บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 938: ที่อยู่ของผีเฒ่าแบกโลง
ตอนที่ 938: ที่อยู่ของผีเฒ่าแบกโลง
ซูอี้จ้องตาชายในชุดผ้าตรง ๆ พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงอยากรู้ความลับข้อหนึ่งเท่านั้น”
ความลับ?
ชายในชุดผ้าเงียบไป
ความลับที่ทำให้ซูเสวียนจวินอยากรู้ต้องไม่ธรรมดาแน่แท้
ซูอี้ดื่มสุราโดยไม่รีบร้อน
ในฐานะผู้คุมรัตติกาล ชายในชุดผ้าได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งกาลแสนนาน และยังได้รับรู้ความลับมากมายนับแต่บรรพกาล
โชคร้ายที่การรับรู้ความลับจากผู้คุมรัตติกาลเหล่านี้ไม่ง่ายเลย
“ว่ามาสิ”
ชายในชุดผ้ากล่าว
ซูอี้เคาะโต๊ะพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าสงสัยเรื่องหนึ่งอยู่นานแล้ว ผีเฒ่าแบกโลงและดินแดนปรภพมีความเกี่ยวพันอันใดต่อกัน เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
เปลือกตาของชายในชุดผ้ากระตุกเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็ถาม “ไฉนจู่ ๆ สหายเต๋าจึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม “เมื่อครั้งก่อนที่ข้าเดินทางในภูมิมืดมิด ข้าได้พบผีเฒ่าแบกโลง เจ้าเฒ่านี่ดูไม่มีอะไร แต่แท้จริงเขาซุกซ่อนความลับไว้มากมาย กระทั่งรู้เรื่องเกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสารมากมายด้วย”
“ยกตัวอย่างเช่น เขาเป็นผู้บอกข้าว่าศิลาหลุมศพซึ่งผนึกเมืองมรณะอยู่น่าจะซุกซ่อนความลับเกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสาร”
“และเมื่อนานมาแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าเฒ่านี่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา กระทั่งศิษย์เอกของข้าอย่างผีหมัวยังหาร่องรอยเขาไม่เจอ”
“นอกจากนั้น เขายังเคยเดิมพันกับข้าในสระเกิดใหม่ และติดค้าง ‘โลงศพหกวิถี’ ข้าอยู่ใบหนึ่ง ทั้งยังไม่ส่งให้ข้าเลย”
“ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ข้าย่อมอยากรู้ว่าเจ้าเฒ่านี้มาจากหนใด และไปที่ใด”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็มองชายในชุดผ้า “และเจ้าต้องรู้คำตอบแน่”
ชายในชุดผ้าดื่มสุราในจอกเงียบ ๆ และกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ผีเฒ่าแบกโลงมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับดินแดนปรภพจริง ๆ แต่ความสัมพันธ์อันใดนั้น มันเกี่ยวข้องกับความลับโบราณบางอย่าง ขออภัยที่ไม่อาจบอกได้”
ซูอี้ถอนหายใจ “อย่างนั้นเจ้าบอกอันใดข้าได้บ้าง?”
ชายในชุดผ้าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวความลับสะท้านโลกาออกมา “สมบัติวิเศษของกรมหกวิถี ‘กระดานหกวิถี’ ก็คือ ‘โลงศพหกวิถี’ ที่ผีเฒ่าแบกโลงพ่ายเดิมพันเจ้านั่นแหละ”
ซูอี้แปลกใจ “จริงหรือ?”
ชายในชุดผ้าพยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ในคราแรก สิ่งนี้เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมหกวิถี และในภายหลังก็ตกสู่มือผีเฒ่าแบกโลง และเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เขาต้องทิ้งสมบัตินี้ไว้ในซากโบราณในทะเลทุกข์”
“ซากโบราณใด?”
“พิภพยมราชฝังวิถี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดตะลึงไม่ได้
ยามเมื่อเขาไปยังเมืองตาข่ายม่วงที่เขตราชาหกวิถี เขาเคยได้ยินข่าวการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ในห้วงลึกทะเลทุกข์มาบ้างแล้ว
หนึ่งในข่าวที่สะดุดตาที่สุดคือการปรากฏของ ‘สนามเซียนมารสัประยุทธ์’
และสนามเซียนมารสัประยุทธ์ที่ว่า ในสมัยบรรพกาลก็ถูกเรียกว่า ‘พิภพยมราชฝังวิถี’!
