บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 948: ศิลาเวียนไตรภพ
ตอนที่ 948: ศิลาเวียนไตรภพ
ในฐานะเจ้าเมืองตังกุยผู้ลือนามทั่วหล้า การวางตัวของอินซิ่วหลิ่นกลับต่ำอย่างยิ่งแต่ต้นจนจบ
ทว่าซูอี้ก็ยังปฏิเสธ
“ไว้เรามาคุยกันทีหลัง”
จากนั้นเขาก็ก้าวเดินจากไป
แม้พวกเขาจะไม่รู้จักกันดีนัก ต่อให้จัดงานเลี้ยงฉลองก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี
“พี่ซูรอเดี๋ยวก่อน เราทิ้งสินสงครามไปมิได้นะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวพลางรีบเก็บสินสงครามจากสนามต่อสู้ จากนั้นจึงจากไปกับซูอี้
อินซิ่วหลิ่นมิได้พยายามรั้งนางไว้ จนกระทั่งเมื่อซูอี้กับชุยจิ๋งเหยี่ยนหายลับไป ตัวตนทรงพลังในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำผู้นี้จึงดูผ่อนคลายลงมากอย่างเห็นได้ชัด
ราวกับว่าเมื่อครู่ เขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันบางอย่างอยู่
“เจ้ามัวแต่นั่งทำอันใดอยู่ ลุกสิ”
อินซิ่วหลิ่นหันไปกล่าวกับสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกซึ่งนั่งอยู่กับพื้น
“เจ้าค่ะ”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกจึงกล้าลุกขึ้น
“ขอบังอาจถามใต้เท้า คุณชายเมื่อครู่คือผู้ใดหรือ?”
บางคนอดถามเบา ๆ มิได้
อินซิ่วหลิ่นกล่าวด้วยแววตาซับซ้อน “เจ้าจำไว้ก็พอว่าคุณชายผู้นั้นคือผู้ช่วยชีวิตข้า”
จากนั้นทุกคนก็เงียบไปชั่วขณะ
“เฒ่าเวิง รู้สึกไม่พอใจหรือไม่?”
อินซิ่วหลิ่นหันไปมองเวิงเสวียนซาน
ดีใจ?
เวิงเสวียนซานตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะตระหนักบางเรื่องได้ทันที หัวใจอดรู้สึกหนาวเยือกมิได้ และหลังของเขาก็ชุ่มด้วยเหงื่อกาฬ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าเมืองกำลังบอกว่าเขาโชคดีที่รอดชีวิตเมื่อเผชิญหน้าชายหนุ่มชุดเขียววันนี้!
“สหายเต๋าสิง อยากไปเยือนจวนของข้าหรือไม่?”
อินซิ่วหลิ่นหันไปยิ้มให้พวกสิงเทียนเฟิง
สิงเทียนเฟิงตะลึงไป ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “หากท่านเชื้อเชิญเช่นนั้นก็ย่อมได้!”
เขาจะไม่รู้แก่ใจได้อย่างไร ว่าเหตุที่อินซิ่วหลิ่นเชิญพวกเขาไปเป็นแขกก็ต้องเป็นเพราะซูอี้แน่แท้?
ทว่า สิงเทียนเฟิงก็ย่อมยินดีที่ได้รับโอกาสสร้างสัมพันธไมตรีกับเจ้าเมืองตังกุยผู้ทรงพลังเช่นนี้
เขาอยากฉวยโอกาสนี้เรียนรู้เกี่ยวกับซูอี้จากตระกูลสิงโบราณจริง ๆ
อินซิ่วหลิ่นออกคำสั่งทันที “เฒ่าเวิง สิ่งที่เกิดในวันนี้ เจ้าสามารถส่งข่าวให้กับเขามารรัตติกาลได้ตามตรง และบอกจุดยืนของข้าแก่พวกเขาด้วย”
เวิงเสวียนซานกล่าวอย่างจริงจัง “ขอใต้เท้าชี้แนะด้วย”
อินซิ่วหลิ่นครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “เว่ยจิ้งขุยและพวกเป็นผู้ผิดในเรื่องนี้ พวกเขานำมาซึ่งความตายของตนเอง หากเขามารรัตติกาลคิดต่อความยาวสาวความยืด มันจะรังแต่สร้างหายนะแก่พวกเขาเอง”
ทุกคนต่างใจสั่น
ใครเล่าจะตีความไม่ออก ว่าในสายตาของอินซิ่วหลิ่นแล้ว หากกลายเป็นศัตรูกับซูอี้ แม้แต่ขุมกำลังสูงสุดอย่างพวกกระเรียนโลหิตยังประสบมหาหายนะ?
