บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 937: สนทนายาม
ตอนที่ 937: สนทนายามราตรี
หมอกสีดำลอยเอื่อยประชิดกับอสนีบาตสีชาด อำนาจทำลายล้างปกคลุมทั่วโลกหล้า
นาน ๆ ครั้ง อสนีบาตสีเลือดจะฟาดเข้าใส่ร่างอรชร จนระเบิดเป็นแสงไฟเจิดจ้าพรรณราย
ทว่าร่างอรชรนั้นดูราวกับไม่รู้ร้อนหนาว
นางเดินอย่างสง่างามสุขุม ท่าทางของนางไร้ใดเปรียบ
จนกระทั่งเมื่อนางเดินออกมาจากนภาโกลาหล รูปลักษณ์จึงเผยสู่สายตาของผู้คน
เส้นผมนุ่มสีดำยาวขมวดม้วนสูงไว้ด้านหลัง ชุดกระโปรงสีดำสนิททำให้ผิวของนางดูขาวกระจ่างเปี่ยมรัศมี
ดวงหน้าจิ้มลิ้มบริสุทธิ์เยี่ยงหญิงสาว ริมฝีปากแดงดุจเพลิง ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสเยี่ยงผิวน้ำ แววตาเจือเสน่ห์ร้ายกาจดุจนางมาร
รูปลักษณ์ของนางเพียงพอจะทำให้สรรพสิ่งทั่วโลกาตะลึงงัน ทว่าการวางตัวของนางกลับเย็นชาไม่แยแสดุจเทพเซียน ดูเกิดมาเป็นผู้นำ
ยมบาล!
ตัวตนน่าหวั่นเกรงผู้เคยทำให้สิ่งมีชีวิตหลายร้อยล้านในภูมิมืดมิดสั่นกลัวนับแต่บรรพกาล!
เสียงของอีกาเก้ามืดมิดสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น “ใต้เท้า ท่านรอดจากวิกฤตแล้วจริง ๆ!”
“เปล่าหรอก ร่างของข้ายังคงถูกจองจำอยู่ ณ ก้นนภาโกลาหลเช่นเดิม”
ยมบาลสาวส่ายหัวเล็กน้อย “สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณที่ข้าใช้อำนาจในเลือดเนื้อและกฎดั้งเดิมแห่งเมืองมรณะที่ดูดซับไว้บ่มเพาะดูแลมาตลอดกาลนี้ อืม เจ้าจะมองว่าเป็นอวตารก็ได้”
ยามนี้เอง อีกาเก้ามืดมิดจึงคืนสติ “ใต้เท้า ในเมื่ออวตารของท่านสร้างจากพลังกฎดั้งเดิมของเมืองมรณะ มิได้หมายความว่าท่านสามารถออกจากเมืองมรณะได้โดยง่ายหรือขอรับ?”
ยมบาลสาวดีดนิ้วกล่าวยิ้ม ๆ “ฉลาด”
ตาสีเลือดของอีกาเก้ามืดมิดทอประกาย “ยอดเลยขอรับ ต่อให้เป็นอวตาร แต่ในสายตาของข้าผู้น้อยแล้ว เกรงว่าในภูมิมืดมิดนี้คงมีน้อยคนนักที่จะเทียบใต้เท้าได้ขอรับ!”
“กาน้อย อย่าได้ดูแคลนภูมิมืดมิดนี้ โลกกว้างนี้น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้อีกนะ”
นางกล่าวพลางก้าวออกไป
อีกาเก้ามืดมิดรีบกระพือปีกบินตามให้ทัน และกล่าวว่า “ใต้เท้า ท่านวางแผนจะเดินทางไปยังทะเลทุกข์หรือขอรับ?”
“ใช่ แม้ว่าข้าและซูเสวียนจวินจะมีข้อตกลงสิบปี แต่ข้าก็กังวลเล็กน้อยว่าหากในสิบปีข้าแพ้พ่ายจะเป็นเช่นไร?”
ดวงตาของยมบาลพราวระยับดุจผิวน้ำ นางกล่าวช้า ๆ ว่า “เพราะถึงอย่างไร ไม่เพียงเขาซุกซ่อนเคล็ดเวียนวัฏสงสารไว้ แต่ยังมีอำนาจยิ่งใหญ่ฝืนต่อกฎสวรรค์ด้วย!”
เมื่อกล่าวถึงตอนท้าย แสงสีโลหิตในดวงตาของนางก็วาวโรจน์ เจือความคลั่งไคล้จาง ๆ “ดังนั้นจะเกิดอุบัติเหตุใดกับเขาไม่ได้ ต่อให้เกิดขึ้น ก็ต้องมาจากน้ำมือข้า!”
