บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 940: ด้ามกระบวยชี้บูรพา วสันตฤดูมาถึงแล้ว
ตอนที่ 940: ด้ามกระบวยชี้บูรพา วสันตฤดูมาถึงแล้ว
แสงตะวันสดใสสาดส่องลงมาจากรอยฉลุบนหน้าต่าง
ซูอี้นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ กำลังดื่มชาอย่างสบายอารมณ์
บางครั้งเขาก็จะเบนสายตามองไปที่เตียงบ้าง เพราะบนนั้นมีสาวน้อยหน้าใสสวยเลิศกำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ บนใบหน้างดงามยังคงแดงระเรื่อ
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้ว ซูอี้อดส่ายหน้าขึ้นมาไม่ได้
พูดให้ชัดเจน เมื่อคืนนี้แทบไม่ได้พักเลย ต้องใช้คำว่าดุเดือดจึงจะเห็นภาพ
แม้กระทั่งซูอี้ก็ยังคาดไม่ถึงว่า เย่อวี๋ผู้มีความอ่อนโยนสงบเงียบ กับเรื่องบนเตียงแล้วจะร้อนแรงเหมือนดั่งเพลิงไฟเช่นนี้
ทว่า แม้กระทั่งซูอี้ก็ยังต้องยอมรับว่า ความสุขแบบซาบซ่านเข้าถึงกระดูกอย่างเมื่อคืน ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายไปทั้งตัว
นี่คงจะเป็นคุณประโยชน์ของการฝึกคู่
หลังจากนั้นสักครู่ ซูอี้ก็ลุกขึ้นเตรียมจะออกจากห้อง
เสียงใสแจ๋วหวานหยดย้อยดังขึ้น
ภูเขาใหญ่งดงามสมดุลได้สัดส่วน อิ่มเอิบอวบอัด พอบีบรัดเอวกลมคอดเว้า ท้องน้อยที่แบนราบก็เกร็งตัว ทุกส่วนที่นูนขึ้นล้วนพอเหมาะได้ขนาด
ไม่นานนัก เย่อวี๋ก็แต่งตัวเสร็จสรรพ
ชุดกระโปรงสีดำที่คล้ายกับมีกลีบดอกไม้แต่งเติมเสริมให้ผิวพรรณขาวเนียนประดุจหิมะกับรูปหน้าที่งดงามประดุจภาพวาดให้สวยโดดเด่นขึ้น
ส่วนขาเรียวงามยาวตรงทั้งสองก็นวลเนียนละเอียดอ่อน ยืดหยุ่นจนน่าตื่นตะลึง
ได้ยินเสียงสาวน้อยสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว ในสมองของซูอี้นึกถึงภาพเย้ายวนเมื่อคืนนี้ขึ้นมา
แม้กระทั่งตอนที่มีความสุข เสียงเย็นยะเยือกอ่อนละมุนนั้นก็ยังแฝงไว้ซึ่งความยั่วเย้า นำความกระตุ้นเร่งเร้าอย่างแรงกล้ามาสู่ซูอี้
เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ สาวน้อยไม่มีความใจกล้าเอาแต่ใจเหมือนอย่างเมื่อคืนอีก แต่กลับเขินอายทำตัวไม่ถูก
ซูอี้ยิ้ม ๆ พลางกล่าว “ไปกันเถิด”
——
เจ็ดวันให้หลัง
วันที่หนึ่งเดือนเก้า
ชายแดนฝั่งตะวันออกของเขตร้อยลำธาร
เรือล่องสำราญหอเมฆาที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขากดทับชั้นเมฆมุ่งหน้าบินไปสู่ริมฝั่งทะเลทุกข์
เรือล่องสำราญหยุดจอดที่เมืองชายฝั่งชื่อว่า ‘ตังกุย’ ซึ่งติดกับทะเลทุกข์
เมืองตังกุย
เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่ง
ชื่อของเมือง ๆ นี้มีความหมายที่ดีงามแฝงเร้น ส่วนมากแล้วคือหวังว่าผู้ฝึกตนที่เดินทางบุกตะลุยทะเลทุกข์จะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้
ร่างสูงโปร่งของซูอี้ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงคนที่เดินขึ้นลงเรือล่องสำราญหอเมฆา มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองตังกุย
เมื่อพวกเขามาถึงก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว
กำแพงเมืองโบราณที่ตั้งสูงตระหง่าน อาบไล้ด้วยแสงตะวันยามเย็นสีแดงสดคล้ายกับเลือด บางครั้งลมทะเลก็พัดเอาความชื้นที่มีกลิ่นเกลือของทะเลทุกข์ซึ่งอยู่ไกลโพ้นมา
ฝูงคนเบียดเสียด เดินเข้า ๆ ออก ๆ ประตูเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ ผสมผสานกับเสียงคลื่นกระทบฝั่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้คน
ซูอี้เอามือไพล่หลัง เขาเพิ่งอยู่ในกลุ่มฝูงคนเข้าสู่ประตูเมือง
เมื่อเจ็ดวันก่อน เขาอยู่เที่ยวเล่นในเมืองหิมะสวรรค์กับเย่อวี๋และโยวเสวี่ยเป็นเวลาหลายวัน
เมื่อแยกจากกัน ถึงแม้เย่อวี๋จะยังคงทำใจไม่ได้ แต่ซูอี้ก็มองออกว่าแม่สาวน้อยไม่ได้รู้สึกโศกเศร้ามากนัก กลับยังมีความหวังและตั้งสัญญาว่าเมื่อซูอี้กลับมา จะไปพบกันที่เผ่าปีศาจงู
ซูอี้รับปากอย่างรวดเร็ว
จากนั้น เขาก็นั่งเรือล่องสำราญลำนี้มาคนเดียวราวกับนักเดินทางที่เดินทางไปทั่ว มาถึงเมืองตังกุยซึ่งอยู่ติดชายฝั่งทะเลทุกข์แห่งนี้
เมืองตังกุยคึกคักมาก
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ฝึกตนคนใดก็ตามที่เดินทางบุกตะลุยสู่ทะเลทุกข์ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกเข้ามาพักที่เมืองนี้ก่อนเพื่อสืบข้อมูลและตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้
ส่วนผู้ฝึกตนที่กลับมาจากการบุกตะลุยทะเลทุกข์ก็จะเลือกมาพักที่เมืองตังกุย สิ่งที่พวกเขาพบเห็นในทะเลทุกข์ก็จะกลายเป็นข้อมูลแพร่กระจายออกไป
และในแบบเดียวกัน สมบัติหายากนานาชนิดที่พวกเขานำกลับมาจากทะเลทุกข์ก็ถูกนำออกมาขายที่เมืองตังกุยแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ร้านค้าพาณิชย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้าล้วนมาเปิดร้านอยู่ที่เมืองตังกุยทั้งสิ้น
และยังมีนักค้าข้อมูลที่หาเงินโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อดำรงชีวิตจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ในเมืองนี้
กล่าวง่าย ๆ ก็คือที่เมืองตังกุยแห่งนี้ สามารถสืบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทะเลทุกข์ได้ และสามารถหาซื้อสมบัติถูกใจนานาชนิดที่นำกลับมาจากทะเลทุกข์ได้ด้วยเช่นกัน
“คุณชาย ต้องการข้อมูลใหม่ล่าสุดของทะเลทุกข์หรือไม่?”
ซูอี้เพิ่งเข้ามาในเมืองได้ไม่นาน ผู้ชายร่างผอมบางก็เดินยิ้มเข้ามาหา
“ไม่ต้องการ”
ซูอี้ปฏิเสธโดยเร็ว
ผู้ที่ทำอาชีพค้าขายข้อมูลเพื่อประทังชีวิตเหล่านี้ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าถิ่นที่อยู่ในเมืองตังกุย แต่ข้อมูลที่พวกเขารู้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีค่ามากนัก
หลอกได้แต่ผู้ฝึกตนที่ยังไม่ค่อยประสาเรื่องราวในโลกเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นคุณชายมาเมืองตังกุยครั้งนี้ ต้องการซื้อสมบัติคู่ใจหรือไม่?”
ผู้ชายที่มีท่าทางคล่องแคล่วยิ้มพลางถาม “บอกท่านตามตรง ขอเพียงเมืองตังกุยแห่งนี้มีสมบัติคู่ใจที่ท่านต้องการ ข้าสามารถช่วยท่านหาได้ทั้งหมด!”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘วิทยาสถาน’ อยู่ที่ใด?”
