บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 943: ช่วยคนกันเองโดยไม่สนเหตุผล
ตอนที่ 943: ช่วยคนกันเองโดยไม่สนเหตุผล
สิงเยว่
ตอนทราบว่ากลุ่มผู้ฝึกตนนี้มาจากตระกูลสิงโบราณ ในที่สุดซูอี้ก็นึกชื่อของคนหนุ่มชุดเขียวออก
ตระกูลสิงโบราณเคยบัญชาการ ‘กรมอสุรา’ แห่งดินแดนปรภพเมื่อนานมาแล้ว ตระกูลนี้ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองครองนภาในเขตราชาหกวิถี
เมื่อครั้งซูอี้และชุยจิ๋งเหยี่ยนเดินทางไปยังเมืองครองนภา พวกเขาเคยได้พบคนหนุ่มนามสิงเยว่
เพียงแต่ เขาจำสิงเยว่ไม่ค่อยได้ ถึงได้นึกไม่ออกตั้งแต่ทีแรก
“ดูท่า คุณหนูตระกูลชุยผู้ประลองกับกระเรียนโลหิต ศิษย์เอกของเขามารรัตติกาล คงจะเป็นชุยจิ๋งเหยี่ยนนี่ล่ะ”
ซูอี้รำพัน
เขายังจำได้ว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนรู้จักสิงเยว่
ขณะเดียวกัน…
ผู้ฝึกตนจากตระกูลสิงโบราณกระโจนเข้ามาจากทิศไกล
ผู้เฒ่าร่างผอมที่นั่งหลับตาพักสายตาบนเก้าอี้ กอดดาบในฝักอยู่ตลอดก็ลืมตาเช่นกัน
เหล่าผู้ฝึกตนในเขามารรัตติกาลแตกตื่นไปด้วย และพากันทอดสายตามอง
“สหายตระกูลสิงโปรดหยุดอยู่แค่นี้เถิด”
เขาลุกขึ้นช้า ๆ สีหน้าราบเรียบ “แค่การดวลฝีมือระหว่างเด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายเช่นนี้”
“ในเมื่อเป็นการดวลฝีมือระหว่างเด็ก ๆ ไยพวกเจ้าต้องปิดกั้นพื้นที่แห่งนี้?”
สิงเยว่สีหน้าอึมครึม “หยุดพูดจ้อเสียที พวกเจ้าอย่าขวางทางดีกว่า!”
ผู้เฒ่าร่างผอมหัวเราะ “คนหนุ่มเอ๋ย พลังไม่เท่าไร แต่อารมณ์กลับรุนแรงเสียจริง หากมิใช่ว่าคำนึงถึงหน้าตาตระกูลสิงของพวกเจ้า ลำพังประโยคนี้ ข้าก็เอาชีวิตเจ้าได้!”
พูดจบ ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองหันมองผู้เฒ่าร่างผอม ผงกหัวน้อยๆ “ข้าสิงเทียนเฟิง คารวะสหายเต๋าเซวี่ยถิง”
น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความดูแคลน
“เจ้า…”
สิงเยว่ทำท่าจะพูดบางอย่าง ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตบบ่าเขา “คุณชาย อย่าเพิ่งอารมณ์ร้อนไป”
พูดจบ ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองหันมองผู้เฒ่าร่างผอม ผงกหัวน้อยๆ “ข้าสิงเทียนเฟิง คารวะสหายเต๋าเซวี่ยถิง”
เซวี่ยถิง!
ผู้อาวุโสลำดับที่สามแห่งหอส่วนในเขามารรัตติกาล จักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำวิถีมารขั้นกลาง!
เซวี่ยถิง ผู้เฒ่าร่างผอมสีหน้าผ่อนคลายลง “สหายเต๋า เรื่องในวันนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างกระเรียนโลหิต ศิษย์คนโตแห่งเขามารรัตติกาลกับชุยจิ๋งเหยี่ยน คุณหนูแห่งตระกูลชุยโบราณ ในเมื่อเป็นการประลองในลานวิถี ย่อมตัดสินแพ้ชนะด้วยความยุติธรรม”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ “หากตระกูลสิงของพวกเจ้าเข้าแทรกแซง น่ากลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่ เช่นนี้คงจบเรื่องได้ยาก เพราะอย่างนั้น ข้าขอเตือนให้ทุกท่านรอฟังข่าวคราวอยู่ที่นี่เป็นพอ”
สิงเทียนเฟิง ชายวัยกลางคนชุดเหลืองมีสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมา
เขาคิดไม่ถึงว่ากระทั่งตัวเองออกหน้ายังถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ
สิงเทียนเฟิงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกข้ามาที่นี่เพื่อจบเรื่องด้วยสันติ ไม่ได้ต้องการแทรกแซง สหายเต๋าโปรดปล่อยผ่าน ให้พวกเข้าไปชมการประลองที่ลานวิถีมังกรเมฆา หากเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมดังว่า พวกข้าย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง”
เซวี่ยถิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “สหายเต๋าไม่เชื่อใจเขามารรัตติกาลของเรารึ?”
