บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 939: พันเสน่หา หมื่นความรู้สึกดี ๆ
ตอนที่ 939: พันเสน่หา หมื่นความรู้สึกดี ๆ
เมืองหิมะสวรรค์
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
รัตติกาลมืดสนิท ซูอี้ทอดร่างนอนบนเตียง ผ่อนคลายร่างทุกส่วน
การเดินทางสู่เมืองมรณะครั้งนี้ แม้จะมีเหตุพลิกผันมากมาย แต่ก็ได้รับสิ่งต่าง ๆ มากมายเช่นกัน
ในหมู่พวกมัน สิ่งที่ทำให้ซูอี้สนใจที่สุดนั้นคือเรื่องเกี่ยวกับหอเก้าสวรรค์
ขุมกำลังปริศนานี้มีตำแหน่งผู้บวงสรวงสวรรค์ จ้าวเรือนจำ ผู้ลงทัณฑ์ พัศดี อัครสาวก และอีกมากมาย ที่มาของมันเองก็ลึกลับ
จากการบอกเล่าของผู้ลงทัณฑ์ม่อชวน สมบัติของหอเก้าสวรรค์นั้นเป็นดาบวิถีอันลึกลับเกินคาดเดา และพลังอันแข็งแกร่งที่สุดของหอเก้าสวรรค์ก็คือกฎเกณฑ์วอนสวรรค์
สิ่งนี้ย่อมดึงความสนใจของซูอี้
เพราะดาบเก้าคุมขังของเขาสามารถปราบ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’ ได้!
“เจ้าหอเก้าสวรรค์ตามหาผู้ที่สามารถต่อสู้กับ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’ ได้อยู่ หรือคนผู้นี้จะรู้ที่มาของดาบเก้าคุมขังกันนะ?”
แววตาของซูอี้วูบไหว
ดาบเก้าคุมขังไม่ได้ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ในอดีตชาติ เขาสังเกตเห็นดาบเก้าคุมขังนิ่งเงียบอยู่ในห้วงความนึกคิดของเขาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว
เหมือนมีมันมาแต่เกิด
ที่มาของมันเป็นปริศนามาโดยตลอด
กระทั่งเมื่อเขาฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบในขอบเขตจักรพรรดิ เขาก็ยังไม่อาจไขปริศนาที่มาของดาบเก้าคุมขังได้!
ทว่ายามนี้ ซูอี้ตระหนักแล้วว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์อาจจะรู้ที่มาที่แท้จริงของดาบเก้าคุมขังก็เป็นได้!
“บางที หากภายหน้ามีโอกาส ข้าก็สามารถร่วมมือกับยมบาลได้จริง ๆ”
ซูอี้ลอบกล่าว
จากบทสนทนาของเขากับยมบาล ทำให้เขาแน่ใจได้หนึ่งอย่าง
แม้ว่ายมบาลจะเป็น ‘จ้าวเรือนจำ’ จากหอเก้าสวรรค์ แต่นางก็เกลียดชังหอเก้าสวรรค์อย่างลึกล้ำ!
หากใช้ประโยชน์จากมันให้ดี บางทีเขาอาจจะได้รับผู้ช่วยเพิ่มยามเดินทางสู่ ‘ภูมิดาราวอนสวรรค์’ ที่ตั้งของหอเก้าสวรรค์ในอนาคต
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังแน่ใจได้ ว่าไม่ว่ายมบาลจะอยากช่วยเขาหรือไม่ ตราบใดที่นางต้องการล้างแค้นหอเก้าสวรรค์ในภายหน้า นางก็จะออกปากขอร่วมมือกับเขาแน่นอน
เพราะสตรีผู้นี้ก็รู้ว่ามีเพียงเขาที่ต่อกรกับกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้!