ผู้ชายคนนั้นทำหน้างุนงง “วิทยาสถานอะไร?”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าช่วยข้าไม่ได้ ไปหาคนอื่นเถอะ”
พูดจบ เขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว
“คนหนุ่มสมัยนี้กร่างถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”
ทว่า เขาพบผู้คนมานับไม่ถ้วน จึงมีสายตาแหลมคม และมองออกว่าถึงแม้ซูอี้จะมีอายุน้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน จึงไม่กล้าไปตอแยด้วย
หากว่าเป็นพวกอ่อนหัดเพิ่งหาประสบการณ์ เขาต้องตีงูให้หลังหัก หาวิธีหลอกไปต้มแล้ว
“เมืองตังกุยแห่งนี้ ยังคงคึกคักเหมือนเดิม” ซูอี้ชื่นชม
ตลอดทางเห็นผู้ฝึกตนมากมายหลายประเภท พวกที่มีกลิ่นอายพลังแข็งแกร่งก็มีอยู่ไม่น้อย
ซูอี้ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลังของคนที่มีระดับฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิหลายคนปรากฏขึ้นมาและหายไปกับฝูงผู้คน
ไม่นานนัก ซูอี้ก็มาถึงตรอก ๆ หนึ่งที่อยู่ห่างไกลผู้คน
จนกระทั่งมาถึงหน้าอาคารทรงโบราณอันดับที่เก้าของตัวตรอก
ซูอี้เดินตรงไปข้างหน้า เคาะประตูหกครั้ง สี่ครั้งหนัก สองครั้งเบา
ทันใดประตูที่ปิดสนิทก็เปิดออก ผู้เฒ่าผมขาวโพลนหลังค่อมเดินออกมา
เขาพินิจมองซูอี้อย่างละเอียด จากนั้นจึงกล่าว “คุณชายมาที่นี่เพื่อมีเรื่องอันใด?”
ซูอี้ตอบ “สืบหาข้อมูล”
ผู้เฒ่าประสานมือคารวะตอบ “จักจั่นร้องทั้งคิมหันต์”
ซูอี้เอ่ยตอบ “ใบไม้ร่วงจึงรู้ว่าถึงสารทฤดู”
สีหน้าของผู้เฒ่าอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย เขาโค้งตัวแสดงท่าเชื้อเชิญออกมา พลางกล่าว “เชิญคุณชายเข้ามาข้างใน”
ซูอี้กล่าว“ข้อมูลที่ข้าต้องการสืบไม่ใช่ข้อมูลทั่วไป ดีที่สุดให้ผู้ดูแลใหญ่มาพบข้า”
ผู้เฒ่าหรี่ตาลงพลางกล่าว “คุณชายมีผู้แนะนำหรือไม่?”
ซูอี้ยิ้มพลางตอบ “ข้าไม่มีผู้แนะนำ แต่ยังคงจำได้อยู่ประโยคหนึ่ง เจ้าสามารถนำไปบอกให้ผู้ดูแลฟังได้”
ผู้เฒ่ารู้สึกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “เชิญคุณชายกล่าวมาได้ ข้าน้อยพร้อมฟัง”
ซูอี้กล่าว “ด้ามกระบวยชี้บูรพา วสันตฤดูมาถึงแล้ว”
ผู้เฒ่าตะลึงไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าสับสนมาก กล่าว “คุณชายโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยจะรีบกลับมา”
ซูอี้กล่าว “รีบไปเถอะ อย่าได้เสียเวลา”
ผู้เฒ่าปิดประตูแล้วจากไป
ซูอี้หยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอย่างสบายอารมณ์
วิทยาสถาน ขุมกำลังโบราณระดับสุดยอดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในเรื่องของข้อมูล
ผู้ที่รู้จักวิทยาสถานส่วนใหญ่เป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสรุ่นเก่าลายครามของขุมกำลังใหญ่ ๆ แต่ละสายวิถี
ทว่า ต่อให้เป็นผู้อาวุโสรุ่นเก่าลายครามก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ที่ตั้งของวิทยาสถานนั้นอยู่ที่ใด และมีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
ซูอี้รู้เรื่องของ ‘วิทยาสถาน’ มาบ้างจากปากของชุยหลงเซี่ยง
ว่ากันว่า วิทยาสถานในช่วงแรกเริ่ม เดิมทีเป็นหน่วยงานเก่าแก่หน่วยงานหนึ่งของ ‘ดินแดนปรภพ’ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเก็บรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล และอยู่ในความควบคุมของ ‘อ๋องฉินก่วง’ หนึ่งในยมบาลสิบตำหนักมาโดยตลอด
จนกระทั่งดินแดนปรภพพินาศ ขุมกำลังเก่าแก่ที่อยู่ในความควบคุมของยมบาลสิบตำหนัก จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘วิทยาสถาน’ และใช้มาจนตลอดถึงตอนนี้