…
เมืองตังกุย
ในห้องส่วนตัวบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม
บนโต๊ะอาหารมีสารพัดอาหารเลิศรสจากทั่วสารทิศวางเรียงราย
ซูอี้หยิบไหออกริน ‘สุราพุทราเย็น’ ให้ตนเองหนึ่งจอก
นี่คือผลิตภัณฑ์พิเศษของเมืองตังกุย สีของมันแดงก่ำดุจอำพันแดง หอมหวานกำจร กล่าวกันว่าหมักจากผลพุทราเย็นที่เกาะแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ รสชาติพิเศษเป็นเอกลักษณ์
“อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองชุยจิ๋งเหยี่ยนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม
ใบหน้างามของหญิงสาวซีดเล็กน้อย บนผิวหนังมีบาดแผลมากมาย “ก็แค่บาดเจ็บที่ผิว ไม่ลึกหรอก”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวยิ้ม ๆ
นางแสนกลและปราดเปรียว ร่าเริงงดงาม ทั้งยังเกิดมาเลอโฉมยิ่ง ยามแย้มยิ้ม นางดูราวกับบุปผาตูมเบ่งบานหลังสายฝน สดชื่นเป็นเอกลักษณ์
ซูอี้ดื่มสุราหนึ่งจอก และกล่าวว่า “ไฉนเจ้าจึงมายังเมืองตังกุยนี้ และมามีปากเสียงกับพวกกระเรียนโลหิตเล่า?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอธิบายเรื่องทั้งหมดทันที
ที่แท้นางก็ถูกบิดาของนาง ชุยฉางอันสั่งให้มายังเมืองตังกุยเพื่อสอบถามเรื่องเกี่ยวกับชุยหลงเซี่ยง
ส่วนการที่นางมาวิวาทกับศิษย์เอกของเขามารรัตติกาลอย่างกระเรียนโลหิตนั้น เหตุผลค่อนข้างเรียบง่าย
เมื่อเช้า ชุยจิ๋งเหยี่ยนได้พบหยกไม่ทราบที่มาชิ้นหนึ่งในงานประมูลของ ‘หอหยกมงคล’ ในเมืองตังกุย
ไม่คาดเลยว่ากระเรียนโลหิตเองก็ชอบหยกชิ้นนั้น ทั้งสองจึงประมูลแข่งกัน และสุดท้ายชุยจิ๋งเหยี่ยนก็เสนอราคามหาศาลจนได้หยกชิ้นนั้นมา
และหลังจากออกจากหอหยกมงคล กระเรียนโลหิตก็ไล่ตามนาง ยืนกรานจะนำหยกชิ้นนั้นไปจากชุยจิ๋งเหยี่ยนให้จงได้ และยั่วยุก่อกวนนางบ่อยครั้ง
กล่าวถึงจุดนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็พูดอย่างฉุนเฉียว “คนผู้นั้นยังล้อเลียนความเป็นความตายบรรพชนข้า บอกว่าหากตระกูลข้าไร้บรรพชน ตระกูลชุยของข้าจะจบสิ้น…”
ซูอี้อดเลิกคิ้วถามไม่ได้ “จากนั้น เจ้าเลยรับปากประลองตัดสินกันหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนส่ายหน้า “ข้าจะโง่เพียงนั้นได้เช่นไร ข้ารู้ว่าเขาจงใจก่อกวนข้าให้โมโห เหตุที่ข้าประลองกับเขาเป็นเพราะคนผู้นั้นนำหยกอีกชิ้นออกมา ซึ่งเหมือนกับหยกชิ้นที่ข้าประมูลมาทุกประการเลย”
ซูอี้ตกใจ ก่อนจะกล่าวว่า “หยกที่เหมือนกันทุกประการหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนแบมือออก และหยกขนาดสามชุ่นก็ปรากฏขึ้น
ตัวหยกเป็นสีทองเข้ม มีลวดลายสีเลือดบนพื้นผิว นอกจากนั้นก็ไร้สิ่งใดพิเศษ
ทว่าดวงตาของซูอี้หรี่ลงเงียบ ๆ หัวใจของเขาสะท้านเล็กน้อย