ประโยคเดียว ส่งผลให้บรรยากาศอึมครึมลง
เวลานั้นเอง เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น
“สิงเยว่ ชุยจิ๋งเหยี่ยนอยู่ในนั้นใช่หรือไม่?”
เสียงนั้นยังสะท้อนอยู่ สายตาทุกคนเพ่งมองชายหนุ่มชุดเขียวที่เดินไปหาสิงเยว่ในท่ามือไพล่หลัง
“คนผู้นี้เป็นใคร?”
“ไม่รู้ แต่เห็นชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา”
“แน่นอนสิ หากเป็นคนธรรมดาไฉนเลยจะกล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในตรอกซอยรอบ ๆ
“นี่…”
กัวฝานที่เคยยืนอยู่ข้างกายซูอี้ตาโต หมอนี่รู้จักคุณชายตระกูลสิงโบราณด้วยหรือ?
ขณะเดียวกัน เซวี่ยถิงและสมาชิกแห่งเขามารรัตติกาล สิงเทียนเฟิงกับสมาชิกแห่งตระกูลสิง ต่างขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ตะลึงระคนสงสัย
คนผู้นี้คือใคร
“คุณชายซู ไยท่านถึงมาอยู่ที่นี่”
สิงเยว่แปลกใจเช่นกัน เพราะเขาจำซูอี้ได้
ภาพของซูอี้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาพอควร ไม่เพียงแต่มีเหตุจากชุยจิ๋งเหยี่ยน แต่เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองครองนภา ซูอี้เคยไม่เห็นคนตระกูลชวีในสายตาเลยสักนิด
ท่าทางเย่อหยิ่งปานนั้น กระทั่งสิงเยว่ในตอนนี้ยังตะลึงไม่หาย
“นี่หาใช่เวลาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ตอบคำถามข้ามาก่อน”
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย
ท่าทีของเขาเรียบนิ่ง ไม่เห็นผู้อื่นในที่นี้ในสายตา ส่งผลให้สิงเทียนเฟิง เซวี่ยถิง และขอบเขตจักรพรรดิรุ่นก่อนอึ้งไป
สิงเยว่รีบตอบ “ถูกต้อง แม่นางจิ๋งเหยี่ยนอยู่ที่ลานวิถีมังกรเมฆา”
พูดไป เขาก็มีสีหน้าโมโห “มีบางสิ่งที่คุณชายซูไม่ทราบ เจ้ากระเรียนโลหิต ศิษย์เอกแห่งยุคของเขามารรัตติกาลน่ารังเกียจยิ่ง…”
ซูอี้โบกมือ “ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้”
เขามีแก่จิตแก่ใจสนใจที่มาที่ไปของความขัดแย้งที่ไหน?
ต่อให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนเป็นฝ่ายผิด เขาในฐานะอาวุโสก็จำต้องช่วยนาง!
บางครั้ง เจรจาเหตุผลกับคนอื่นได้
บางครั้ง ช่วยคนกันเองโดยไม่ต้องสนเหตุผล
ขอบเขตของเรื่องราว อยู่ที่การควบคุม
ในเส้นทางฝึกฝน ซูอี้ไม่ใช่คนมีเหตุผล และเขาไม่เคยแยแสว่าต้องใช้เหตุผล
“สหายหนุ่มผู้นี้คิดเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือ?”
สีหน้าของเซวี่ยถิงอึมครึมลง เขาดูออกว่าชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะมาเพราะชุยจิ๋งเหยี่ยน
“เจ้าคิดห้ามรึ?”
ซูอี้ถามตรง ๆ
นัยน์ตาของเขาเรียบนิ่ง น้ำเสียงเรื่อยเปื่อย
ทว่ายิ่งเขามีท่าทีไม่สะทกสะท้าน ยิ่งทำให้เซวี่ยถิงข้องใจ
มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิด้วยหรือ?
แม้แต่คนอื่น ๆ ในที่นี้ก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกติ
“คุณชาย สหายเต๋าผู้นี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใดกัน”
สิงเทียนเฟิงอดส่งกระแสปราณถามไม่ได้
“ไม่รู้ แต่แม่นางจิ๋งเหยี่ยนมีสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับคุณชายซู คิดแล้วต้องมิใช่คนธรรมดาแน่”
สิงเยว่ส่งกระแสปราณตอบอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดสิงเทียนเฟิงถึงบางอ้อ
ผู้ที่เป็นสหายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลชุยได้ ย่อมมิใช่คนธรรมดา!
