บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 941: เคาะหน้าผาก
ตอนที่ 941: เคาะหน้าผาก
“คุณชายท่านนั้นมีลักษณะเช่นใด?”
จู่ ๆ หญิงสาวก็ถามขึ้นมา
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่อยู่ด้านนอกอาคารลังเลชั่วครู่จึงกล่าว “อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปลักษณ์หล่อเหลา มีระดับการฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ…”
เมื่อได้ยินรูปพรรณสัณฐานเช่นนี้แล้ว หญิงสาวถึงกับนิ่งตะลึง ดวงตาสวยผุดประกายประหลาด นางพอจะรู้คร่าว ๆ แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร!
หญิงสาวครุ่นคิดสักครู่จึงเอ่ยพูดขึ้นมาช้า ๆ “เจ้าไปเชิญคุณชายท่านนั้นมา”
หญิงสาวครุ่นคิดสักครู่จึงเอ่ยพูดขึ้นมาช้า ๆ “เจ้าไปเชิญคุณชายท่านนั้นมา”
“เช่นนี้… ไม่เหมาะกระมัง?”
ผู้ชายชุดสีเทาที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาวขมวดคิ้วพลางกล่าว
เขาคือผู้ดูแลใหญ่ของวิทยาสถาน นามว่า ‘อวิ๋นหรง’
“ข้ากับคุณชายท่านนั้นสนิทสนม หากว่าข้าเดาไม่ผิด เขาก็มาเพื่อสืบความเปลี่ยนแปลงในทะเลทุกข์เช่นกัน”
หญิงสาวกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ดังนั้น เจ้าคิดว่ามีอะไรไม่เหมาะเช่นนั้นหรือ?”
คำกล่าวราบเรียบประโยคเดียว ทว่าสร้างแรงกดดันให้แก่อวิ๋นหรงไม่น้อย
เขาสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นชายชราจึงพูดเสียงเข้ม “ไปเชิญคุณชายท่านนั้นมา”
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนนั้นน้อมรับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว
หญิงสาวใช้นิ้วมือเรียวงามลูบผมสลวยสีน้ำเงินที่ข้างหู ทว่าในใจครุ่นคิดอยู่ว่าอีกประเดี๋ยวหากเป็นคนผู้นั้นจริง ควรจะถือโอกาสนี้กดเขาลงไปบ้างจะดีหรือไม่?
เมื่อซูอี้ก้าวเดินมาด้วยท่าสองมือไพล่หลังจนมาถึงด้านหน้าหออาคาร เขาก็หรี่ตาลง
ยมบาล!
เพียงแค่แวบเดียวเขาก็จำได้ หญิงสาวในชุดกระโปรงสีดำผู้มีรูปโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของคนทั้งหลาย ทว่ากลับมีท่าทีเย็นชาประดุจเทพนางฟ้า ก็คือยมบาล!
ผู้หญิงคนนี้หลุดพ้นจากการกักขังในนภาโกลาหลตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ถึงแม้สีหน้าของซูอี้จะยังคงราบเรียบเหมือนดังเคย ทว่าในใจนั้นมีแต่ความตื่นตะลึง
“สหายเต๋าซู เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนเป็นพรหมลิขิต จึงทำให้เราทั้งสองได้มาพบกันที่วิทยาสถานแห่งนี้?”
ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบของยมบาลสาวเผยอยิ้มน้อย ๆ ดวงตาส่องสว่าง ใช่เขาจริง ๆ เสียด้วย!
“สำหรับข้าแล้ว บางทีอาจจะเป็นกรรมมากกว่า”
ซูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ชั่วขณะนี้ เมื่อสงบใจลงมาได้แล้ว เขาก็รู้สึกตะหงิด ๆ ว่ากลิ่นอายพลังในตัวคนตรงหน้าผิดปกติ ไม่มีกลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่ของผู้ชี้ชะตา
‘ดูท่าแล้ว นางคงสูญเสียไปมากเพื่อให้หลุดพ้นจากการกักขัง หรือไม่เช่นนั้นร่าง ๆ นี้คงจะมีสิ่งอื่นซ่อนเร้น’ ซูอี้ครุ่นคิด
“กรรมเช่นนั้นหรือ?”
ยมบาลสาวอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เจ้ากล่าวไม่ผิด ระหว่างข้ากับเจ้ามีเวรมีกรรมติดค้างกันจริง ๆ”
อวิ๋นหรงถือโอกาสนี้ลุกขึ้นผงกศีรษะน้อย ๆ เพื่อแสดงความคารวะ “คุณชาย เชิญมาพูดคุยกัน”
ในใจของเขาก็อยากจะรู้เช่นกันว่าที่แท้แล้วซูอี้เป็นใครกันแน่ ทั้งยังรู้รหัสลับของวิทยาสถานอีก!