ครู่ถัดมา ซูอี้ก็ส่ายหน้า
เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องนี้ สำหรับเขา สิ่งที่ต้องเตรียมการจับตามองต่อไปคือการเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิต่างหาก
ดังที่ผู้คุมรัตติกาลกล่าววันนี้ ลึกเข้าไปในทะเลทุกข์มีโอกาสมากมายอันเหมาะแก่การพิสูจน์วิถีขึ้นเป็นจักรพรรดิ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการถามไถ่ถึงที่อยู่ของชุยหลงเซี่ยง หรือไปหาผีเฒ่าแบกโลงในพิภพยมราชฝังวิถีก็ตามที เขาก็ต้องไปยังทะเลทุกข์อยู่ดี
“พี่ซู”
ทันใดนั้น เสียงหวานเสนาะหูก็ดังขึ้นนอกห้องอันเงียบงัน หยุดความคิดของซูอี้ไว้
“เข้ามาสิ”
ซูอี้กล่าว
เงาร่างหนึ่งผลักประตูเข้ามา
ผู้มาเยือนมีคิ้วโก่งได้รูป คู่เนตรเรียวรี ผิวขาวละเอียดยิ่งกว่าหิมะ รูปลักษณ์งดงามล้ำเลิศ นางคือเย่อวี๋
เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสง่างามแนบเนื้อ มงกุฎบงกชซึ่งเดิมนางสวมไว้ถูกถอดออก เส้นผมนุ่มสีดำถูกขมวดเป็นมวย ซึ่งทำให้ร่างของนางยิ่งดูนุ่มนวลมีเสน่ห์
ผมรวบมวยสูงดึงหลวม ๆ และแต่งหน้าไว้อ่อน ๆ
ยามนี้ เย่อวี๋งามเสียจนใจสั่น ผิวขาวกระจ่างดุจหิมะของนางเรืองรัศมีจาง ๆ ภายใต้แสงสีอ่อนในห้อง
ซูอี้ตะลึงไปชั่วขณะ ลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะกล่าวอย่างฉงนใจ “เย่น้อย นี่ดึกมากแล้ว เจ้ามีธุระอันใดกับข้าหรือ?”
แพขนตาของเย่อวี๋สั่นระริกเล็กหน้า นางก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อหลบสายตาซูอี้ และกล่าวเสียงเบา “พี่ซู เจ้าวางแผนจะไปทะเลทุกข์จริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยรอยยิ้ม เดินมานั่งที่โต๊ะและกล่าวเรียก “มานั่งคุยกันที่นี่สิ”
เขาเห็นได้ว่าสตรีผู้ยามนี้กลายเป็นจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ผู้ระบือนามกำลังประหม่าเล็กน้อย
ในฐานะผู้ชาย ไฉนเขาจึงไม่ผ่อนบรรยากาศลงสักหน่อย?
จริงดั่งคาด เย่อวี๋ผู้ดูโล่งใจตรงไปนั่งลงตรงข้ามซูอี้
ซูอี้นำไหสุราและจอกเหล้าออกมารินให้ทั้งเย่อวี๋และตนเอง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คืนนี้ เจ้าก็ได้ยินข้าคุยเรื่องทะเลทุกข์กับผู้คุมรัตติกาลในร้านตีเหล็กแล้ว… ใช่ ข้าต้องไป”
เขากล่าวพลางยกจอกสุราขึ้นเชื้อเชิญ
เย่อวี๋ก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มกับเขา
หลังจากเหล้าผ่านคอไปหนึ่งจอก ริมฝีปากสีชมพูชุ่มฉ่ำของหญิงสาวก็เม้มเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้างดงามขึ้นสีแดงเรื่อ เผยเสน่ห์งดงามเกินธรรมดา
“งั้น ข้าไปกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?”
เย่อวี๋มองมาที่ซูอี้อย่างเปี่ยมความหวัง
ซูอี้กล่าวโดยไม่ลังเล “ไม่”
เย่อวี๋ผงะไป
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ทะเลทุกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายมหาศาล หากเป็นในอดีต ข้าพาเจ้าไปด้วยก็ย่อมได้ ทว่ายามนี้ การฝึกฝนของข้าอ่อนแอเกินไป พาเจ้าไปด้วยอันตรายเกินไป”
เย่อวี๋อดกล่าวไม่ได้ว่า “แต่ข้าช่วยเจ้าได้นะ”
ซูอี้ไม่อธิบายมากไปกว่านี้ และกระซิบเพียงว่า “ฟังข้าสิ”
เย่อวี๋กัดริมฝีปากสีชมพูของนางเบา ๆ ใบหน้างามไม่อาจตัดสินใจ
เนิ่นนานจากนั้น นางก็ส่งเสียงตอบรับ
ความรู้สึกที่แฝงมานั้นจนใจเกินบรรยาย
ซูอี้กล่าวเย้ายิ้ม ๆ “จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ผู้ทรงเกียรติ บุคคลแข็งแกร่งที่ผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าทำได้เพียงแหงนหน้ามอง นางจะยังดูเหมือนเด็กสาวเช่นนี้ได้กระไร หรือต้องให้ข้าซื้อขนมมาปลอบเจ้าหรือ?”