“ข้าขอเตือนให้พวกเจ้าหลีกไปเสียดีกว่า”
และเวลานั้น ซูอี้ก็ก้าวไปยังทางเข้าลานวิถีมังกรเมฆา
ภาพสุดแข็งกร้าวนี้ ส่งผลให้ผู้ฝึกตนแห่งเขามารรัตติกาลมีสีหน้าแย่ลงตาม ๆ กัน
ทว่าเซวี่ยถิงกลับส่งเสียงขึ้นมา “เอาเถิด ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป”
พูดจบ สายตาของเขาก็ปรายมองซูอี้ด้วยความเย็นเยียบ “สหายหนุ่ม เจ้าระวังตัวให้ดีเถิด ต่อให้มีฐานะยิ่งใหญ่ปานใด ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดูสถานการณ์ น่ากลัวว่าต้องมีภัยถึงตัวอยู่ดี”
นี่เป็นการปรามและเตือนซูอี้!
“ข้าขอทิ้งคำพูดไว้แค่นี้ ขืนวันนี้ชุยจิ๋งเหยี่ยนเป็นอันใดไป พวกเจ้าต้องตายทั้งหมด”
ซูอี้เอ่ยเสียงเรียบ
ประโยคเบาแผ่วส่งผลให้พวกสิงเทียนเฟิงตะลึงไม่หยุด พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ชายหนุ่มคนเดียวกลับอาจหาญข่มขู่ผู้แข็งแกร่งแห่งมารรัตติกาลซึ่ง ๆ หน้า
สีหน้าของพวกเซวี่ยถิงในยามนี้ล้วนแสดงออกถึงความมุ่งร้าย
“เหอะ ๆ เช่นนี้ขอตั้งตารอ”
เซวี่ยถิงยิ้มเพียงเปลือกนอก
ซูอี้ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก เขาตรงเข้าไปในลานวิถีมังกรเมฆา
สิงเยว่กับสิงเทียนเฟิงตามกันเข้าไป
“ผู้อาวุโสลำดับที่สาม ปล่อยพวกเขาเข้าไปง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ?”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งซึ่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นเอ่ยอย่างอดไม่ได้
คนอื่น ๆ พากันมองไปที่เซวี่ยถิงเช่นกัน
“วางใจเถิด ด้วยพลังของพวกเขาพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินไม่ได้หรอก”
เซวี่ยถิงนั่งลงอีกครั้ง และเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ยิ่งกว่านั้น การประลองคราวนี้มีผู้อาวุโสลำดับที่สอง และเถ้าแก่ลานวิถีมังกรเมฆา ท่านเวิง ‘เวิงเสวียนซาน’ อยู่ ตามกฎ หากยังไม่ตัดสินแพ้ชนะไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าแทรกแซง”
“หากตระกูลสิงโบราณบังอาจฝ่าฝืนกฎ ท่านเวิงไม่ยอมเป็นคนแรก!”
พูดมาถึงท้ายสุด วาจาเปี่ยมด้วยความสบายอารมณ์
เวิงเสวียนซาน!
เถ้าแก่ลานวิถีมังกรเมฆา ผู้เฒ่าทรงอำนาจที่สุดใต้ปีกของเจ้าเมืองตังกุย และเป็นการดำรงอยู่ขอบเขตจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงมานาน!
มีคนใหญ่คนโตระดับนี้อยู่ ตราบใดที่การประลองวันนี้เป็นไปตามกฎ ก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนผลของมันได้!
เหล่าผู้ฝึกตนแห่งเขามารรัตติกาลได้ยินดังนั้นมีสีหน้าดีขึ้นมาก
…..