ซูอี้พยักหน้าและตรงเข้าไปในอาคารนั่งลงในตำแหน่งที่ว่างอยู่โดยไม่เกรงใจ
ยมบาลพินิจมองซูอี้ที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมอย่างละเอียด “สหายเต๋าซู หากให้ข้าเดา เจ้ามาวิทยาสถานในครั้งนี้ ก็เพื่อมาสืบเรื่องความเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์ ใช่หรือไม่?”
ซูอี้ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เช่นเคย “ไร้สาระ สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับทะเลทุกข์ ใครบ้างจะเดาไม่ออก?”
ยมบาล “…”
นางไม่คิดเลยสักนิดว่าซูอี้จะไม่เกรงใจถึงเพียงนี้
ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเกิดประกายแห่งความบ้าคลั่งสีเลือดขึ้นมาในทันใด
ทว่าสุดท้ายนางก็ยังคงสะกดกลั้นไว้ได้ มือเนียนขาวทั้งสองวางซ้อนกันตรงหน้า ทำท่าราวกับไม่ตั้งใจพูดขึ้นมา “แต่ข้ายังรู้มาอีกว่า สหายเต๋าซูมาทะเลทุกข์ในครั้งนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับชุยหลงเซี่ยงด้วย”
ประโยคเดียวเท่านั้น ซูอี้ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ดีที่สุดอย่าได้ข้องเกี่ยว”
ยมบาลสาวยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “ข้าไม่ใส่ใจเรื่องของชุยหลงเซี่ยงหรอก แต่ข้าสนใจเรื่องของสหายเต๋าซูมากกว่า ข้าขอบอกกับเจ้าตามตรง สาเหตุที่ข้ามาปรากฏตัวที่ทะเลทุกข์ในครั้งนี้ ก็เพราะเจ้า”
พูดถึงตรงนี้ นางก็โน้มตัวมาข้างหน้าน้อย ๆ ใบหน้างดงามอยู่ห่างจากซูอี้เพียงแค่ปลายจมูก ดวงตาเย้ายวนคู่นั้นจับจ้องดูตาของชายหนุ่ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากจะบอกว่า ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าเจ้าจะตายในทะเลทุกข์เท่านั้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
วิธีการนั่งโน้มตัวมาข้างหน้าเช่นนี้ทำให้อวิ๋นหรงถึงกับตัวแข็งทื่อ รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าซูอี้กลับยกมือขวาขึ้นมา จากนั้นงอนิ้วดีดลงบนหน้าผากของยมบาลสาว “เขยิบออกไป”
นางตะลึง ใบหน้างดงามแสดงความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
คนผู้นี้กล้าดีดหน้าผากข้า?!
ความเป็นจริงแล้ว ชั่วขณะที่ซูอี้จะดีด เขาไม่ได้ใช้ระดับวิถี และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ยมบาลจึงไม่ได้หลบในทันใด เพราะเข้าใจว่าเขาเอื้อมมือออกมาเพียงแค่อยากจะหยิบจอกชาเท่านั้น
ใครกันจะคาดคิดว่านิ้วของเขาจะเคาะลงบนหน้าผากของตัวเอง!!
ความรู้สึกไม่พอใจยากจะปกปิดผุดขึ้นบนใบหน้างามของยมบาลสาว นางกำลังจะอ้าปากพูด
ก็เห็นซูอี้กล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าต้องกลัวว่าข้าจะเกิดเรื่องอยู่แล้ว ในจุดนี้ ข้าไม่เคยแม้แต่จะสงสัย”
“…”
เมื่อเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของซูอี้แล้ว นางก็รู้สึกแน่นหน้าอก อยากจะฆ่าผู้ชายคนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
อวิ๋นหรงผู้ดูแลใหญ่ของวิทยาสถานเห็นแล้วถึงกับตาค้าง หัวใจสั่นสะท้าน นึกไม่ถึงเลยว่า คนหนุ่มขอบเขตแค่วงล้อวิญญาณกล้าพูดเช่นนี้กับยมบาลได้
อีกทั้ง ยังกล้าเคาะหน้าผากของอีกฝ่ายด้วย!!
ตามที่ทราบกันดีว่า เมื่อสมัยบรรพกาล ยมบาลเป็นตัวตนน่ากลัวที่เปรียบได้ดั่งผู้ชี้ชะตา ความแข็งแกร่งของนางทำให้ทั่วทั้งดินแดนปรภพมองนางเป็นศัตรูตัวร้ายที่ผู้ใดก็หวาดกลัว
ทว่าตอนนี้ เพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่งเท่านั้น กลับไม่มองยมบาลอยู่ในสายตา!
