บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 944: นี่คือกฎของข้า
ตอนที่ 944: นี่คือกฎของข้า
ชุยหลงเซี่ยงตายแล้ว…
เวิงเสวียนซานเงียบไปพักหนึ่ง
เขารู้ว่าหลังจากยมราชพิพากษาหายไปอย่างเร้นลับขณะค้นหาเรือยมโลกสีดำลำหนึ่งในส่วนลึกของทะเลทุกข์ สถานการณ์ของตระกูลชุยโบราณก็เริ่มสั่นคลอน
แม้จะไม่ถึงขั้นใกล้จบสิ้น ทว่าหมดแล้วความเกรียงไกรที่สยบทุกทิศได้
อย่างเช่นเทศกาลหมื่นโคมไฟเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ตระกูลชุยโบราณประสบเคราะห์ร้ายใหญ่หลวง
แม้ว่าท้ายที่สุดภยันตรายจะคลี่คลายลงได้ แต่ทุกคนต่างรู้ดี ตระกูลชุยที่ปราศจากชุยหลงเซี่ยงคอยพิทักษ์ ยากจะรักษาความยิ่งใหญ่ของกลุ่มขุมกำลังชั้นนำไว้ได้
วาจาของเว่ยจิ้งขุย ผู้อาวุโสลำดับที่สองแห่งเขามารรัตติกาลพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้แล้ว
“แม่นางชุยผู้นั้นเป็นธิดาของชุยฉางอัน หากเขามารรัตติกาลของพวกเจ้าทำรุนแรงเกินไป ท้ายสุดต้องนำภัยมาสู่ตัวแน่นอน”
ยามนี้ รอยกายของนางถูกพลังปกคลุมอย่างแน่นหนา ใกล้จะต้านทานไม่อยู่
ขืนถูกจับได้จริง ๆ เวลานั้นนางต้องพ่ายแพ้สิ้นซากจนไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีก!
“แม่นางชุย ขอแค่เจ้ายอมแพ้ ข้าจะรามือเดี๋ยวนี้ ให้เจ้าแพ้โดยไม่เสียหน้า”
กระเรียนโลหิตหัวเราะ
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น เขาก็ไม่เชื่องช้าลงแม้แต่น้อย จู่โจมดุดันดั่งสายฝนกระหน่ำ พลังตรวจมหาวิถีสีดำโถมทับออกมาเต็มนภา ประหนึ่งเกลียวคลื่นทะเลดุดันซัดสาด
เขาตั้งใจบดขยี้ชุยจิ๋งเหยี่ยนในคราเดียว!
“ต่อให้ข้าตาย ก็ไม่ยอมก้มหัวให้!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกัดฟัน นัยน์ตาใสสกาวเปี่ยมด้วยความแน่วแน่เด็ดขาด
นางรู้สึกเหมือนโดนไฟเผาทั้งตัว ประกายเจิดจ้าแยงตาทะลักออกมา ต่อให้บาดเจ็บไปทั้งตัวแล้ว ทว่าพละกำลังในตอนนี้กลับทวีคูณขึ้นอีกเท่าตัว
กระเรียนโลหิตตากระตุก แม่นี่ตั้งใจเอาชีวิตเข้าแลกเลยหรือไร
บนที่นั่งไกล ๆ เว่ยจิ้งขุยตะโกน “รีบจับกุมนางไว้ ข้าไม่อยากให้แม่นางตายอยู่ที่นี่!”
“ได้!”
ประกายเย็นเยียบแวววาบในนัยน์ตากระเรียนโลหิต เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “แม่นางชุย รู้หรือไม่เหตุใดข้าถึงไม่ลงมือรุกฆาตเสียที เพื่อป้องกันมิให้เจ้าทำอะไรที่ไม่คิดชีวิตอย่างไรเล่า!”
เสียงนั้นยังดังก้อง เขาประสานอิน มือขวายกขึ้นฉับพลัน
ตู้ม!
ตรวนมารพันธนาการวิญญาณส่งเสียงกู่ร้องขึ้นมาในบัดดล มันถาโถมออกมาในอากาศ กลายเป็นคุกสีดำบดบังฟ้าดิน ถล่มไปหาชุยจิ๋งเหยี่ยนอย่างหนัก
พลังปราณทั้งตัวของชุยจิ๋งเหยี่ยนผู้ตั้งใจเอาชีวิตเข้าแลกถูกจำกัดอย่างน่ากลัว กระทั่งวิชาลับที่นางกำลังใช้ยังได้รับผลกระทบไปด้วย
ดวงหน้าสวยของนางเปลี่ยนไป ความโศกเศร้าสิ้นหวังพลันก่อตัวขึ้นในใจ
นี่นาง… กระทั่งจะเอาชีวิตเข้าแลกยังไม่ได้หรือ?