หัวใจของอีกาเก้ามืดมิดตะลึงอึ้ง และยามนี้เอง มันจึงตระหนักว่าการเดินทางครั้งนี้ของนางคือการเร่งตามซูเสวียนจวิน!
อีกาเก้ามืดมิดกล่าวขึ้นอย่างกังวลทันที “ใต้เท้า แม้ว่าซูเสวียนจวินจะมีการฝึกฝนเพียงวิถีวิญญาณ ณ ขณะนี้ แต่คนผู้นี้แข็งแกร่งมากและมีไพ่ตายมากมาย ท่านต้องไม่ประมาทนะขอรับ”
มันลิ้มรสความพ่ายแพ้ใหญ่หลวงด้วยน้ำมือของซูอี้มามากกว่าหนึ่งหน จึงก่อเกิดเป็นเงามืดที่ไม่อาจลบล้างได้ในใจของมัน
และนี่ยังทำให้มันกังวลถึงความปลอดภัยของใต้เท้ายมบาลด้วย
ริมฝีปากสีกุหลาบของยมบาลสาวยกยิ้มขี้เล่น “แค่อวตารเอง ต่อให้เล่นกับไฟ ยังมีสิ่งใดต้องห่วงอีก?”
“กาน้อยเอ๋ย ยามที่ข้าไม่อยู่ในเมืองมรณะ อย่าได้ก่อเรื่องขึ้นอีกนะ เพราะถึงอย่างไร ข้าก็รับปากซูเสวียนจวินไว้แล้วว่าจะไม่ก่อเรื่องสิบปี”
“ขอรับ!”
…
เกิดเสียงฮือฮากระฉ่อนทั่วเมืองหิมะสวรรค์
“วัดเสวียนหมิงแตกพ่าย ทูตรับใช้กาฬราตรีทั้งสาม หกนักบวช และอารักษ์ทั้งหลายต่างตายสิ้น!”
“ทุกคนที่ถูกวัดเสวียนหมิงจับตัวไปต่างถูกช่วยออกมาครบถ้วน!”
“ผู้อาวุโสลึกลับผู้หนึ่งลงมือทำลายแผนของวัดเสวียนหมิงในพริบตา ทำให้พวกมันไม่อาจช่วยยมบาลออกมาได้!”
“จริงหรือไม่?”
“โอ เจ้าไม่รู้อันใด เมื่อครู่นี้ บุคคลสำคัญในขอบเขตจักรพรรดิของทั้งโถงหลงลืม วังธารเหลือง ตำหนักเทพอัคคีกระจ่างและอื่น ๆ ต่างกลับมาที่เมืองหิมะสวรรค์กันหมดแล้ว!”
…เสียงหารือในลักษณะเดียวกันดังทั่วทุกมุมถนนในเมืองหิมะสวรรค์
และในเย็นวันเดียวกัน อีกข่าวอันน่าตกใจก็ปรากฏออกมา…
กลุ่มยอดฝีมือซึ่งติดอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดถูกตัวตนปริศนาช่วยออกมา และรอดชีวิตออกมาจากเมืองมรณะ!
หนึ่งศิลาก่อกำเนิดคลื่นนับพัน
ทั่วทั้งเมืองหิมะสวรรค์เดือดพล่าน
ไม่นานมานี้ เส้นทางหยินหยางถูกทำลาย เมืองมืดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล เหตุนี้ทำให้ทั่วภูมิมืดมิดตกตะลึง กระทบถึงหัวใจคนมากมาย
กลุ่มเต๋าสูงสุดบางแห่งมองโลกในแง่ร้าย คิดว่าผู้ที่ถูกขังในเมืองมืดคงไม่อาจรอดกลับมาได้แล้ว
ใครเล่าจะคิดว่าวันนี้วันเดียว กลุ่มยอดฝีมือซึ่งติดอยู่ในเมืองมืดจะรอดชีวิตกลับมา?
“โอ้สวรรค์ ผู้ที่สยบวัดเสวียนหมิงและช่วยยอดฝีมือผู้ถูกขังในเมืองมืดไม่ใช่ผู้อาวุโสลึกลับผู้นั้นหรือ?”
“ต้องเป็นเขาแน่!”
“ใครรู้บ้างว่าผู้อาวุโสลึกลับผู้นั้นคือใคร?”
“ข้าไม่รู้”
“เขาซ่อนจากชื่อเสียงและความโด่งดังอยู่แน่ ๆ”
เมืองหิมะสวรรค์เดือดพล่าน ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนมากเพียงไรที่พูดคุยเรื่องนี้ และยอดฝีมือจากขุมกำลังสูงสุดบางแห่งก็เผยแพร่ข่าวต่อไปทันที
ทุกคนต่างรู้ดี ว่าทั้งการทำลายวัดเสวียนหมิงหรือการช่วยยอดฝีมือในเมืองมืดต่างเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนแดนดินทั้งสิ้น และล้วนแต่ทำให้โลกหล้าตะลึง!
