บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 942: กระแส
ตอนที่ 942: กระแส
ครั้งนั้นที่ซูอี้ไปเขาเมืองท้อ ได้รู้จากปากของ ‘เย่ฉิน’ ศิษย์ของไก่แจ้งเฒ่าว่าตอนนั้นไก่แจ้เฒ่าได้รับสารลับมาฉบับหนึ่ง จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังทะเลทุกข์อย่างกะทันหัน
ตอนนั้นซูอี้สงสัยนักว่าใครเป็นผู้เขียนสารลับฉบับนั้นขึ้นจึงทำให้ไก่แจ้งเฒ่ายอมจากเขาเมืองท้อที่ตนเองเฝ้ารักษาประจำการมาเป็นเวลานาน
ตอนนี้ซูอี้เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
สารลับฉบับนี้เป็นไปได้มากว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับศิษย์ของผีหมัว!
“ศิษย์ทั้งสี่ของผีหมัวก็เดินทางไปยังสุสานวิถีแล้วเช่นกัน หรือว่าพวกเจ้าสืบเจอแล้วว่าผีเฒ่าแบกโลงเข้าสู่ซากโบราณแห่งนั้นไปนานแล้ว?”
ซูอี้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
ผู้คุมรัตติกาลเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อนานมากแล้ว ผีเฒ่าแบกโลงเคยเก็บรักษาโลงศพหกวิถีไว้ ณ พิภพยมราชฝังวิถี ซึ่งโลงศพหกวิถีนี้เดิมเป็นกระดานหกวิถีที่ ‘กรมหกวิถีแห่งยมโลก’ คอยควบคุมดูแล
อีกทั้ง ตามการสันนิษฐานของเขา ผีเฒ่าแบกโลงผู้ที่หายสาบสูญไปจากโลกกว้างหลายปีอาจจะถูกจับขังไว้ใน ‘พิภพยมราชฝังวิถี’
ส่วนยมราชดาบคลั่งหลิ่วฉางเซิงเป็นลูกพี่ใหญ่ทางด้านวิถีดาบ แต่เป็นเพียงคนเดียวในบรรดา ‘หกผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิมืดมิด’
เขาเป็นคนซื่อตรงไม่ยอมใคร คลั่งไคล้ในวิชาดาบ เคยเดินทางไปทั่วแดนดินเพื่อศึกษาวิชาดาบ ประสบการณ์เรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาเป็นที่รู้กันทั่วทั้งแดน
มีคำกล่าวหนึ่งที่พูดกันจนติดปากคนในภูมิมืดมิด
ดาบของหลิ่วฉางเซิง สามารถสยบนักดาบตัวตนขอบเขตจักรพรรดิในภูมิมืดมิดได้ทั้งสิ้น!
เช่นนี้ถือเป็นการสรรเสริญเยินยอในวิถีดาบของหลิ่วฉางเซิงอย่างสูงสุด
ทว่า นับตั้งแต่ซูอี้บุกตะลุยไปทั่วภูมิมืดมิดแล้ว นักดาบในโลกกว้างต่างก็เข้าใจกระจ่างว่า
ดาบของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินสามารถสยบนักดาบทั้งหลายทั่วทั้งแดนดิน!
“เหตุใดหลิ่วฉางเซิงจึงไปปรากฏตัวที่เมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้?” ซูอี้ถาม
เขาจดจำนักดาบที่ซื่อตรงไม่ยอมใครคนนี้ได้เป็นอย่างดี บนหนทางแห่งการสืบเสาะวิถีดาบของฝ่ายตรงข้ามมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
“ไม่ทราบได้”
อวิ๋นหรงส่ายหน้า พลางกล่าวตัดพ้อ “ถึงแม้วิทยาสถานของพวกเราจะได้รับข่าวสารรวดเร็วว่องไว ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในตำนานอย่างยมราชดาบคลั่ง พวกเราก็ไม่สามารถจะก้าวก่ายได้”
“คนผู้นี้ร้ายกาจมากเลยหรือ?”