เขาคือใคร?
ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน?
ทว่าซูอี้ไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น เขาเบนสายตามองไปที่อวิ๋นหรง จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “จุดประสงค์การมาของข้า ท่านคงจะทราบแล้วกระมัง”
อวิ๋นหรงลอบสูดหายใจลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความเคารพโดยไม่รู้ตัว “เรื่องความเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์ อีกประเดี๋ยวผู้น้อยจะตอบและมอบให้คุณชาย”
ซูอี้พยักหน้าพร้อมกับกล่าว “รบกวนด้วย”
“ในเมื่อคุณชายรู้รหัสลับ ‘ด้ามกระบวยชี้บูรพา วสันตฤดูมาถึงแล้ว’ แล้ว นั่นก็แสดงว่าเป็นแขกอันมีเกียรติอย่างที่สุดของวิทยาสถานของข้า การขจัดปัญหาข้อสงสัยของคุณชาย เป็นหน้าที่ของพวกเรา”
อวิ๋นหรงพูดถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวลองเชิงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “เพียงแต่ไม่รู้ว่า คุณชายมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด?”
ไม่รอให้ซูอี้ตอบ ยมบาลก็หัวเราะเย็นชากล่าวขึ้นมา “คนผู้นี้เป็นใครไม่สำคัญ เพราะไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องตกอยู่ในกำมือข้าอยู่ดี!”
นางกล่าวมาเช่นนี้ เผยให้รู้ถึงการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ประกายแสงสีเลือดในดวงตางดงามคู่นั้นวาววับ
ซูอี้หัวเราะกล่าวขึ้นมา “หากว่าเจ้าคิดว่าสามารถจับข้าได้ เหตุใดจึงไม่ลงมือเล่า?”
ประโยคเดียวเช่นนี้เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ยมบาลสาวเม้มริมฝีปาก สีหน้าราบเรียบและเย็นชาขึ้นมา
บรรยากาศในสถานที่แห่งนั้นกดดันตึงเครียดขึ้นมาในทันใด
อวิ๋นหรงรู้สึกหนาวสันหลังราวกับนั่งอยู่บนพรมตะปู
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ยมบาลก็หัวเราะขึ้นมาก่อนแล้ว นางพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางกล่าว “จะกินข้าวก็ต้องค่อย ๆ กินทีละคำจึงจะอร่อย เจ้าใจร้อน แต่ข้าจะร้อนใจไม่ได้”
น้ำเสียงไพเราะเสนาะยังคงดังกึกก้อง บรรยากาศตึงเครียดในอาคารหายไปในทันใด
ซูอี้มองดูอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วไม่ได้พูดท้าทายอะไรอีก
หากไม่จำเป็น ซูอี้ก็ไม่อยากจะถึงขั้นแตกหักกับผู้หญิงเสียสติคนนี้เช่นกัน
อวิ๋นหรงแอบโล่งอก จากนั้นรีบหยิบแผ่นหยกสองแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ มอบให้ยมบาลสาวกับซูอี้คนละแผ่น “ใต้เท้ายมบาล คุณชาย ในนี้มีจดบันทึกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์ ท่านทั้งสองโปรดเก็บรักษาไว้ให้ดี”
ตอนนี้เขามีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น วิทยาสถานนั้นคับแคบเกินไป ไม่อาจรองรับเสือใหญ่สองตัวนี้ได้ จะต้องคิดหาวิธีรีบไล่พวกเขาออกไปโดยเร็ว!
ซูอี้เก็บแผ่นหยก ไม่ได้รีบร้อนนำออกมาอ่าน แต่ถามขึ้นมาว่า “นอกจากนี้แล้ว ข้ายังมีบางเรื่องอยากจะสอบถามจากเจ้า”
อวิ๋นหรงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตามองไปที่ยมบาลสาว
ยมบาลขมวดคิ้วดำดกราวกับน้ำหมึก และกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าหมายความว่าให้ข้าหลบไปก่อนเช่นนั้นหรือ?”
