเลทุกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล ลือกันว่ายมราชพิพากษาชุยหลงเซี่ยงได้พบเรือยมโลกสีดำและหายตัวไปอย่างลึกลับขอรับ”
อีกาเก้ามืดมิดรีบกล่าว “ในฐานะสหายสนิทของชุยหลงเซี่ยง ซูเสวียนจวินย่อมไม่มีทางนิ่งเฉย ดังนั้นข้าผู้น้อยจึงตัดสินเช่นนี้ขอรับ”
ยมบาลสาวกล่าวอย่างสนอกสนใจ “เกิดการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นในทะเลทุกข์หรือ?”
อีกาเก้ามืดมิดตอบ “เรียนใต้เท้ายมบาล ในช่วงนี้ทะเลทุกข์การเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนขอรับ และสิ่งที่เลื่องลือที่สุดคือปรากฏซากโบราณ ‘สนามเซียนมารสัประยุทธ์’ ขึ้นบนทะเลทุกข์ขอรับ”
“ในช่วงกาลผ่านมานี้ ขุมกำลังสูงสุดมากมายในหกเขตสิบสามแดนดินได้ส่งคนเข้าไปตรวจสอบ ณ ห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์โดยถ้วนทั่วขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ยมบาลสาวก็พลันกล่าวขึ้นว่า “สนามเซียนมารสัประยุทธ์ที่ว่าใช่ ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ แห่งยุคโบราณหรือไม่?”
อีกาเก้ามืดมิดตอบฉับไว “ใช่ขอรับ!”
ยมบาลสาวพึมพำกับตนเอง “กระทั่งซากโบราณนั่นยังโผล่มา… ดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงในทะเลทุกข์จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว”
จากนั้นนางก็ถามขึ้นอีกครั้งทันที “เจ้าหาที่มาของเรือยมโลกสีดำนั้นได้หรือไม่?”
อีกาเก้ามืดมิดตอบ “ข้าไม่รู้ขอรับ แต่จากคำร่ำลือ กล่าวกันว่าทุกการเปลี่ยนแปลงในทะเลทุกข์ล้วนเกิดขึ้นจากเรือยมโลกสีดำลำนั้นขอรับ”
“จริงหรือ นี่น่าสนใจจริงแท้ จากที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ ยามเมื่อซูเสวียนจวินท่องภูมิมืดมิด เขาเคยหายลับเข้าไปในทะเลทุกข์สิบเก้าปีเต็ม ถูกต้องหรือไม่?”
“ใช่ขอรับ”
อีกาเก้ามืดมิดตอบ “ยามนั้น พวกเจ้าเฒ่ามากมายคิดว่าซูเสวียนจวินตายในทะเลทุกข์ไปแล้ว ใครเล่าจะคิดว่าสิบเก้าปีผ่านมา เขาจะหวนกลับ และเกิดเป็นเรื่องฮือฮาสนั่นภูมิมืดมิดเลยขอรับ”
“แล้วเจ้าคิดว่าซูเสวียนจวินได้พบเคล็ดเวียนวัฏสงสารในทะเลทุกข์หรือไม่?”
ยมบาลสาวถามขึ้นกะทันหัน
ร่างของอีกาเก้ามืดมิดนิ่งตะลึงงัน
ครู่ถัดมา มันก็ตอบอย่างลังเล “ยากจะกล่าว และข้าผู้น้อยก็ไม่อาจตัดสินขอรับ”
“ถูกต้อง หากเคล็ดเวียนวัฏสงสารมันรู้กันได้ง่ายนัก ตลอดกาลนานมาคงไม่ได้มีเพียงซูเสวียนจวินที่ได้พบพานหรอก…”
วาจายังไม่ทันจางหาย ทันใดนั้น หมอกดำที่ปกคลุมทั่วนภาโกลาหลก็พลุ่งพล่านด้วยอสนีบาตสีเลือด
จากนั้น ร่างเพรียวบางร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากห้วงลึกแห่งนภาโกลาหลท่ามกลางหมอกดำและอสนีบาตโลหิต ราวกับปีศาจผู้หลับใหลแต่บรรพกาลได้ลืมตาตื่นอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ อีกาเก้ามืดมิดก็กรีดเสียงออกมา ตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด “ใต้เท้ายมบาล ท่าน… รอดจากวิกฤตแล้วหรือขอรับ?”