เย่อวี๋มุ่ยหน้า
ซูอี้รินสุราลงจอกให้เย่อวี๋
ทั้งสองดื่มให้กันและกัน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในกาลก่อน ความรู้สึกของทั้งสองเต็มเปี่ยมในวาจา
ในเมื่อเป็นการดื่มสังสรรค์ จึงไม่มีผู้ใดใช้พลังมหาวิถีหยุดฤทธิ์สุรา
ยิ่งกว่านั้น สุราที่ผู้ฝึกตนดื่ม แต่เดิมก็หมักจากวัตถุดิบวิญญาณมากมาย ให้สัมผัสเจิดจรัสสดชื่น
หากใช้พลังมหาวิถีมาสร่างเมา ย่อมเป็นการทำลายอรรถรสโดยแท้
สุราหมดไหไปโดยไม่มีผู้ใดรู้ตัว
ใบหน้างดงามของเย่อวี๋แดงก่ำ คู่เนตรพร่างดาวของนางเมามายเล็กน้อย นางเกิดมาบอบบางงดงาม ทว่ายามนี้กลับแต่งแต้มด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล ไม่ว่าจะหน้าบึ้งหรือแย้มยิ้มก็ชวนปั่นป่วนถึงวิญญาณ
ซูอี้แน่ใจว่าขอเพียงตนกวักนิ้ว เขาจะได้นอนกับสตรีตรงหน้าและดื่มด่ำกับการฝึกคู่ในคืนนี้เป็นแน่
อันที่จริง อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ฝึกคู่กับผู้ใดมานาน และเมื่อมาเผชิญหน้าเย่อวี๋ผู้งดงามพราวเสน่ห์ เขาก็อดร้อนรุ่มในใจขึ้นมาไม่ได้
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ยั้งใจตนไว้
“เย่น้อย ถึงคราวที่เจ้าต้องกลับห้องแล้วนะ”
ซูอี้ลุกขึ้น ใช้มือพยุงแขนสตรีผู้มีนัยน์ตาพร่ามัวเล็กน้อยขึ้น
“ข้าไม่กลับ”
ทันใดนั้น เย่อวี๋ก็สลัดตัวหลุดจากมือซูอี้ นางแหงนหน้างดงามขึ้นใช้คู่เนตรพร่างดาวจ้องมองซูอี้ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย นุ่มนวลอ่อนหวานดังสายน้ำริน “ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา วันนี้ข้ามีความสุขที่สุด สุขนัก… จวบจนยามนี้ ข้ายังคิดว่าตัวเองฝันไป…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกอดซูอี้ไว้แน่น ใบหน้านุ่มนิ่มอุ่นร้อนอิงแอบที่อกซูอี้ เสียงสั่นเล็กน้อย “คืนนี้ ข้าอยากอยู่กับเจ้า”
ร่างของหญิงสาวอ้อนแอ้น สองไหล่ราวถูกสลักเกลาด้วยมีด เอวคอดดุจใช้แพรไหมรัด ร่างของนางดูผอมบาง ทว่าที่จริงแล้วสมส่วนงามสง่า เส้นผมเล็กละเอียดส่งกลิ่นหอมสดชื่นจาง ๆ
ร่างของซูอี้ชะงักค้างชั่วขณะ ตกใจเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรมา เย่น้อยไม่เคยรุกหนักเพียงนี้
ทว่ายามนี้ อารมณ์กลับระเบิดออกราวภูเขาไฟที่สงบมาเนิ่นนาน
แม้จะถูกกั้นด้วยชั้นเสื้อผ้าบาง ๆ แต่เขาก็ยังคงสัมผัสได้ชัดเจนว่าร่างสูงสง่าของหญิงสาวร้อนรุ่มนุ่มนวลเพียงไร ซูอี้จึงอดรู้สึกคอแห้งขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ และกล่าวว่า “เย่น้อย คืนนี้ดึกมากแล้ว ข้าเลยอดเร่งให้เจ้า…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ปากของเขาก็พลันถูกคู่ริมฝีปากอุ่นนุ่มเบียดบังเสียก่อน
ฟู่!
แสงสว่างในห้องดับไปเงียบ ๆ
ในความมืด เหมือนเย่อวี๋จะกลัวว่าซูอี้จะผลักนางออก นางจึงใช้สองแขนกอดรัดซูอี้ไว้แน่น ทำให้แม้เขาอยากกระดิกตัวก็ทำมิได้
ไม่นานนัก เสียงหอบเบา ๆ ก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืด
“เย่น้อย เจ้าปล่อยข้าก่อน”
เสียงของซูอี้แหบพร่าเล็กน้อย
“ไม่”
เสียงของเย่อวี๋นุ่มนวล ทว่าก็มั่นคง
“แต่เจ้าจะปล่อยข้ายืนตลอด ไม่ได้ใช่ไหม?”