ยมบาลสาวทนไม่ไหวจึงถามขึ้นมา
นางสังเกตเห็นว่าซูอี้ให้ความสนใจแก่หลิ่วฉางเซิงเป็นพิเศษ
อวิ๋นหรงแสดงสีหน้าจริงจังพลางพยักหน้า “เมื่อหกหมื่นปีก่อน ยมราชดาบคลั่งเป็นตัวแทนของความเจริญสูงสุดของวิถีดาบในภูมิมืดมิด ไม่มีใครสามารถเทียบได้ หรือกล่าวในอีกความหมายหนึ่งคือยมราชดาบคลั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิถีดาบอันดับหนึ่งของภูมิมืดมิด!”
ทุกคำที่พูดล้วนเต็มไปด้วยความเคารพยกย่อง
ทว่าทันใด สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปแลดูสับสนขึ้นมา “แต่ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน หลังจากที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแห่งมหาแดนดินมาสู่ภูมิมืดมิดแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป… ทุกคนรู้เพียงแค่ว่าวิถีดาบของซูเสวียนจวินนั้นยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ จนสามารถกลบเกลื่อนประกายแสงของยมราชดาบคลั่ง”
พูดถึงตรงนี้ อวิ๋นหรงก็ถอนใจ “ช่วยไม่ได้ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแข็งแกร่งมาก เป็นใหญ่ในมหาแดนดิน เป็นบุคคลไร้เทียมทานที่ไร้ศัตรูทัดเทียม เมื่อเทียบกันแล้ว ยมราชดาบคลั่งก็ยังด้อยกว่า…”
จากนั้นชายชราก็เปลี่ยนเรื่องพูด “แต่ ข้ารู้มาอย่างว่า ยมราชดาบคลั่งเคยวิจารณ์ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไว้ประโยคหนึ่ง”
ยมบาลสาวถามด้วยความอยากรู้ “เขาวิจารณ์ว่าอย่างไร?”
อวิ๋นหรงแสดงสีหน้ายอมรับนับถือ “หากโลกนี้ไร้ซึ่งซูเสวียนจวิน วิถีดาบคงขาดประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ไป!”
คำพูดประโยคนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในใจของยมราชดาบคลั่ง ฝีมือวิถีดาบของปรมาจารย์ดาบซูเสวียนจวินมีความยิ่งใหญ่เกินกว่าใคร!
ประโยคนี้ประโยคเดียว ทำให้ยมบาลถึงกับตะลึงงัน
นางชำเลืองตามองดูหนุ่มน้อยที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าสงบดังเดิมเงียบ ๆ ดวงตาเย้ายวนคู่นั้นเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เท่านี้ก็แล้วกัน”
ซูอี้ลุกขึ้นเพื่อลากลับ
เขาลิ้มลองรสชาติความยิ่งใหญ่ในอดีตชาติมาจนเต็มที่แล้ว ไหนเลยจะสนใจกับคำวิจารณ์เหล่านี้อีก
บางทีในสายตาของคนอื่น เขาเมื่อในอดีตชาติมีความยิ่งใหญ่เกินใครในแดนเทวาแต่เพียงผู้เดียว
ทว่าในใจของเขา วิถีดาบในชาตินี้เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า วันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องล้ำหน้ากว่าตนเองเมื่ออดีตชาติ!
และนี่ก็คือจุดมุ่งหมายที่เขากลับชาติมาเกิด
อวิ๋นหรงรีบลุกเดินไปส่ง
เวลานี้เอง จู่ ๆ ยมบาลสาวก็หัวเราะขึ้นมา “สหายเต๋า วันนี้ข้าก็จะต้องไปทะเลทุกข์แล้ว หากว่ามีบุญ บางทีพวกเราอาจจะได้พบกันที่เมืองรัตติกาลนิรันดร์”
ซูอี้หยุดเดิน เขาขมวดคิ้ว ขณะมองดูใบหน้างดงามของยมบาลที่ผู้คนทั้งหลายต่างก็เฝ้าฝันถึง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไป
เห็นร่างสูงโปร่งของซูอี้เดินออกจากอาคารไปแล้ว ริมฝีปากแดงระเรื่อของยมบาลสาวก็เผยอยิ้ม พลางบ่นพึมพำในใจ ‘ซูเสวียนจวิน ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องพ่ายแพ้ในกำมือข้า!’
