บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 94 จิตสังหาร
เฝิงเสี่ยวเฟิงยกมือขยี้ตาพลางเยาะเย้ยตัวเอง “ข้าไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว จึงอ่อนไหวเกินไปบ้าง”
เขาส่ายศีรษะไปมาและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซูอี้ ข้าไม่แนะนำให้ท่านล้างแค้น แม้การบ่มเพาะจะฟื้นกลับมา แต่คนเหล่านั้นมีภูมิหลังใหญ่โต และนี่คือมหานครอวิ๋นเหอ มันเป็นถิ่นของพวกเขา ท่านทำแบบนี้อันตรายเกินไป!”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยขึ้นต่อ “ลูกผู้ชาย สิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย ด้วยพรสวรรค์ของศิษย์พี่ ท่านย่อมกลายเป็นยอดยุทธ์ในภายภาคหน้า ถึงตอนนั้นหากต้องการล้างแค้นก็ยังไม่สายเกินไป”
ซูอี้กล่าวถ้อยคำด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเฟิง ตั้งแต่มาถึง ข้าตั้งมั่นแน่วแน่แล้วทุกอย่าง อีกทั้งข้าไม่ใช่บุรุษที่สามารถอดทนรอได้นานถึงเพียงนั้น”
เฝิงเสี่ยวเฟิงนิ่งงันครู่หนึ่ง คำพูดขมขื่นกล่าวออก “แต่…แต่ตอนนี้ข้าช่วยท่านไม่ได้แล้ว…”
ซูอี้กล่าวไม่ใส่ใจ “เจ้าช่วยข้าหลายครั้งแล้วเมื่อครั้งเราอยู่สำนักดาบชิงเหอ คราวนี้ข้าคนเดียวก็มากพอ”
หลังจากหยุดชั่วครู่ ซูอี้กล่าวต่อ “คราวนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ข้าซูอี้ เป็นหนี้บุญคุณเจ้ามากเกินไป หากไม่ชดใช้ ข้าคงไม่สบายใจ”
เฝิงเสี่ยวเฟิงถอนหายใจ “เรื่องราวเหล่านั้นแต่กาลก่อนไม่น่าพูดถึง ข้าไม่เคยนึกถึงมันอีก แต่ศิษย์พี่ยังคงจดจำมันได้เสมอ”
“ข้าจะลืมได้อย่างไร”
ซูอี้วางมือไพล่หลัง ดวงตาฉายภาพความทรงจำในอดีต “ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สี่ร้อยเก้าสิบหกของปฏิทินต้าโจว ตัวข้าอายุสิบสี่ปีในตอนนั้นและเพิ่งเข้าร่วมสำนักดาบชิงเหอเพื่อฝึกฝนได้แค่สองเดือน”
“วันนั้นเป็นวันแรกของเดือนสิบเอ็ด ข้าได้รับยาสมุนไพรสามขวดและศิลาวิญญาณสิบก้อน ระหว่างทางกลับข้าถูกห้อมล้อมด้วยพวกจิงหู่ ขู่บังคับข้าให้มอบยาและศิลาวิญญาณในมือ”
“แน่นอนว่าข้าไม่ยอม จากนั้นจึงถูกพวกมันทุบตี กระทั่งข้าล้มลงจมกองเลือด”
“เวลานั้นศิษย์สายนอกหลายคนต่างพบเห็น แต่พวกเขาล้วนเกรงกลัวเพลิงโทสะอันรุนแรงของจิงหู่ และไม่มีใครกล้าออกหน้าเพื่อช่วยเหลือ”
“มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ไม่กลัวตาย ผลีผลามเข้ามาอย่างคนเขลาและพยายามอุ้มข้าไปรักษาแผล แต่ก็ถูกพวกจิงหู่รุมทุบตีจนบาดแผลนั้นหนักหนาสาหัสกว่าข้ามาก กลายเป็นตัวข้าเองที่ต้องพาเจ้ากลับไป”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว เฝิงเสี่ยวเฟิงก็อดหัวเราะไม่ได้ก่อนกล่าวว่า “ใครบ้างไม่เคยเป็นเด็ก ตอนนั้นข้าไม่รู้ความและเลือดร้อน เมื่อเห็นความอยุติธรรมตรงหน้า แม้จะต้องถูกทุบตี ข้าก็ไม่เคยเสียใจจวบจนตอนนี้”