อวิ๋นหรงถึงกับไอแห้ง ๆ ขึ้นมาแล้วรีบตอบ “มิบังอาจ มิบังอาจ”
ซูอี้เริ่มหมดความอดทนแล้ว เขากล่าวขึ้นมาตรง ๆ “ลำดับถัดมา เจ้าตอบคำถามของข้าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่น”
ขาเรียวยาวทั้งคู่ของยมบาลซ้อนทับกัน มือถึงเท้าคาง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ ข้าจะคอยฟัง”
ชั่วขณะนี้ นางแลดูใจเย็นมาก ถึงแม้จะถูกซูอี้มองว่าเป็น ‘คนอื่น’ แต่ก็ไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย
อวิ๋นหรงเห็นเช่นนี้แล้วก็พยักหน้าพลางกล่าว “คุณชายได้โปรดชี้แนะ”
ซูอี้กล่าว “เมื่อสิบปีก่อน เรื่องที่ชุยหลงเซี่ยงไปยังทะเลทุกข์ วิทยาสถานของพวกเจ้ารู้รายละเอียดอันใดบ้างหรือไม่?”
อวิ๋นหรงถึงกับหนังตากระตุกขึ้นมา “สิ่งที่ยมราชพิพากษาพบเจอ จนถึงบัดนี้ทั่วทั้งภูมิมืดมิดต่างก็รู้กันว่า ถึงแม้วิทยาสถานของข้าจะเคยทำการสืบอยู่หลายครั้ง ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรือยมโลกลึกลับลำนั้น กลับไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว”
ซูอี้ชี้ไปที่แผ่นหยกในมือ และกล่าวอีกว่า “ในนี้มีบันทึกเกี่ยวกับเรือยมโลกลำนั้นหรือไม่?”
อวิ๋นหรงรีบตอบ “มีขอรับ”
ซูอี้ถามอีก “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องที่จ้าวบรรพตเมืองท้อไปทะเลทุกข์หรือไม่?”
อวิ๋นหรงตอบ “เรื่องนี้ วิทยาสถานพอจะรู้เรื่องภายในอยู่บ้าง เพราะตอนที่จ้าวบรรพตเมืองท้อเดินทางไปทะเลทุกข์ในตอนนั้น เคยมาสืบข่าวคราวที่วิทยาสถานเช่นกัน”
ซูอี้ดูตกตะลึงขึ้นมาฉับพลัน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นไก่แจ้เฒ่าสืบเรื่องอันใด?”
อวิ๋นหรงตอบอย่างระมัดระวัง “ขอเรียนถามว่าคุณชายเกี่ยวข้องอันใดกับจ้าวบรรพตเมืองท้อ?”
“เป็นสหาย”
ซูอี้ตอบเสร็จก็เอาไม้ของต้นศักดิ์สิทธิ์เมืองท้อออกมาจากแขนเสื้อ “สิ่งนี้สามารถเป็นหลักฐานได้”
อวิ๋นหรงรู้สึกวางใจขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าว “เรียนคุณชายตามตรง เรื่องที่จ้าวบรรพตเมืองท้อสืบนั้นเกี่ยวข้องกับกู้จื้อหมิงศิษย์ของผีหมัว”
ซูอี้หรี่ตาลง
ยมบาลสาวก็แสดงสีหน้าสนอกสนใจขึ้นมาเช่นกัน
นางเคยรู้เรื่องในอดีตของซูเสวียนจวินจากอีกาเก้ามืดมิด จึงรู้เป็นธรรมดา ว่าผีหมัวคือศิษย์เอกของซูเสวียนจวิน!
“เหตุใดเขาจึงสืบเรื่องนี้?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
อวิ๋นหรงส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่อาจทราบได้ แต่ข้าน้อยรู้ว่า เมื่อประมาณสามปีก่อน กู้จื้อหมิง ซั่งกวนเจี๋ย หนีซวง เฉิงเทียนคุน ศิษย์ของผีหมัวสี่คนเคยนำพากลุ่มพลังผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งของตนเองเข้าไปในทะเลทุกข์ ว่ากันว่าเพื่อเสาะหาความลับของพิภพยมราชฝังวิถี”
ซูอี้ฟังแล้วตกอยู่ในภวังค์
เมื่อตอนอยู่ที่เมืองตาข่ายม่วง เขาสืบมาได้ว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผีหมัวเคยส่งศิษย์หกคนในสำนักไปยังภูมิมืดมิด
ศิษย์ทั้งหกคนนี้ต่างก็นำกำลังจากสำนักหกมหาวิถีแห่งมหาแดนดินของตนเองไปสืบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ!
ในจำนวนนี้ เถาเชียนชิวตายด้วยฝีมือของเขา
ตอนที่อยู่ในเผ่าปีศาจงู เจียงอิ้งหลิ่วก็พ่ายแพ้แก่เขาอย่างย่อยยับ
และตอนนี้ ศิษย์สี่คนที่เหลือของผีหมัวกลับรวมพลังกันเดินทางไปทะเลทุกข์ เพื่อสืบความลับของพิภพยมราชฝังวิถี จะไม่ให้ซูอี้รู้สึกระแวงได้อย่างไร?