——
หลังจากออกจากวิทยาสถานแล้ว ซูอี้จึงหยิบแผ่นหยกที่อวิ๋นหรงมอบให้ออกมา เดินไปอ่านไป
ภายในแผ่นหยกเขียนรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์
แต่เมื่อลำดับเรื่องราวทุกอย่างจนละเอียดแล้ว ซูอี้พบว่าเนื้อหาในแผ่นหยกส่วนใหญ่แล้วเป็นคำเล่าลือที่ไม่อาจตรวจสอบแน่ชัดได้ว่าจริงหรือไม่
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีคุณค่า
ดังเช่น เรือยมโลกสีดำลึกลับลำนั้นปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อสิบเก้าปีก่อน บริเวณใกล้ ๆ กับ ‘เทือกเขาพายุกระหน่ำ’ ของทะเลทุกข์
สถานที่อันตรายร้ายแรงอย่าง ‘เทือกเขาพายุกระหน่ำ’ นี้อยู่ห่างจากซากโบราณ ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ เพียงแค่ประมาณหกร้อยลี้เท่านั้น
ในช่วงเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมา เรือยมโลกสีดำปรากฏตัวมาแล้วทั้งสิ้นสิบสามครั้ง แต่ละครั้งล้วนปรากฏตัวอยู่ในน่านทะเลที่แตกต่างกันไปของทะเลทุกข์
ในแผ่นหยกได้ระบุที่ตั้งของการปรากฏตัวทั้งสิบสามครั้งของเรือยมโลกด้วยเช่นกัน
ซูอี้วิเคราะห์ดูคร่าว ๆ ก็พบว่า ถึงแม้ร่องรอยของเรือยมโลกสีดำจะไม่แน่นอน แต่ก็ไม่เคยอยู่ห่างจาก ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ เกินกว่าสามพันลี้เลย!
ในจุดนี้ เป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานหนึ่งของซูอี้…
หากว่าการเปลี่ยนแปลงของทะเลทุกข์เกิดขึ้นจากการชักนำของเรือยมโลกสีดำลำนั้น ถ้าเช่นนั้นการมีอยู่ของพิภพยมราชฝังวิถีก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรือยมโลกสีดำล้ำนี้ด้วยเช่นกัน!
ขณะเดียวกัน ในแผ่นหยกยังมีบันทึกไว้ด้วยว่า ในระยะเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมา ผู้เป็นจักรพรรดิที่พบเรือยมโลกสีดำแล้วหายสาบสูญตัวไปอย่างลึกลับอย่างชุยหลงเซี่ยงมีด้วยกันทั้งสิ้นถึงสามสิบสองคนแล้ว!
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สรุปแน่ชัดแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าในระยะเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมานี้มีผู้ฝึกตนจำนวนเท่าใดที่หายตัวไปอย่างลึกลับเพราะเรือยมโลกสีดำ
ขณะที่กำลังพิจารณาเนื้อหาในแผ่นหยกที่ถือไว้ในมือ ซูอี้ก็เดินมาถึงถนนสายหลักที่มีแต่ความคึกคักของเมืองกลับคืน
ขณะที่เขาตั้งใจว่าจะหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพักผ่อน จู่ ๆ เสียงอึกทึกก็ดังขึ้นจากตรอกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“เร็ว รีบไปที่ลานวิถีมังกรเมฆากัน ว่ากันว่ากระเรียนโลหิตศิษย์เอกผู้สืบทอดแห่งเขามารรัตติกาลจะประลองยุทธ์กับคุณหนูแห่งตระกูลชุย!”
“ตระกูลชุยไหน?”
“ตระกูลชุยกรมพิพากษา!”
ซูอี้ตะลึง หรือว่าจะเป็นชุยจิ๋งเหยี่ยน?
เขาเคยได้ยินมาว่าขุมกำลังเขามารรัตติกาลแห่งนี้มาจาก ‘แดนมารราตรี’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามแดนหกเขต เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของแดนมารราตรี
ส่วนกระเรียนโลหิตศิษย์เอกผู้สืบทอดแห่งเขามารรัตติกาลอะไรคนนั้น ซูอี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ขอเรียนถามสักหน่อย ลานวิถีมังกรเมฆาอยู่ที่ใดกัน?”
ซูอี้ถามหนุ่มน้อยชุดสีขาวที่เดินผ่านมา
“เจ้าก็จะไปดูการประลองด้วยเช่นกันรึ?”