ทว่า วิทยาสถานต้อนรับเฉพาะแขกที่มีระดับฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไป อีกทั้งผู้ใดก็ตามที่สืบข้อมูลกับวิทยาสถาน จะต้องช่วยวิทยาสถานปิดเป็นความลับตามข้อตกลง
ด้วยเหตุนี้ น้อยนักที่ผู้ฝึกตนทั่วทั้งภูมิมืดมิดจะรู้ว่ามีหน่วยงานอย่างวิทยาสถานอยู่
เมื่อชาติก่อนตอนที่ซูอี้บุกตะลุยทะเลทุกข์เคยมาสืบข้อมูลที่วิทยาสถาน จึงคุ้นเคยกับขุมกำลังลึกลับนี้เป็นธรรมดา
ในขณะที่ซูอี้กำลังรอ
ณ ลานสวนที่ปกคลุมด้วยร่มเงาไม้ของต้นไผ่และต้นสน มีอาคารตั้งอยู่หลังหนึ่ง
“ข้าเพียงแค่ต้องการสืบข้อมูลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์จากเจ้าเท่านั้น ตื่นเต้นไปไย?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีดำประดุจหมึกนั่งสงบอยู่ตรงนั้น ดวงตาเรียวยาวแลดูยั่วยวนมองดูผู้เฒ่าชุดสีเทาที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
ขาเรียวยาวของหญิงสาวไขว่กัน ผิวขาวประดุจหิมะ รูปโฉมงดงามสดใสดุจสาวน้อย ปลายหางตางอนแฝงซึ่งเสน่ห์ร้ายบาง ๆ งดงามเลอเลิศ
ทว่าผู้เฒ่าชุดสีเทากลับก้มหน้า จดจ้องดูชาบนโต๊ะ พลางกล่าวอย่างถอนใจ “ใต้เท้ายมบาลมาเยือน ไม่ให้ผู้น้อยตื่นเต้นได้เช่นใด?”
ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบของหญิงสาวกล่าวกระแนะกระแหน “ถึงแม้กรมเงาสวรรค์ของพวกเจ้าจะไม่ได้บรรจุเข้าสู่หกกรมวิถีแห่งยมโลก อย่างน้อยก็ยังเป็นขุมกำลังเก่งฉกาจที่สุดของอ๋องฉินก่วง ว่ากันว่าไม่มีเรื่องใดในภูมิมืดมิดที่พวกเจ้าไม่รู้ แต่ทว่าตอนนี้ เหตุใดจึง… ไม่ได้เรื่องแบบนี้ไปได้?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทายังคงก้มหน้านิ่ง ถอนใจขึ้นมาทีหนึ่งกล่าว “กรมเงาสวรรค์สูญสิ้นไปนานแล้ว วิทยาสถานในเวลานี้จึงไม่อยู่ในสายตาของใต้เท้ายมบาลเป็นธรรมดา”
หญิงสาวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้น แล้วก็กล่าวขึ้น “วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อแก้แค้น เจ้าบอกข้อมูลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์มา แล้วข้าจะรีบไป”
ผู้เฒ่าชุดสีเทากล่าวราวกับไม่เชื่อ “ใต้เท้าพูดจริงหรือ?”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ดินแดนปรภพก็สูญสลายไปแล้ว ข้ายังไม่ถึงกับต้องมาระบายเอากับวิทยาสถาน”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาแอบโล่งอก และกล่าวขึ้น “ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”
แต่ในขณะนี้เอง เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่เคยออกไปต้อนรับซูอี้เมื่อก่อนหน้านี้ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกอาคาร เขาโค้งคำนับพลันกล่าว “ใต้เท้า มีแขกสำคัญมาหา บอกว่าต้องการจะพบท่านขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาขมวดหัวคิ้ว
ผู้เฒ่าชุดสีเทาสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ระงับความกระสับกระส่ายในใจ เบนสายตามมองดูผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่อยู่ด้านนอกอาคาร “อีกฝ่ายมีผู้แนะนำหรือไม่?”
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนกล่าว “คุณชายท่านนั้นแจ้งว่า ขอเพียงบอกกับท่านหนึ่งประโยค ท่านอาจจะเข้าใจได้”
ผู้เฒ่าชุดสีเทากล่าวอย่างคาดไม่ถึง “คือประโยคใด?”
“ด้ามกระบวยชี้บูรพา วสันตฤดูมาถึงแล้ว”
เพียงแค่ไม่กี่คำ กลับทำให้ผู้เฒ่าชุดสีเทาตัวแข็งกระด้างในทันที
หญิงสาวที่กำลังยกจอกชาขึ้นดื่มถึงกับชะงัก ใบหน้าที่งดงามผุดสีหน้าประหลาดขึ้นมา
ในโลกนี้ ยังมีอีกคนหนึ่งที่รู้ประโยคนี้?
ช่างน่าสนุกเสียแล้ว!