มันเป็นโลกอันลี้ลับยิ่ง นานมาแล้วมันจมหายสู่ก้นทะเลทุกข์ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย กระทั่งจักรพรรดิยังยากจะหามันพบ
ทว่ายามนี้ ซากโบราณนี้กลับผุดขึ้นมาเรียกความสนใจจากสารพัดขุมกำลังทั่วโลกา!
และยามนี้ ชายในชุดผ้ากล่าวขึ้นว่าผีเฒ่าแบกโลงทิ้ง ‘กระดานหกวิถี’ ของดินแดนปรภพไว้ในพิภพยมราชฝังวิถีเมื่อนานมาแล้ว นี่จะไม่ทำให้ซูอี้แปลกใจได้เช่นไร?
“ไฉนผีเฒ่าแบกโลงจึงทิ้งสมบัตินั่นไว้ที่ซากโบราณนี้ได้เล่า?”
ซูอี้ถาม
ชายในชุดผ้าส่ายหน้าน้อย ๆ และตอบว่า “มีเพียงเขาที่รู้คำตอบ”
ซูอี้กล่าว “อย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าผีเฒ่าแบกโลงไปที่ใด?”
ชายในชุดผ้าดื่มสุราอีกจอก “ข้าบอกคำตอบกับสหายเต๋าไปแล้ว”
ซูอี้ผงะ และพลันกล่าวว่า “พิภพยมราชฝังวิถีหรือ?”
“ถูกต้อง”
ชายในชุดผ้าพยักหน้า
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “งั้นเจ้าเฒ่านี่ก็รักษาสัญญา และจะช่วยข้ารับ ‘กระดานหกวิถี’ คืนอย่างนั้นหรือ?”
สายตาของชายในชุดผ้าพิกลเล็กน้อย “น่าจะเป็นเช่นนี้”
“เกรงว่าเจ้าเฒ่านี่คงได้พบความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพิภพยมราชฝังวิถีเป็นแน่ เขาจึงไม่ได้กลับมาอีกเลย”
ซูอี้ครุ่นคิด
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างสุขุม “เขาอาจติดอยู่ในนั้น แต่ก็ไม่น่าเกิดขึ้นได้ เพราะหากคิดถึงความเข้าใจในพิภพยมราชฝังวิถีนี้ ทั่วโลกหล้าคงไร้ผู้ใดเทียบเขาได้”
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว “ข้ารู้ว่าที่มาของเจ้าเฒ่านี่ไม่ธรรมดา แต่จะว่าไป ไฉนกระดานหกวิถีจึงถูกเรียกว่าโลงศพหกวิถีหรือ?”
คำถามนี้ทำให้ชายในชุดผ้าเหม่อลอยไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างหายากยิ่งกว่า “หากภายหน้ามีโอกาส เจ้าก็ควรถามผีเฒ่าแบกโลงด้วยตนเองนะ”
ซูอี้ยกมือขึ้นชี้ชายในชุดผ้าและกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าผู้นี้เคืองใจกับการตอบหลบเลี่ยงของเจ้านัก”
ชายในชุดผ้ารินสุราลงจอกให้ซูอี้ด้วยท่าทางอันเป็นธรรมชาติ “กระไรเล่า นี่คือกฎของผู้คุมรัตติกาล สิ่งใดที่ข้าพูดได้ ข้าย่อมพูด ส่วนสิ่งที่ไม่ควรพูด ต่อให้ข้าตายก็ต้องไม่ปริปาก”
ซูอี้ย่อมเข้าใจนิสัยของชายในชุดผ้าดี และไม่ได้ถามมากไปกว่านี้
เขาโคลงจอกสุรา ขณะจมในภวังค์ครุ่นคิด
เหตุที่เขาถามเกี่ยวกับผีเฒ่าแบกโลงนั้นมิใช่เพื่อคุยเล่น แต่เพื่อเหตุผลอีกข้อ
เพราะในอดีตชาติของเขา เหตุที่เขาสามารถเวียนวัฏสงสารได้ ผีเฒ่าแบกโลงมีบทบาทสำคัญ!