ซูอี้ยังคงยิ้มพลางเอ่ยคำ “ต่อมาเราสองกลายเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ได้ยาก ทั้งเจ้าและข้าต่างก็พบเจอคำสบประมาท ดูหมิ่น เสียดสี และทุบตี เราสองคนแบกรับมันไว้ด้วยกัน หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เกรงว่าข้าคงทนไม่ไหว”
เฝิงเสี่ยวเฟิงถอนหายใจ
“ในตอนนั้นหลังจากที่ข้ากลายเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอก ข้าวางแผนจะใช้เส้นสายดึงเจ้าเข้าร่วมเป็นศิษย์สายในพร้อมกันกับข้า แต่ใครจะคาดคิด…”
พูดเรื่องนี้ ดวงตาซูอี้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้ากลับกลายเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอและยังกลายเป็นเขยแต่งเข้าบ้าน”
เขามองเฝิงเสี่ยวเฟิงก่อนเอ่ยคำต่อ “และสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงคือต่อมา เจ้าจะลงเอยเช่นนี้ หากข้าเดาไม่ผิด เหนียนอวิ๋นเฉียวเป็นคนทำเช่นนี้ต่อเจ้าใช่หรือไม่?”
สีหน้าเฝิงเสี่ยวเฟิงแปรเปลี่ยน ดวงตามืดหม่นลง ถ้อยคำขมขื่นกล่าวออก “ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่อาจปิดซ่อนจากศิษย์พี่ได้”
ซูอี้กล่าวตอบเฉยเมย “มันหักขาเจ้า ข้าจะให้มันชดใช้หนี้นี้ด้วยชีวิต!”
เฝิงเสี่ยวเฟิงเกิดกังวล ปากคิดเอ่ยคำออกมา
แต่กลับถูกซูอี้ขัดจังหวะ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงพยายามบอกว่า เบื้องหลังเหนียนอวิ๋นเฉียวมีกลุ่มผู้มีอำนาจหนุนหลัง และแนะนำให้ข้าอย่าผลีผลามทำสิ่งใดใช่ไหม?”
เฝิงเสี่ยวเฟิงถอนหายใจ “ท่านก็รู้อยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมจึงยังดื้อรั้นอยู่อีก?”
“มันไม่ใช่ความดื้อรั้น”
ขณะที่ซูอี้กล่าว ฉับพลันก็มีเสียงร่ำไห้ดังจากนอกลานบ้าน
“พี่เสี่ยวเฟิง! เสี่ยวหรานถูกกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬจับตัวไป!”
ชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดร่างผอมบางรีบตรงเข้ามาในลานบ้าน ความกังวลปรากฏอยู่เต็มใบหน้า “พี่เสี่ยวเฟิง จะทำอย่างไรดี เสี่ยวหรานตกอยู่ในมือคนชั่วอย่างกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ พวกมันต้องการนำตัวนางไปขายให้กับหอนางโลมเป็นแน่!”
ใบหน้าเฝิงเสี่ยวเฟิงเปลี่ยนผันสิ้นเชิง ร่างชาวาบประหนึ่งถูกฟ้าผ่าลงกลางตัว
เสี่ยวหรานเป็นน้องสาวของเขา ปีนี้นางอายุแค่สิบสามปีเท่านั้น!
หน้าอกกระเพื่อมไหวรุนแรง ดวงตาแดงก่ำ ฟันกรามสบกันแน่น “อาเฟย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเสี่ยวหรานถูกพาตัวไปจากที่ใด?”