“ข้าจะช่วยเจ้า”
ชั่วขณะต่อมา ซูอี้ก็ถูกอุ้มไปวางบนเตียง
เขาตกตะลึงพรึงเพริด เย่น้อยเป็นแขก แต่กระทำตนเป็นเจ้าบ้านไปแล้ว!
โทสะอันไม่อาจบรรยายพลุ่งพล่านในใจซูอี้ “แม่หนู หากทำเช่นนี้อีก ข้าจะรุนแรงล่ะนะ!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ “พี่ซู ระดับการฝึกฝนยามนี้ของเจ้าไม่อาจเทียบกับกาลก่อนได้ หากเจอคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเยี่ยงข้า เจ้าขัดขืนไม่ได้หรอก”
เสียงของนางแฝงความภาคภูมิ
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะกล่าวอันใด เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างของเขาชะงักทื่อ และการฝึกฝนก็ถูกอำนาจบางอย่างผนึกไว้
หากเขาเผยไพ่ตาย ซูอี้ย่อมฝืนดิ้นรนได้
ทว่า…
เขาจะโจมตีเย่อวี๋ได้ลงคอเช่นไร?
ทว่าการถูกกำราบเช่นนี้ ซูอี้ก็อดรู้สึกละอายเหมือนการละเล่นบางอย่างไม่ได้ ความทะนงตนของเขาเหมือนถูกยั่วยุอย่างแรงกล้า
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ฟังข้านะ เรื่องเช่นนี้น่ะไม่อาจ…”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ ริมฝีปากก็ถูกเบียดบังอีกครั้ง
จากนั้นก็บังเกิดเสียงผ้าเสียดสี มือเรียวบางเย็น ๆ คู่นั้นเริ่มช่วยเขาเปลื้องอาภรณ์
ซูอี้ทั้งฉุนทั้งขัน
เขาสัมผัสได้ว่าการเคลื่อนไหวของเย่อวี๋งุ่มง่ามเงอะงะ นิ้วของนางสั่นเล็กน้อย แต่ก็มั่นคงอย่างยิ่ง…
ทว่าทันใดนั้น ซูอี้ก็ไม่อาจใส่ใจมันได้อีก
ร่างอันร้อนรุ่ม กรุ่นสุคนธ์ดั่งหยกงามแนบติดกับเขา ไร้ผืนอาภรณ์แม้เพียงคืบ
ความร้อนเร่าในใจของซูอี้ถูกปลุกปะทุโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงหนึ่งความคิดในใจ
นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกสตรีจับกดเตียง…
รัตติกาลเคลื่อนลึกเข้าทุกขณะ
ในอีกห้องของโรงเตี๊ยม
โยวเสวี่ยนับเวลาเงียบ ๆ
เย่อวี๋ไม่กลับมาแม้ใกล้รุ่งสาง ซึ่งทำให้โยวเสวี่ยพอจะเดาคำตอบได้ และดวงเนตรลึกล้ำดุจรัตติกาลของนางก็ฉายประกายซับซ้อนอย่างช่วยไม่ได้
มีทั้งความผิดหวัง ทั้งความยินดี และยังเจือความชิงชังริษยา
“หากข้าเป็นซูเสวียนจวิน เกรงว่าคงไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้เช่นนี้ได้”
โยวเสวี่ยพึมพำกับตนเอง
นางไม่อาจเกลียดเย่อวี๋ลงได้เลย
ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่นางเผชิญหน้าเย่อวี๋ นางก็รู้สึกราวติดหนี้เล็กน้อยในใจ ราวตนเป็นบุคคลที่สามมาแย่งผู้ชายของเย่อวี๋ไป
หลังจากนั่งเงียบ ๆ เดียวดายอยู่นาน โยวเสวี่ยก็เป่าดับเทียนและนอนหลับลำพัง
ทว่าในใจของนางก็อดคิดถึงการเดินทางของนางกับซูอี้ระหว่างนี้ขึ้นมาไม่ได้ และอารมณ์ของนางก็เบาหวิวราวโผบิน
ยามเมื่อรุ่งสาง
ในห้องซูอี้
“อีกแล้วหรือ?”
เสียงกระเง้ากระงอดดังออกมา
“เมื่อคืนไม่ใช่เก่งกล้ามากหรือ ไฉนจึงมากลัวเอายามนี้เล่า?”
เสียงหัวเราะหึดังออกมา
จากนั้นผ้าห่มก็พลิกกลับ เตียงนอนสะเทือนสั่น
พันเสน่หา หมื่นความรู้สึกดี ๆ ต่างถูกแสดงออกอย่างเงียบงัน