กระทั่งในอดีตชาติ ซูอี้ยังไม่อาจสืบทราบที่มาที่ไปของผีเฒ่าแบกโลงผู้นี้ได้ เจ้าเฒ่าผู้นี้ลึกลับเกินไป และซุกซ่อนอำพรางได้ดีมาก
นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล
เมื่อร้อยปีก่อน ผีหมัวบุกมายังภูมิมืดมิด และเพื่อสืบหาว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาไม่ลังเลที่จะสังหารนายแห่งโลงศพโลหิตอู่จั้ง ศิษย์ของผีเฒ่าแบกโลงลงเลย
นี่ทำให้ซูอี้รู้สึกติดค้างอีกฝ่ายมิใช่น้อย
หากมีโอกาส เขาย่อมอยากช่วยชายชราตาบอดหาที่อยู่บรรพชนของเขา
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็ถอนหายใจยาวและพึมพำ “จิ้งจอกเฒ่าชุยหลงเซี่ยงเดินทางสู่ทะเลทุกข์ ไก่แจ้เฒ่าแห่งภูเขาเมืองท้อก็ไปยังทะเลทุกข์ และกระทั่งผีเฒ่าแบกโลงยังไปทะเลทุกข์เมื่อนานมาแล้ว น่าสนใจจริงแท้…”
ชายในชุดผ้ากล่าวด้วยแววตาที่ไม่อาจตีความ “บางที สหายเต๋าอาจได้พบคำตอบเมื่อเดินทางไปด้วยตนเองก็เป็นได้”
ซูอี้พยักหน้า “ข้าคิดจะไปที่นั่นอยู่แล้ว”
เขาเคยรับปากชุยฉางอัน ว่าเขาจะไปตรวจหาที่อยู่ของชุยหลงเซี่ยงที่ทะเลทุกข์
กระทั่งยามไปยังภูเขาเมืองท้อเพื่อมองหาไก่แจ้เฒ่า เขาก็เริ่มเตรียมการแล้ว
เช่นการใช้ไม้ท้อสร้างเรือไร้อับปาง
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ตระหนักถึงบางสิ่งผิดปกติ เขาเงยหน้ากล่าวกับชายในชุดผ้า “เจ้าชั่วนี่ ดูเหมือนเจ้าจะอยากให้ข้าไปที่นั่นเหลือเกินนะ”
ชายในชุดผ้าอดหัวเราะไม่ได้ และกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าว่าแล้วเชียวว่าปิดเจ้าไม่มิด กล่าวตามตรง ข้าเองก็เป็นห่วงความปลอดภัยของผีเฒ่าแบกโลงมากเช่นกัน”
ครู่ต่อมา เขาก็ชี้ประเด็น “อีกอย่าง การฝึกฝนของสหายเต๋ามาถึงขั้นปลายขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว ไม่นานคงจะได้โอกาสทะลวงสู่ขอบเขตจักรพรรดิ และลึกเข้าไปในทะเลทุกข์นั้นไม่ขาดโอกาสพิสูจน์วิถีเลย”
ดวงตาคู่ลึกล้ำของซูอี้ฉายประกายประหลาด
เพราะวาจาของอีกฝ่ายตรงกับสิ่งที่เขาคิดทุกประการ!
ลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ แม้จะเต็มไปด้วยอันตรายร้ายกาจ แต่ก็ยังมีโอกาสอันเหมาะสมแก่การพิสูจน์วิถีขึ้นเป็นจักรพรรดิอยู่มากมาย!
เมื่อถึงยามสุราหมดไห ซูอี้ก็ลุกขึ้นกล่าวลา
กาลล่วงเลยดึกดื่น และยามนี้เขาก็แค่อยากหาที่พักผ่อน
ชายในชุดผ้าลุกขึ้นส่งพวกเขาออกไป
หลังจากซูอี้ เย่อวี๋และโยวเสวี่ยเดินออกจากร้านตีเหล็กด้วยกัน ชายผู้นั้นก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่งกล่องสำริดปิดผนึกกล่องหนึ่งให้ซูอี้
“หากสหายเต๋าเข้าสู่ห้วงลึกทะเลทุกข์และผ่านเมืองรัตติกาลนิรันดร์ ส่งกล่องสำริดนี้ให้แก่ ‘ยามบอกเวลา’ ในเมือง เขาจะมอบสมบัติชิ้นหนึ่งให้ สิ่งนี้จะช่วยสหายเต๋าได้”
ผู้คุมรัตติกาลกล่าวเบา ๆ “จำไว้นะสหายเต๋า อย่าเปิดกล่องในนี้ หาไม่หัวใจของเจ้าจะรู้สึกเคืองแค้น ทำลายหัวใจวิถีของสหายเต๋าได้”
เมืองรัตติกาลนิรันดร์!