ในตอนนั้นเอง…
เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทลาย!”
คำเดียวสั้น ๆ กลับดังก้องอยู่ในลานวิถีมังกรเมฆากว้างใหญ่แห่งนี้ประดุจอสนีบาต
เว่ยจิ้งขุนและเวิงเสวียนซานขมวดคิ้ว หันไปมองพร้อมกัน
และได้เห็นปราณดาบเจิดจ้าแยงตาปรากฏกลางลานวิถี ราวกับแสงที่ไม่อาจทำลาย
คุกมารขังวิญญาณที่กระเรียนโลหิตรีดเร้นพลังทั้งหมดออกมา เวลานี้ระเบิดแหลกลาญใต้ปราณดาบราวกับเศษกระดาษ กลายเป็นฝนแสงโปรยปรายลงมา
กระเรียนโลหิตส่งเสียงทุ้มต่ำ ร่างโอนเอน
เคล็ดวิชาลับถูกทลาย ส่งผลให้ตัวเขาถูกแรงกระแทกไปด้วย สีหน้าจึงอึมครึมย่ำแย่ลง
ชุยจิ๋งเหยี่ยนที่สิ้นหวังไปแล้วผงะ นัยน์ตาสุกสกาวเต็มไปด้วยความฉงน
และในตอนนั้นเอง ร่างองอาจร่างหนึ่งปรากฏข้างกายนาง เอ่ยเสียงเบา “เรื่องหลังจากนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ปราศจากคำปลอบโยน
ปราศจากคำถามถึงสาเหตุของการประลอง
ทว่าเพียงประโยคเรียบ ๆ เช่นนี้ กลับทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนสะท้านไปทั้งจิตใจ
หญิงสาวเชิดสายตาขึ้นมองใบหน้างดงามอันคุ้นเคยด้านข้าง ความอบอุ่นแทรกผ่านเข้ามากลางใน ขอบตาเริ่มแดงขึ้นมา
เมื่อคนเราตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน สิ่งที่ต้องการหาใช่คำปลอบโยน แต่ต้องการใครสักคนมาฉุดดึงตัวเองขึ้นมา!
เช่นเดียวกัน เมื่อโดนรังแกจนไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ผู้ใดจะมีแก่จิตแก่ใจอธิบายต้นสายปลายเหตุบ้าง?
เพราะอย่างนั้น เมื่อได้เห็นซูอี้ และได้ยินประโยคนั้นของเขา สำหรับชุยจิ๋งเหยี่ยน มันไม่ต่างจากคนที่ตกอยู่ในห้วงความมืดได้พบแสงสว่างที่ส่องทาบทับกายใจของตน!
“พี่ซู…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนทำท่าจะพูดบางอย่างทว่าหยุดชะงักไป ราวกับมีวาจามากมายเหลือเกินที่ต้องการบอก ทว่าเมื่อคำพูดเอ่อล้นขึ้นมาอยู่ที่ปากกลับไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร
“ไปยืนดูอยู่ด้านข้างเถิด นี่คือโอสถรักษาแผล”
ซูอี้หยิบโอสถออกมาขวดหนึ่ง และยื่นให้หญิงสาว “รอข้าได้เอาคืนแทนเจ้าก่อน แล้วจะพาเจ้าไปจากที่นี่ด้วยกัน”
“อืม!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรับขวดหยก กำไว้ในมือแน่น จากนั้นหมุนตัวเดินไปทางลานวิถี ความโศกเศร้าสิ้นหวังในใจอันตรธานแล้วในตอนนี้
ราวกับขอแค่มีซูอี้อยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มนางก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ
เป็นความเชื่อใจพึ่งพาที่อธิบายไม่ถูก
“แม่นางจิ๋งเหยี่ยน มาตรงนี้เร็ว”
นอกลานวิถี สิงเยว่ที่เข้ามาพร้อมซูอี้รีบกวักมือ
ข้างกายสิงเยว่มีพวกสิงเทียนเฟิงยืนอยู่ เมื่อเห็นสภาพเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดชุ่มกระโปรงของชุยจิ๋งเหยี่ยน พวกเขาต่างขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้เห็นการปรากฏตัวของซูอี้และพวกสิงเยว่ เว่ยจิ้งขุยกับเวิงเสวียนซานที่นั่งอยู่บนแท่นผู้ชมไกล ๆ ก็เผยสีหน้าไม่สบอารมณ์
โดยเฉพาะการได้เห็นชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่เพียงแต่แหกกฎการประลอง ซ้ำยังบุกเข้ามาถึงลานวิถีโดยพลการ แล้วยังประกาศกร้าวว่าจะเอาคืนแทนชุยจิ๋งเหยี่ยนอีก เรื่องนี้ทำให้เว่ยจิ้งขุยโกรธจัดจนหัวเราะออกมา
คนหนุ่มสมัยนี้โอหังเกินไปแล้ว!