“ในอดีต ข้าเคยเห็นหยกแบบนี้ในหนังสือภาพโบราณที่หอสะสมตำราของตระกูลข้า จากหนังสือโบราณเล่มนั้น กล่าวกันว่านี่คือหยกศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์อย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากห้วงลึกทะเลทุกข์ บรรจุอำนาจวิเศษอันน่าทึ่งมิอาจประเมินมูลค่าได้ หากได้รับมาจะไม่ต่างจากมหาลาภ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าว “นั่นคือเหตุที่ข้ายอมทุ่มเงินมากมายเพื่อประมูลมันมาให้ได้”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาละเอียดอ่อน “เจ้าโชคดีมาก ราคาของหยกนี้ต้องไม่มีทางวัดได้ด้วยสมบัติทางโลกแน่นอน”
หลังชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “อย่างนั้นกระเรียนโลหิตก็คงใช้หยกที่เขามีวางเดิมพันในการประลองที่ลานวิถีมังกรเมฆาสินะ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าชิงชัง “ถูกต้อง แต่เดิมข้าปฏิเสธ แต่กระเรียนโลหิตขู่ว่าหากข้าไม่ตกลงประลอง เขาจะเชิญข้าไปเป็นแขกที่เขามารรัตติกาล ข้ามีคนเดียว แต่กระเรียนโลหิตมีกลุ่มยอดฝีมือติดตาม แถมยังมีจักรพรรดิอีกสอง ข้าจึงไร้โอกาสหลบหนี ท้ายที่สุดข้าจึงตอบตกลงประลองอย่างจนตรอก”
ซูอี้เข้าใจแจ่มแจ้ง
ท้ายที่สุดแล้ว แม้การประลองในลานวิถีมังกรเมฆาจะดูยุติธรรม แต่ความจริงแล้วชุยจิ๋งเหยี่ยนถูกมัดมือชก!
“ความลำพองของเขามารรัตติกาลมากขึ้นทุกวันแล้ว พวกมันกล้ากระทำเช่นนี้กับเจ้าแค่เพื่อ ‘ศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏ’ ก้อนเดียวนี่” แววตาของซูอี้เผยความเย็นชาออกมาเล็กน้อย
ชุยจิ๋งเหยี่ยนคือบุตรสาวของชุยฉางอัน คุณหนูใหญ่ผู้ทรงเกียรติแห่งตระกูลชุย ไม่ต้องสงสัยเกี่ยวกับความสูงส่งของฐานะนาง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขามารรัตติกาลยังกล้าบีบบังคับเพื่อยื้อแย่งหยกในมือของชุยจิ๋งเหยี่ยน คาดเดาได้เลยว่าการกระทำเช่นนี้อุกอาจเพียงไร
ทว่าก็เห็นได้ ว่าการหายตัวอย่างเป็นปริศนาของชุยหลงเซี่ยงส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่ออำนาจของตระกูลชุย ดังนั้นเขามารรัตติกาลจึงกล้าไม่เห็นตระกูลชุยในสายตา
“ศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏ? มันคือชื่อของหยกนี้หรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างฉงน
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ในอดีตกาล สามศิลาศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ ศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏ ศิลาถ้ำเทพเบิกทวารและศิลานิลกาฬประชันโลหิตถูกเรียกรวมกันเป็น ‘ศิลาเวียนไตรภพ’”
“ในหมู่พวกมัน ศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏสามารถทำให้ผู้ฝึกตนไล่เรียงวิถีแห่งอดีต ขัดเกลาชำระล้างจิตใจ ทำลายมารผจญใจและสลายเวรกรรมกีดขวางได้”
“ศิลาถ้ำเทพเบิกทวารเล็งไปที่จิตวิญญาณของผู้ฝึกตน หากจักรพรรดิได้ไปจะสามารถสร้างเป็นอวตารความตั้งมั่นชั้นหนึ่งได้”
“ส่วนศิลานิลกาฬประชันโลหิตใช้ขัดเกลาร่างวิถี สามารถช่วยจักรพรรดิให้ขัดเกลาพลังวิญญาณและโลหิตอมตะได้ โลหิตมิเจือจาง วิญญาณก็มิวายชีพ”
หลังชะงักไปเล็กน้อย ซูอี้ก็พูดต่อ “และจากคำร่ำลือ หากหล่อหลอมสามศิลานี้เข้าด้วยกัน จะเกิดเป็น ‘ศิลาเวียนไตรภพ’!”
“ดูเหมือนหากใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์เช่นนี้มาเลื่อนขอบเขต จะสามารถทำให้จิตใจ จิตวิญญาณและร่างวิถีของผู้ฝึกตนแปรเปลี่ยนอย่างน่าเหลือเชื่อราวเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่ และบ่มเพาะสร้าง ‘ปราณลึกล้ำปฐมสวรรค์’ ขึ้นในรากฐานมหาวิถีด้วย!”
กล่าวถึงจุดนี้ แววตาลึกล้ำของซูอี้ก็พร่างพรายเจิดจ้า
ปราณลึกล้ำปฐมสวรรค์!
เป็นอำนาจตั้งแต่กำเนิดจักรวาลอันวิเศษล้ำ หากมีพลังนี้อยู่ การฝึกฝนในภายหน้า ไม่ว่าจะต่อสู้กับศัตรูหรือทำความเข้าใจวิถีก็จะส่งผลเลิศเลอ
ในอดีตชาติ ซูอี้ก็เคยสะสมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์เหล่านี้ไว้ยามเดินทางในทะเลทุกข์
น่าเสียดายที่ยามนั้น การฝึกฝนของเขาตันอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตจักรพรรดิแล้ว แม้ท้ายที่สุดเขาจะรวบรวมศิลาศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ทั้งสามได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขา
ท้ายที่สุด เมื่อเขากลับมายังเก้ามหาแดนดิน เขาก็มอบสมบัติเหล่านี้แก่ศิษย์ลำดับหก ‘เย่ลั่ว’ ผู้กำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ทว่า สำหรับซูอี้ในวันนี้ ศิลาศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ทั้งสามนี้เป็นหนึ่งในจุดประสงค์การมาของเขา
หนึ่งในจุดประสงค์ที่เขามายังทะเลทุกข์ครานี้ ก็เพื่อสั่งสมสมบัติทั้งสาม และใช้มันพิสูจน์วิถีขึ้นเป็นจักรพรรดิ
หากทำเช่นนี้ เมื่อก้าวสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ มหาวิถีของเขาจะเลื่อนระดับโดยสมบูรณ์ และสร้างรากฐานมหาวิถีซึ่งเหนือล้ำกว่าอดีตชาติของเขาไกลลิบ!
“ที่แท้หยกนี้ก็มีอำนาจวิเศษเหลือเชื่อเพียงนี้อยู่…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมองลงไปยังหยกในมือของนางอย่างอึ้ง ๆ
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเขามารรัตติกาลจึงไม่ลังเลที่จะล่วงเกินตระกูลชุยของนางเพื่อชิงหยกนี้
“พี่ซู รับหยกนี้ไปเถอะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนส่งศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏในมือของนางให้ซูอี้
ซูอี้ตะลึงแล้วกล่าวอย่างแปลกใจ “เจ้านี่ใจกว้างเอาเรื่องเลยนะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนยิ้มด้วยแววตาเจือความลำพอง “มิใช่ว่าข้าช่วยเจ้าเก็บสินสงครามยามออกจากลานวิถีมังกรเมฆาหรือ? ศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏของกระเรียนโลหิตอยู่กับข้าแล้ว”
นางกล่าวพลางพลิกฝ่ามือ และหยกอีกชิ้นที่เหมือนกันทุกประการก็ปรากฏขึ้น “นี่ไง”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ “งั้นก็ขอบคุณ”
“แล้วก็ สินสงครามพวกนั้นก็ให้เจ้าด้วยนะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวพลางเตรียมนำสินสงครามเหล่านั้นออกมา ทว่าซูอี้ปฏิเสธ “เจ้าเก็บไว้เถอะ ข้ารับไว้เพียงศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏก็พอ”
การลงมือในเมืองมรณะทำให้เขาได้สินสงครามมีค่ามามากมายมหาศาล สมบัติมิได้ขาดมือเขาแต่อย่างใด
ทั้งสองร่ำสุราพูดคุย และทันใดนั้น เสียงฮือฮาดังลั่นก็ปรากฏขึ้นบนถนนนอกโรงเตี๊ยม
“ข่าวเพิ่งออกมา เมื่อสองวันก่อน เรือยมโลกสีดำลึกลับโผล่มาอีกแล้ว!”