สถานที่ปลอดภัยแห่งเดียวที่หาได้ในห้วงลึกทะเลทุกข์ และนับได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหลบภัยของเหล่าผู้ฝึกตนผู้เดินทางสู่ทะเลทุกข์
‘ยามบอกเวลา’ ที่ว่านั้นคือชายชราผู้หนึ่งผู้มีนิสัยดื้อรั้นแปลกประหลาดมากซึ่งอาศัยในเมืองรัตติกาลนิรันดร์มาตราบนาน
ซูอี้ย่อมรู้เรื่องนี้และกล่าวอย่างสนอกสนใจ “สิ่งใดหรือที่ถูกผนึกในกล่องนี้?”
ชายในชุดผ้ากล่าวโดยไม่ปิดบัง “แผ่นป้ายที่มหาเทพมืดมิดองค์สุดท้ายแห่งดินแดนปรภพทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้ว”
ซูอี้อดถามอย่างอยากรู้มิได้ “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้ายังมีสมบัติมากมายเพียงไรที่ข้าไม่รู้?”
ชายในชุดผ้ากล่าว “พวกมันต่างเป็นสิ่งที่มีผลกรรมตามติด หลายชิ้นยังเกี่ยวพันกับเรื่องยุ่งยากมากมาย ด้วยนิสัยเจ้า เจ้าไม่มีทางอยากเข้าไปพัวพันกับสิ่งของเหล่านี้แน่นอน”
หลังนิ่งไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “เหมือนแผ่นป้ายในกล่องนี้นี่แหละ มันไม่ใช่สมบัติหายาก ทว่าสิ่งที่ยามบอกเวลาจะนำมาแลกกับสมบัตินี้จะช่วยเหลือสหายเต๋าได้”
“สมบัติใด?”
ชายในชุดผ้าตอบ “สหายเต๋ามองปราดเดียวจะรู้ได้เลย”
ซูอี้รำพึงกับตนเอง “ในที่สุดข้าก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมแม่หนูชุยจิ๋งเหยี่ยนจึงชอบบ่นว่าข้าชอบอมพะนำ เหมือนหุบเขาในม่านหมอกนัก”
ทีเขายังทำได้ แล้วชายในชุดผ้าจะทำไม่ได้บ้างหรือ?
เขาเก็บกล่องสำริดไปโดยไม่รอช้า และซูอี้ก็โบกมือ “ไปล่ะ”
จากนั้นเขาก็เดินจากไป
เย่อวี๋และโยวเสวี่ยติดตามขนาบซ้ายขวา
ศิษย์ของชายในชุดผ้า อาเฉิงยืนกล่าวอย่างอิจฉาอยู่ไม่ไกล “ใต้เท้าซูช่างโชคดีนัก”
ชายในชุดผ้ากล่าว “น้อยคนในโลกจะมีวาสนาเช่นนี้”
เย่อวี๋คือจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำผู้ลือนามในโลกหล้า
โยวเสวี่ยคือจิตวิญญาณซึ่งเป็นดุจเทพในใจของทุกตัวตนในเผ่าปีศาจงูจากรุ่นสู่รุ่น
วาสนาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไป กระทั่งจักรพรรดิบนโลกนี้ยังไม่อาจได้ดื่มด่ำ!
“เฮ้อ ข้าไม่หวังจะชื่นมื่นได้เท่าใต้เท้าซูหรอก แต่ขอเพียงชีวิตนี้ข้าหาที่รักได้สักคน ข้าก็พอใจแล้ว”
อาเฉิงรำพัน “แน่นอน หากสวรรค์เมตตา อยากให้ข้าเพิ่มสนมอนุสักหน่อย ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ”
แป๊ะ!
ทันทีที่พูดจบ อาเฉิงก็ถูกตบหัว
ชายในชุดผ้ากล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เพ้อเจ้อ! ทายาทผู้คุมรัตติกาลไฉนจึงต้องการสตรีมาอยู่คู่?”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านตีเหล็ก
อาเฉิงกุมหัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เขามารู้ว่าจากกฎของผู้คุมรัตติกาล ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับสตรีใดได้เลยก็หลังจากที่เขากลายมาเป็นศิษย์ของผู้คุมรัตติกาลแล้วนี่แหละ
กฎนี้มันบ้าชัด ๆ!