“หยุด!”
บนลานวิถี กระเรียนโลหิตเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม “แม่นางชุย ตามกฎการประลอง ก่อนตัดสินแพ้ชนะ เจ้าห้ามไปจากสนามเด็ดขาด!”
“ถูกต้อง ตระกูลมีกฎของตระกูล สำนักมีกฎของสำนัก การประลองบนลานวิถีมังกรเมฆาหากยังไม่ตัดสินแพ้ชนะ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามออกจากสนาม มิฉะนั้นต้องได้รับโทษ!”
เว่ยจิ้งขุยเอ่ยเสียงเย็น วาจาเปี่ยมด้วยบารมี
จากนั้นเขาก็หันมองเวิงเสวียนซานที่อยู่ด้านข้าง “สหายเต๋า มีคนเหยียบย่ำกฎของลานวิถี แทรกแซงการประลองคราวนี้ตามอำเภอใจ ควรลงโทษอย่างไร”
วาจานี้พุ่งเป้าไปที่ซูอี้
เวิงเสวียนซานไตร่ตรองก่อนเอ่ย “จากกฎที่ผ่านมาของลานวิถีมังกรเมฆา ผู้ทำลายการประลองโดยพลการ สถานเบาต้องสำเร็จโทษด้วยแส้ สถานหนักต้องสำเร็จโทษโดยทำลายพลังวิถีและปลิดชีพ”
สีหน้าสิงเทียนเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านเวิง คุณชายซูผู้นี้ยังไม่ทราบกฎ ว่ากันว่าผู้ไม่รู้ไม่ผิด ช่วยคำนึงถึงหน้าตาตระกูลสิงของเราแล้วเมตตาเขาได้หรือไม่”
เขารู้ดีกว่าหากว่ากันตามกฎ ต่อให้คนใหญ่คนโตจากตระกูลชุยมาอยู่ที่นี่ น่ากลัวว่าก็ไม่อาจแทรกแซงการประลองนี้
ถึงอย่างไรในเมื่อเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่งอย่างยุติธรรม ไฉนเลยจะมีผู้ใดเข้ามาทำลายได้
ที่เขามารรัตติกาลเลือกลานวิถีมังกรเมฆา ต้องเตรียมตัวมาอย่างรัดกุมแล้วแน่นอน และรู้ดีว่าต่อให้ผู้ใดมา ตราบใดที่ทำลายกฎของลานวิถี ก็เท่ากับท้าทายเวิงเสวียนซาน และเจ้าเมืองตังกุยซึ่งอยู่เบื้องหลังเวิงเสวียนซาน!
เว่ยจิ้งขุยหัวเราะเย็น ๆ เอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ผู้ไม่รู้ไม่ผิดบ้าบออะไรกัน คนผู้นี้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว ไม่รู้หรือว่ากฎหมายถึงสิ่งใด?”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นจากแท่นผู้ชม และเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “อย่าว่าแต่เป็นตระกูลสิงของพวกเจ้า ต่อให้จ้าวสวรรค์จุติ พวกเราเขามารรัตติกาลก็ไม่ปล่อยคนจำพวกเหยียบย่ำกฎตามใจชอบเช่นนี้ไว้แน่!”