“นักบวชลำดับสาม ถึงกาลที่เราต้องเดินทางกลับสำนักแล้วนะ”
หลูฉางหมิงกล่าวยิ้ม ๆ
เขากำลังอารมณ์ดี ปฏิบัติการนี้มิเพียงช่วยนักบวชลำดับสองเซียวเป๋ยเหย่ได้เท่านั้น แต่กระทั่งทูตข้ามนทีซึ่งติดอยู่ในเมืองมืดก็ถูกช่วยเหลือออกมาเช่นกัน
หลูฉางหมิงแทบรอกลับสำนักไม่ไหวแล้ว
“อาจารย์ลุง ท่านจะรายงานเรื่องนี้ต่อสำนักตามจริงหรือไม่เจ้าคะ?”
หยวนหลินหนิงอดถามไม่ได้
หลูฉางหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ทั้งเจ้าและข้าต่างรู้ว่าบรรพชนม่ออู๋เหินให้เกียรติต่อซูอี้ผู้นั้นอย่างสูง ดังนั้นเราก็รายงานต่อบรรพชนม่ออู๋เหิน ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเถิด”
หยวนหลินหนิงพยักหน้า
เย็นวันเดียวกัน พวกเขาก็ออกเดินทาง
ภาพในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับตัวตนจักรพรรดิคนอื่น ๆ เช่นอวิ๋นซงจื่อจากวังธารเหลืองและเฟิงอวี่จือจากตำหนักเทพอัคคีกระจ่างด้วยเช่นกัน
พวกเขาเผชิญเรื่องเหล่านี้มาและไม่ต้องการอยู่ในเมืองหิมะสวรรค์ต่อ กระเหี้ยนกระหือรืออยากกลับสำนักโดยเร็วที่สุด
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับซูอี้ พวกเขารับปากไม่เปิดเผยไปแล้ว ดังนั้นย่อมไม่มีผู้ใดออกปากกระจายเรื่อง
ดังนั้น แม้ว่าเมืองหิมะสวรรค์จะเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา แต่ก็มีเพียงน้อยคนที่รู้ว่า ‘ผู้อาวุโสลึกลับ’ ผู้นั้นเป็นใคร
พลบค่ำอัสดง รัตติกาลคืบคลาน
ร้านตีเหล็ก
อาเฉิงร่างสูงใหญ่กำยำกำลังตีเหล็ก
ในสวนหลังร้าน ซูอี้กำลังดื่มด่ำไปกับรสสุราที่ชายในชุดผ้าเตรียมไว้ให้เขาเป็นพิเศษ
โยวเสวี่ยและเย่อวี๋นั่งบนพื้นข้างสวน กระซิบกระซาบต่อกัน
แสงริบหรี่สาดส่องร่างสองสตรี ต่างคนต่างเผยเสน่ห์งดงามต่างกันไป
หนึ่งคนเย็นชาดุจหิมะ ในขณะที่อีกคนเงียบงันสง่างาม
ทุกคนต่างเลิศเลอ
“คัมภีร์แห่งตี้ทิงคือสมบัติจริงแท้”
ซูอี้รำพึง เขารู้สึกไม่เต็มใจจะจากลา
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชายในชุดผ้าซึ่งเย็นชาดุจศิลา “สมบัตินี้จะไปเทียบอันใดกับดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ของเจ้าได้ล่ะ?”