หนุ่มน้อยชุดสีขาวกล่าวพลางถอนใจ “ข้าเตือนว่าอย่าไปเลย สถานที่แห่งนั้นถูกผู้แข็งแกร่งของเขามารรัตติกาลปิดล้อมไว้หมดแล้ว คนทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้ได้”
ซูอี้กล่าว “เจ้าบอกสถานที่ให้ข้ารู้ก็พอแล้ว”
หนุ่มน้อยชุดขาวกล่าวด้วยท่าทางเป็นมิตร “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้ากำลังจะไปสืบข้อมูลที่ลานวิถีมังกรเมฆาอยู่พอดีเช่นกัน เจ้าไปพร้อมกับข้า”
ซูอี้พยักหน้า “ได้”
ทั้งสองออกเดินทางพร้อมกันในทันที
“ข้าชื่อว่ากัวฝาน ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ทำอาชีพขายข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วเจ้าเล่า?”
ระหว่างทาง หนุ่มน้อยชุดขาวยิ้มพลางกล่าว
ซูอี้เอ่ยออกมา “ข้าเป็นเพียงแค่คนผ่านทาง ไม่นานจะต้องจากไป”
หนุ่มน้อยชุดขาวที่เรียกตัวเองว่ากัวฝานร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง เขามองออกว่าซูอี้ไม่อยากจะพูดมาก จึงไม่ถามอีก
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งจอกน้ำชา
จู่ ๆ กัวฝานก็หยุด และหลบเข้าไปในซอกของตรอกแห่งหนึ่ง เขาเบนสายตามองไปไกล ๆ จากนั้นพูดเร็วจี๋
“เจ้าดูสิ ที่ตรงนั้นก็คือลานวิถีมังกรเมฆา แต่บริเวณโดยรอบถูกคนของเขามารรัตติกาลปิดล้อมไว้หมดแล้ว!”
ซูอี้มองตามสายตาของเขาไปก็เห็นว่าจุดที่ไกลออกไปคือสิ่งก่อสร้างโบราณหลังใหญ่ สร้างขึ้นตามรูปทรงแปดเหลี่ยม มันกินอาณาเขตพื้นที่กว้างมาก
คิดว่านั่นก็คงจะเป็นลานวิถีมังกรเมฆา
และที่ปากทางเข้าลานวิถีมังกรเมฆามีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งเฝ้าประจำการ มีทั้งหญิงและชาย ต่างก็สวมชุดสีทองเข้มในลักษณะที่เหมือนกัน
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้เฒ่าหลังค่อม ผู้ยืนอุ้มดาบพร้อมฝัก นั่งงีบสบายตัวอยู่บนเก้าอี้
นี่คือตัวตนแห่งขอบเขตจักรพรรดิ!
โดยไม่ต้องสงสัย ผู้ฝึกตนเหล่านี้ล้วนมาจากเขามารรัตติกาลทั้งสิ้น!
บริเวณรอบ ๆ ที่ตรงนี้มีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยมาดักรออยู่ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าต่างก็ได้ยินข่าวจึงมาดูกัน
แต่ไม่มีใครสักคนกล้าเข้าใกล้ พวกเขาต่างก็ยืนดูอยู่ไกล ๆ พลางกระซิบกระซาบระหว่างกัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลชุยจึงประลองกำลังกับคนของเขามารรัตติกาล?” ซูอี้ถาม
กัวฝานส่ายหน้า กล่าว “ข้าก็เพิ่งได้ข่าวถึงได้รีบมา ไม่รู้สาเหตุโดยละเอียด”
ซูอี้ขมวดคิ้วขึ้นมาน้อย ๆ
เวลานี้เอง ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งจากที่ห่างออกไปก็พุ่งตัวตรงมาทางนี้
ในจำนวนนั้น ชายหนุ่มในชุดสีหยกสะดุดตาของซูอี้
และในขณะเดียวกันนี้เอง เมื่อสังเกตเห็นผู้ฝึกตนกลุ่มนี้ปรากฏตัว กลุ่มคนที่อยู่ในตรอกก็เกิดความระส่ำระสายขึ้น มีเสียงซุบซิบดังขึ้น
“รีบดูสิ คนของตระกูลสิงมากันแล้ว”
“แหม การประลองในวันนี้ คงจะเกิดเป็นกระแสใหญ่แน่เลย!”