วาจาแข็งขัน จิตสังหารแผ่ขยาย
สีหน้าสิงเทียนเฟิงย่ำแย่ยิ่งขึ้น
เหล่าผู้แข็งแกร่งตระกูลสิงต่างมีโทสะขึ้นมา
“ท่านเวิง ท่านก็เห็นตามเช่นนี้หรือ”
สิงเทียนเฟิงเอ่ยเสียงเข้ม
เวิงเสวียนซานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “กฎก็คือกฎ หากปล่อยให้ผู้อื่นเหยียบย่ำตามอำเภอใจ ข้าเวิงเสวียนซานจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านเจ้าเมืองจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผู้ฝึกตนใต้หล้าจะมองพวกข้าเช่นไร”
วาจานี้ ทำให้พวกสิงเทียนเฟิงและสิงเยว่ใจลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
บนลานวิถี กระเรียนโลหิตหัวเราะเสียงเย็น เขามองซูอี้ด้วยสายตาเย็นยะเยือก “บันดาลโทสะเพื่อโฉมงาม? แต่ดูแล้ว เจ้าคงต้องเป็นฝ่ายจบชีวิตลงก่อน!”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ซูอี้เห็นทุกสิ่ง “พูดจบหมดแล้วหรือ?”
ทุกคนผงะ พวกเขาชักไม่เข้าใจซูอี้มีความหมายอย่างไร
“ทำไมรึ นี่เจ้ายังคิดดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่หรือไร”
กระเรียนโลหิตเอ่ยเย็นเยียบ “ขอเตือนเจ้าสักคำ ต่อให้เจ้ามีอำนาจยิ่งใหญ่หนุนหลัง หากฝ่าฝืนกฎของลานวิถีมังกรเมฆาก็ต้องได้รับโทษ แน่นอนว่าถ้าเจ้าคุกเข่าสำนึกผิดตอนนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจช่วยอธิบายขอความเมตตาให้เจ้า…”
ไม่ทันพูดจบ ซูอี้ก็คว้ามือออกไป
พริบตาเดียว กระเรียนโลหิตก็ถูกดูดกลางอากาศไปอยู่ตรงหน้าซูอี้ประหนึ่งลูกไก่ ก่อนจะกระแทกลงพื้นอย่างหนัก
ตึง!!
พื้นแข็งของลานวิถีส่งเสียงดัง
กระดูกแขนสองข้างของกระเรียนโลหิตระเบิดจนแตก เลือดเนื้อเละรวมกันเป็นก้อน ปากส่งเสียงโหยหวนดั่งหมูที่ถูกเชือด
บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบลง
พวกสิงเทียนเฟิงตากระตุกพร้อมกัน พวกเขาสูดหายใจเข้าลึก
ใครเล่าจะคิด ในช่วงเวลาเช่นนี้ซูอี้ยังแข็งกร้าวปานนี้ ซ้ำพลังของเขายังสยดสยองถึงเพียงนี้ เพียงพลิกมือก็ถล่มกระเรียนโลหิตจนคุกเข่ากับพื้น!
เว่ยจิ้งขุยก็ชะงักไป เขาไม่อยากเชื่อ กระเรียนโลหิตเป็นศิษย์เอกของพวกเขา ผู้เป็นอันดับหนึ่งในวิถีวิญญาณแห่งแดนมารราตรีจะคุกเข่าลงต่อหน้าชายหนุ่มผู้มีการฝึกเพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่ต่างกับสุนัขตัวหนึ่ง!
เว่ยจิ้งขุยหน้าเขียว เขาคำรามลั่นเสียงกราดเกรี้ยว “ไอ้ระยำ เจ้ายังบังอาจทำร้ายผู้อื่นอีกหรือ”
เสียงนั้นประหนึ่งสายฟ้าฟาดกระหึ่มออกไปทั่วสารทิศ
รัศมีสยดสยองนั้นส่งผลให้ทุกคนในที่นี้สีหน้าเปลี่ยนไปหมด
ซูอี้กลับไม่รับรู้สิ่งใด เขาก้มมองกระเรียนโลหิตที่คุกเข่าโหยหวนอยู่ และเอ่ยด้วยท่าทีราบเรียบ “ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ตั้งกฎ ผู้อ่อนแอเป็นฝ่ายทำตามกฎ ในสายตาของข้า เจ้าสมควรตาย นี่คือกฎของข้า”
เสียงนั้นยังคงดังก้อง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา
ตู้ม!
ร่างของกระเรียนโลหิตระเบิด
เศษเลือดเนื้อและจิตวิญญาณกลายเป็นจุณลอยละล่อง
ถูกทำลายราบทั้งร่างและวิญญาณ!