ภายในลานวิถีมังกรเมฆา
ลานวิถีที่มีความกว้างนับพันจั้ง กำลังมีการต่อสู้อย่างดุเดือด
ผู้หนึ่งคือหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ธิดาของชุยฉางอัน ชุยจิ๋งเหยี่ยน
รอบตัวนางมีปราณมหาวิถีพิฆาตคมกล้ารายล้อม มือนวลใช้มีดสั้นสีขาวเรืองรองดั่งหิมะ ดวลกับชายหนุ่มในชุดดำ
ชายหนุ่มผู้นี้มีผมยาวสีแดงฉานแยงตา ดวงหน้าขาวผ่องหล่อเหลา รูปร่างองอาจ หน้าตาฉายแววความมุ่งร้ายแบบนุ่มนวล
แสงอาทิตย์เจิดจ้าดุดันอยู่รอบตัวเขา ประหนึ่งแม่น้ำไหลหลาก เขาหาได้ใช้สมบัติใด เพียงมือคู่เดียวก็ปราบการโจมตีของชุยจิ๋งเหยี่ยนได้
มิหนำซ้ำ หลังจากเขาลงมือ เงามหาวิถีดำทมิฬดั่งน้ำหมึกกลายเป็นโซ่ตรวน ปกคลุมอากาศรอบ ๆ ตัวชุยจิ๋งเหยี่ยน
ประหนึ่งคุกดำ
ต่อให้โซ่ตรวนดั่งคลื่นนั้นโดนชุยจิ๋งเหยี่ยนสะบั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หลังจากนั้นก็จะมีคลื่นโซ่ตรวนถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
พวกมันซัดโถมทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ พุ่งเข้ามา
เมื่อเวลาล่วงเลย ร่างของชุยจิ๋งเหยี่ยนเริ่มถูกพันธนาการ โซ่ตรวนมหาวิถีรอบ ๆ เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ประหนึ่งดักแด้สีดำยักษ์ใหญ่ที่ต้องการห่อหุ้มนางทั้งตัว
“แม่นางชุย ภายใต้ ‘ตรวนมารพันธนาการวิญญาณ’ ของข้า ต่อให้เจ้าฝืนต้านเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ และกลายเป็นหนอนที่ติดไหมของตัวเอง มีแต่จะถูกพันธนาการเรื่อย ๆ จวบจนสูญสิ้นพลังรบทั้งหมด”
ชายชุดดำยิ้มขณะเอ่ย เสียงอ่อนนุ่มมุ่งร้ายนั้นฉายแววสะใจ
เขามีนามว่ากระเรียนโลหิต ศิษย์เอกของเขามารรัตติกาล ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์ ถูกมองเป็นอันดับหนึ่งวิถีวิญญาณแห่ง ‘แดนมารราตรี’ หนึ่งในผู้แข็งแกร่งขอบเขตวงล้อวิญญาณชั้นนำของใต้หล้าภูมิมืดมิด!
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเม้มปาก ไม่เอ่ยวาจาสักคำ
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนบัดนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น กระบวนท่าโจมตีทั้งหมดของนางก็โดนกระเรียนโลหิตทลายปราบปรามจนสิ้น
โดยเฉพาะเมื่อเข้าห้ำหั่นกับคลื่น ‘ตรวนมารพันธนาการวิญญาณ’ เป็นชั้น ๆ ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหมือนติดอยู่ในโคลนดูด
ยิ่งดิ้น ยิ่งจมลึก!
นางทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีแล้ว กระนั้นยังไม่อาจพลิกสถานการณ์คับขันนี้ได้ กลับโดนคลื่นตรวนมารพันธนาการวิญญาณชั้นแล้วชั้นเล่าไล่ต้อนเข้ามา จนพลังที่กดดันนางทวีคูณเรื่อย ๆ
ทว่านางหาได้ยอมแพ้แค่นี้ หน้าตาฉายแววอำมหิตดื้อรั้น
เพราะศึกนี้ นางยอมตายดีกว่ายอมแพ้!
นอกลานวิถี บนหอสูงหินหยก มีร่างสองร่างนั่งอยู่
“คุณหนูใหญ่ตระกูลชุยใกล้แพ้แล้ว”
ชายชราผมขาวโพลนในชุดงูเอ่ยเสียงเบา
เวิงเสวียนซาน!
เจ้าของลานวิถีมังกรเมฆา และเป็นคนสนิทของเจ้าเมืองตังกุย
“เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แต่แรก”
ชายวัยกลางคนในชุดสีทองหม่นที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวเราะเบา ๆ “ไม่แปลก”
เขามีนามว่าเว่ยจิ้งขุย ผู้อาวุโสลำดับที่สองฝ่ายในแห่งเขามารรัตติกาล
จักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง
สายตาเวิงเสวียนซานทอดมองการต่อสู้ในลานวิถีจากระยะไกล เขาลูบเคราพร้อมเอ่ยด้วยทีท่าครุ่นคิด “สหายเต๋าทำเช่นนี้ มิกลัวเป็นการทำให้ตระกูลชุยโมโห แล้ววุ่นวายไปใหญ่หรือ”
เว่ยจิ้งขุยหรี่ตาลง ก่อนจะหัวเราะ “คนใต้หล้าล้วนรู้ดี ชุยหลงเซี่ยงไม่อยู่แล้ว”
ประโยคเดียว ความหมายลึกล้ำ!!