เด็กหนุ่มนามว่าอาเฟยกล่าวตอบ “ที่ย่านตรอกไม้ผลิ แต่ข้าสงสัยว่าขณะนี้เสี่ยวหรานจะถูกพากลับไปยังกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่กบดานของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอยู่ที่ใด?”
ซูอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา ปรากฏภาพเด็กสาวตัวน้อยขึ้นในใจ นางสวมเสื้อลายดอกไม้ธรรมดาดูน่าขัน ศีรษะถักเปีย ดวงตากลมโตเป็นประกายดั่งสายน้ำ น่าเอ็นดูและยังหลักแหลม
ครั้งที่ฝึกฝนในสำนักดาบชิงเหอ เขามักมาที่บ้านของเฝิงเสี่ยวเฟิงในฐานะแขก และรู้ว่าเฝิงเสี่ยวเฟิงทั้งรักทั้งทะนุถนอมเฝิงเสี่ยวหรานผู้เป็นน้องสาวของตนมากเพียงใด
“ข้ารู้!” อาเฟยพยักหน้ารับ
ซูอี้ตบไหล่เฝิงเสี่ยวเฟิงพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล สงบใจรออยู่ที่นี่ ข้าจะพาเสี่ยวหรานกลับมาเอง”
ถ้อยคำเป็นกันเอง แต่ทำให้เฝิงเสี่ยวเฟิงรู้สึกตื้นตันไม่น้อย “ศิษย์พี่ซูอี้ คราวนี้… ข้าทำท่านลำบากแล้ว”
“อาเฟย เจ้านำทางไป!” ซูอี้เลิกพูดเรื่องไร้สาระและออกจากลานบ้าน
อาเฟยรีบตามออกไป
เมื่อออกจากลานบ้าน ซูอี้พูดกับหวงเฉียนจวินที่กำลังรออยู่ “เจ้ารออยู่ที่นี่”
หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับทันที
“ข้าหวังว่าสาวน้อยนางนั้นจะไม่เป็นอะไร หาไม่แล้ว…”
จิตสังหารแผ่ขยายมาถึงหัวใจของซูอี้ แววตาทั้งสองเย็นชาคล้ายไม่แยแสสรรพสิ่ง
ตั้งแต่ฟื้นคืนความทรงจำจากชาติปางก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคิดสังหารคน
ไม่ใช่เพื่อตนเอง
แต่เพราะห่วงใย…
…
ที่ใดมีแสงสว่าง ที่นั่นย่อมมีความมืดมิด
ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของมหานครอวิ๋นเหอ ยังมีกลุ่มกำลังใต้ดินจำนวนมากที่เติบโตภายใต้เงามืด
กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬเป็นหนึ่งในนั้น
กลุ่มคนเหล่านี้หาเลี้ยงชีพด้วยการขายหญิงสาว ซึ่งเป็นวิธีการอันน่ารังเกียจและยังสกปรก
ทว่ากลุ่มพยัคฆ์ทมิฬก็หลักแหลมอยู่บ้าง ผู้หญิงเกือบทั้งหมดที่จับมาขายล้วนมาจากครอบครัวยากไร้ในชุมชนแออัด
ตรอกหยกวสันต์
คือฐานที่มั่นของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ
ทั่วทั้งตรอกถูกครอบครองโดยพวกเขา โดยปกติแล้วคนธรรมดาจะไม่กล้าเข้าใกล้
ยามนี้ใกล้พลบค่ำ ดวงอาทิตย์สีเลือดกำลังลาลับขอบฟ้าดั่งไฟจวนจะมอดดับ
“พี่ซู นั่นคือตรอกหยกวสันต์ แต่ข้า…ข้าไม่กล้าเข้าไป…”
จุดหมายยังคงอยู่ห่างไป ทว่าอาเฟยกลับหยุดนิ่ง มีความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า
ซูอี้พยักหน้ารับและเดินออกไปตามลำพัง
ถือฝักดาบไม้ไผ่ในมือ ย่างก้าวบ้างช้าบ้างเร็ว ร่างสูงทอดยาวภายใต้แสงตะวันที่กำลังลาลับ
เดิมอาเฟยวางแผนจะหันหลังกลับและเดินจากไป แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขากัดฟันซ่อนร่างผอมบางของตนเองที่มุมหนึ่งของกำแพงอย่างระมัดระวัง
“บุรุษน้อยท่านนี้ มาที่นี่เพื่อสิ่งใด?”