ชายในชุดผ้ากล่าวขึ้น “หากเจ้ารอดกลับมา ก็พิสูจน์แล้วว่าเรื่องทั้งหมดคลี่คลาย การกล่าวถึงมันอีกก็รังแต่จะชวนให้ผิดหวัง ยิ่งกว่านั้น ด้วยนิสัยเจ้า ข้าเกรงว่าคงคร้านเกินกว่าจะเล่าเรื่องยิบย่อยเช่นนี้”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “เจ้ายังคงรู้จักข้าดีเหมือนเดิม”
ไม่ว่าการสยบวัดเสวียนหมิงหรือการช่วยเหลือยอดฝีมือซึ่งติดอยู่ในเมืองมืดจะเป็นเรื่องใหญ่เพียงไร ในสายตาซูอี้ มันก็เป็นเพียงเรื่องยิบย่อย
“ทว่าครานี้ข้าได้รับสิ่งอื่นมา และอยากได้ยินความเห็นของเจ้า”
ซูอี้ครุ่นคิด
ชายในชุดผ้าหรี่ตาลงเล็กน้อย ร่างของเขาเหยียดตรงขึ้นทุกที สีหน้าของเขาเคร่งเครียดจริงจัง “ซูเสวียนจวินไม่มีทางออกปากให้ช่วยด้วยเรื่องง่ายแน่ ๆ หากข้าช่วยเจ้าได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธ”
ซูอี้พยักหน้า เขาเล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘ผู้ลงทัณฑ์’ ม่อชวนที่ได้พบมาทันที
จากนั้น เขาก็พูดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้พบและโต้เถียงกับยมบาล
ฟังจบ คิ้วของชายวัยกลางคนในชุดผ้าก็ขมวดเล็กน้อย “นี่คือครั้งแรกที่ข้าได้ยินเกี่ยวกับพลังของหอเก้าสวรรค์ แต่ข้าก็รู้ดีว่านับแต่โบราณกาล ยมบาลได้นำ ‘หญ้าลวงสวรรค์’ ต้นหนึ่งจากกรมสุขาวดีไปจริง ๆ”
“ในคราแรก เหตุนี้ทำให้มหาเทพมืดมิดแห่งดินแดนปรภพระเบิดโทสะอย่างสมบูรณ์ และยมบาลก็ประสบมหาหายนะ ถูกขังไว้ในเมืองมรณะ”
“ข้าต้องบอกว่าความแข็งแกร่งของยมบาลร้ายกาจยิ่งจริง ๆ กฎเต๋าที่นางบรรลุทรงพลังราวกับเป็นที่รังเกียจแห่งสวรรค์ และกว่าจะผนึกคนผู้นี้ได้ มหาเทพมืดมิด บรรพชนตระกูลชุยและกรมหกวิถียังต้องใช้สมบัติมากมาย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนในชุดผ้าก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม “และจากที่เจ้าพูด ยมบาลผู้นี้ยังจะออกมาในสิบปีอีก นี่เป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ”
เขาขมวดคิ้ว เป็นกังวลเล็กน้อย
เพราะในภูมิมืดมิดทุกวันนี้ ดินแดนปรภพสูญสิ้นไปนานแล้ว ตระกูลโบราณซึ่งเคยดูแลกรมหกวิถีต่างระหองระแหง หากยมบาลคิดล้างแค้น ผลที่ตามมาจะเกินคาดเดาจริงแท้
ซูอี้กล่าว “หายากจริง ๆ นะที่จะเห็นเจ้ากลัวใครบางคนเพียงนี้”
ชายในชุดผ้าตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นคิ้วของเขาก็คลายตัว ร่างดูผ่อนคลาย “ข้ากลัวก็ส่วนกลัว แต่ยามนี้ข้าไม่กังวลแล้วล่ะว่ายมบาลจะกล้าก่อเรื่องหรือไม่”
“ทำไมหรือ?” ซูอี้แปลกใจ
ชายในชุดผ้ากล่าวราวกับเป็นเรื่องแน่นอน “เพราะแม้จะไร้ดินแดนปรภพและมหาเทพมืดมิดในโลกนี้ที่ทำให้ยมบาลกลัวได้ แต่เจ้า ซูเสวียนจวินยังอยู่นี่”
ซูอี้ “…”
หลังจากนิ่งเงียบไป เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าสารเลวนี่ ไฉนจึงเอาแต่ผลักเรื่องให้ข้าอยู่ตลอดเลย?”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้ารินสุราให้ซูอี้ และกล่าวว่า “เจ้าบอกก่อนหน้านี้นี่ ว่ามีนัดสิบปีกับยมบาล”
ซูอี้ถูจมูกอย่างค่อนข้างผิดหวัง “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ดื่มเถอะ”
เขายกจอกเหล้าขึ้นดื่ม
ชายในชุดผ้ากล่าวด้วยรอยยิ้มในแววตา “เจ้าพูดก่อนหน้านี้ว่าอยากได้ยินความเห็นข้า ทว่าข้าพูดได้เพียงว่ายมบาลเห็นแล้วว่าเจ้าบรรลุเคล็ดเวียนวัฏสงสาร และมีวิชาร้ายอาจท้าทายกฎสวรรค์ นางจะทำทุกวิถีทางเพื่อสยบเจ้าให้ได้แน่”
หลังชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวอย่างจริงจัง “ดังนั้น ผลกรรมนี้ มีเพียงเจ้าที่แก้ได้”
ซูอี้เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพลันมองขึ้นมากล่าวกับชายในชุดผ้า “เหมือนเดิม เจ้าจะเอาแต่ดูละครอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีส่วนร่วมด้วยสิ”
ชายในชุดผ้ากล่าวด้วยสีหน้าปุเลี่ยน “นี่สินะจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้า? เอาล่ะ เจ้าเล็งสิ่งใดในมือข้าไว้ล่ะ?”