ทันทีที่มาถึงทางเข้าตรอกหยกวสันต์ ชายร่างใหญ่สองคนก็ลุกขึ้นยืนตระหง่านในเงามืด มองดูชุดของซูอี้เบื้องหน้า ถ้อยคำเอ่ยถามอย่างเย็นชา แต่ยังคงแฝงความสุภาพ
“เด็กสาวที่เจ้าพามาเมื่อครู่อยู่ที่ใด?”
ซูอี้กล่าวถาม ขณะที่ดวงตาลอบกวาดมองสำรวจรอบบริเวณ
ทั้งตรอกมืดสลัว โคมสีแดงเพลิงแขวนเด่นอยู่ที่นั่น เสียงร่ำสุราและพูดคุยดังแผ่วเบา
ชายร่างใหญ่เผยความระแวดระวังพร้อมกล่าว “เด็กสาวที่ไหน ข้าเกรงว่าท่านจะเห็นผิด เราทุกคนล้วนเป็นบุรุษผู้สุจริต”
ชายอีกคนขมวดคิ้วมุ่น “ข้าแนะนำให้ท่านออกจากที่นี่ไปโดยเร็ว หาไม่แล้วยามมืดค่ำเช่นนี้ระวังถนนลื่น!”
ซูอี้ขยับนิ้วชักดาบสุดแดนดินโดยไม่แม้แต่ชายตามอง เขาฟาดฟันออกไปอย่างแม่นยำ
รัศมีแสงคมดาบเย็นเยียบปรากฏดั่งแสงดาว
ฉัวะ! ฉัวะ!
ดวงตาของชายร่างใหญ่ทั้งสองเบิกโพลง ลำคอถูกเฉือนเป็นรอยสีเลือด พวกเขาทำได้เพียงส่งเสียงอึกอักแผ่วเบาจากริมฝีปากเท่านั้น
ทันใดนั้นร่างใหญ่โตก็ล้มตึง
ซูอี้เดินหายเข้าลึกไปยังตรอกตามเดิม ท่าทีของเขาดูเรียบง่ายและสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อาเฟยรับชมภาพเหล่านั้นจากระยะไกล เขาตื่นตระหนกจนเกือบร้องไห้ แล้วรีบปิดปากของตนอย่างเร็วไว ทว่าหัวใจเสมือนเกิดพายุคลั่งโหมกระหน่ำ
นี่…นี่คือพลังของผู้บ่มเพาะงั้นหรือ?
ณ ส่วนลึกสุดของตรอกหยกวสันต์
ด้านหน้าประตูลานบ้านที่มีอิฐสีน้ำเงินและกระเบื้องดำขลับ โคมสีแดงขนาดใหญ่แขวนโดดเด่น ฉายแสงเงาสีแดงอมส้มขับไล่ความมืดมิด
สมาชิกกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬทั้งสองยืนเฝ้าประตูสีแดงเข้มพลางกระซิบกระซาบ บ้างก็หัวเราะอย่างน่าสมเพชและดูคลุมเครือ
ทันใดนั้น พวกเขาเห็นร่างสูงก้าวย่างอยู่ในความมืด
“เจ้าเป็นใคร?”
หนึ่งในนั้นไถ่ถามอย่างสงสัย
ภายใต้แสงตะเกียง ร่างนั้นปรากฏพร้อมเงากระดำกระด่าง ใบหน้าบุรุษมืดมัวแลเห็นไม่ชัด ทว่านัยน์ตาคู่นั้นช่างลุ่มลึกและเฉยชา
เพียงสบกับดวงตาคู่นั้น ก็ทำให้ชายทั้งสองสั่นสะท้าน วิญญาณในกายตื่นตระหนกพรั่นพรึง
ฉับพลันคมดาบก็ปรากฏขึ้น
ทั้งสองเสียวแปลบในลำคอ ก่อนวิญญาณจะลอยหลุดออกจากร่างในทันใด ร่างใหญ่ล้มพับกองกับพื้น
ซูอี้ผลักประตูเข้าไปอย่างไม่แยแส
เสียงอึกทึกครื้นเครงดังจากลานบ้าน มีงานเลี้ยงขนาดย่อมพร้อมสมาชิกกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬมากกว่ายี่สิบคนกำลังดื่มกินอย่างสนุกสนาน บ้างตะโกนโหวกเหวก บ้างหัวเราะขบขัน เสียงจอกเหล้ากระทบกันดังไปทั่ว
ในเงามืดมุมหนึ่งของลานบ้าน คนจำนวนมากมั่วโลกีย์อย่างไร้ยางอาย เป็นชายหญิงมากกว่าหนึ่งคู่
ฉากภาพเบื้องหน้าสามารถบรรยายด้วยอักษรสี่ตัวอย่างหมอกพิษเสื่อมโทรม*[1] ได้เป็นอย่างดี
ครั้งซูอี้ย่างกรายเข้ามา กลับไม่ได้ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
“เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าไม่เคยพบเห็น?”
ชายผู้หนึ่งถือกางเกงเดินออกจากมุมลานบ้าน กลิ่นกายฟุ้งด้วยสุราอบอวล
ด้านหลังมีหญิงสาวทรงเสน่ห์ ร่างเปลือยเปล่าใบหน้าแดงก่ำ
ชายผู้นั้นมองสำรวจซูอี้ คำพูดอันเมามายถามขึ้น “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามรึ!?”
ซูอี้เหลือบมอง
เพียงแวบเดียวก็ทำให้ชายเบื้องหน้าสั่นสะท้าน ราวกับร่างกำลังตกลงสู่ถ้ำน้ำแข็งอันเย็นเยือก ความเมามายก่อนหน้าเหือดหายไปแล้วสามส่วน
ซูอี้เอ่ยถาม “บอกข้ามา ปกติผู้หญิงที่ถูกจับมาอยู่ที่ใด?”
“ด…ดิน… ในคุกใต้ดิน” ชายคนนั้นพูดตะกุกตะกัก
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ราวกับมดปลวกที่กำลังเผชิญกับการตัดสินของพระเจ้า
“คุกใต้ดินอยู่ที่ใด?” ซูอี้ถามอีกครั้ง
นิ้วสั่นเทาของชายคนนั้นชี้ตรงไปยังโถงใหญ่อีกฟากหนึ่งของลานบ้าน
ขณะกำลังกล่าวถ้อยคำ
ฉึก!
คมดาบพุ่งทะลุลำคอ
“พี่หย่ง ข้ายังต้องการ…”
หญิงสาวทรงเสน่ห์ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ ดวงตาทอประกายดั่งแสงดาว ร่างกายร้อนรุ่มก้าวเดินอิงแอบชายหนุ่ม
แต่เมื่อเลือดแดงสดหลั่งไหลจากลำคอเปรอะเปื้อนใบหน้าหญิงนางนั้น
นางก็ตกตะลึง พลันกรีดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งในทันใด “กรี๊ด! ถูกฆ่า! ถูกฆ่าแล้ว!”
เสียงร้องแหลมดังเสียดหูยามค่ำคืนอย่างน่าสยดสยอง
บรรยากาศครึกครื้นในลานบ้านเงียบงันลง ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวพลางมองหญิงสาวที่กำลังกรีดร้องอย่างพรั่นพรึง
ทันใดนั้น พวกเขาก็เหลือบเห็นร่างจมกองเลือดด้านข้าง
ทุกคนใบหน้าเปลี่ยนสี!
[1] หมอกพิษเสื่อมโทรม อุปมาถึงบรรยากาศเลวร้าย สังคมเลวทรามป่าเถื่อน ความดำมืดในสังคม