บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 949: พายเรือบนทะเลทุกข์ยามวิกาล
ตอนที่ 949: พายเรือบนทะเลทุกข์ยามวิกาล
เรือยมโลกสีดำลึกลับปรากฏขึ้นอีกแล้ว!
ข่าวนี้สร้างเสียงฮือฮาขึ้นในเมืองตังกุย แพร่กระจายไปทั่วทิศ
ไม่จำเป็นที่ซูอี้ต้องออกถามไถ่ เพียงฟังจากเสียงเจี๊ยวจ๊าวบนถนนก็ทำให้เขารู้ข่าวนี้โดยครบถ้วน
วันนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนซึ่งกลับจากห้วงลึกทะเลทุกข์ได้นำข่าวใหญ่นี้กลับมา
จากที่พวกเขาว่า ตอนเย็นเมื่อสามวันก่อน ในสถานที่นาม ‘เกาะทรายดูด’ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ ปรากฏเรือยมโลกลึกลับสีดำขึ้นอีกแล้ว
ผู้ฝึกตนซึ่งเดิมกำลังรวบรวม ‘ทรายศิลาทองเร้นลับ’ อยู่บน ‘เกาะทรายดูด’ ได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา
เมื่อผู้คนค้นพบเรื่องนี้ บนเกาะทรายดูดก็เหลือเพียงจดหมายเหตุที่เขียนอย่างรีบร้อนเท่านั้น
เนื้อหาของมันเกี่ยวกับการปรากฏของเรือยมโลกสีดำ!
เพราะเหตุนี้เอง ผู้คนจึงสามารถตัดสินได้ว่าการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้ฝึกตนในเกาะทรายดูดเกี่ยวข้องกับเรือยมโลกสีดำ!
ผู้ฝึกตนซึ่งเดิมกำลังรวบรวม ‘ทรายศิลาทองเร้นลับ’ อยู่บน ‘เกาะทรายดูด’ ได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา
เมื่อผู้คนค้นพบเรื่องนี้ บนเกาะทรายดูดก็เหลือเพียงจดหมายเหตุที่เขียนอย่างรีบร้อนเท่านั้น
เนื้อหาของมันเกี่ยวกับการปรากฏของเรือยมโลกสีดำ!
เพราะเหตุนี้เอง ผู้คนจึงสามารถตัดสินได้ว่าการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้ฝึกตนในเกาะทรายดูดเกี่ยวข้องกับเรือยมโลกสีดำ!
“เกาะทรายดูด… เกาะนั่นถือได้ว่าเป็นพื้นที่อันตรายแห่งหนึ่งในห้วงลึกทะเลทุกข์ มีอสรพิษจิตสมุทรซึ่งมีพิษร้ายแรงอยู่ที่นั่นมากมาย”
“แต่ที่นั่นก็เป็นกรุสมบัติแห่งหนึ่ง หากโชคดีก็อาจได้พานพบวัตถุดิบหายาก ‘ทรายศิลาทองเร้นลับ’ เช่นกัน”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขารู้ดีกว่าผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลก ว่าลึกเข้าไปในทะเล ใต้เกาะทรายดูด แท้จริงมีซากโบราณที่อันตรายยิ่งกว่าอยู่
ซากโบราณนั้นมีนามว่า ‘ถ้ำโลหิตเงือก’ และกล่าวกันว่าเป็นรังเก่าของ ‘เผ่าเงือก’ ในสมัยโบราณ
สิ่งสำคัญที่สุดคือในถ้ำโลหิตเงือกนั้นมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์หายากเช่น ‘ศิลาถ้ำเทพเบิกทวาร’ อยู่!
“ระยะห่างระหว่างเกาะทรายดูดและพิภพยมราชฝังวิถีนั้นไกลกว่ากันราว ๆ สองพันลี้ ดูเหมือนว่าแม้เรือสีดำจะปรากฏขึ้นหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ปรากฏจะไม่ห่างจากพิภพยมราชฝังวิถีเท่าไร”
“หากเราเข้าสู่ห้วงลึกทะเลทุกข์ เราก็ไปเกาะทรายดูดกันก่อนได้”
ซูอี้ลอบกล่าว
ยามนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดถามขึ้นมิได้ว่า “พี่ซู ที่ท่านมาเมืองตังกุยครานี้ คิดจะเข้าไปในทะเลทุกข์หรือ?”
ซูอี้ตอบ “ใช่”
ดวงตาคู่งามของชุยจิ๋งเหยี่ยนเป็นประกาย “เราไปด้วยกันไหม?”
ซูอี้ส่ายหัวยิ้ม ๆ “ข้าไม่ได้จะไปว่ายน้ำเล่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ยามนี้แปรเปลี่ยนอันตรายนัก เจ้าควรกลับไปให้ไวเถอะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมุ่ยหน้า แม้นางจะไม่เต็มใจนิด ๆ แต่ก็รู้ว่าหากนางเดินทางกับซูอี้ นางก็ไม่ต่างจากตัวถ่วงเขา
ตกค่ำ ชายหนุ่มและชุยจิ๋งเหยี่ยนก็แยกทาง
เมื่อแยกจาก หญิงสาวก็กล่าวเตือนซูอี้ให้ระวังตน และไม่ว่าอย่างไรให้รอดชีวิตกลับมา
เมื่อรัตติกาลโรยตัวลงมา ซูอี้ก็ออกจากเมืองตังกุยไปเพียงลำพัง
นภารัตติกาลดุจหมึกย้อม จันทร์เพ็ญสีเลือดลอยเด่นท่ามกลางราตรี
คลื่นสมุทรสาดซัดรุนแรงไม่หยุดหย่อน สร้างเสียงคลื่นกังวานก้องดุจฟ้าผ่า บริเวณรายล้อมหาดซึ่งเคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนยามกลางวันได้เงียบสงบไร้คนผ่านไปนานแล้ว
ทะเลทุกข์
ในทะเลอันไร้ขอบเขตนี้ มีอันตรายและซากโบราณฝังไว้มากมาย ในอดีต ผู้ฝึกตนมากมายได้เข้ามาสำรวจ ณ ทะเลแห่งนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าอีกฟากฝั่งของทะเลทุกข์เป็นเช่นไร
มันกว้างใหญ่เสียจนตัวตนขอบเขตจักรพรรดิยังทำได้เพียงทอดถอนใจ
และเมื่อเนิ่นนานมา ยังมีกระทั่งพุทธศาสนิกชนผู้แข็งแกร่งที่รำพึงว่า ‘ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง’ ด้วย
มหาสมุทรลึกลับนี้ไม่เพียงเป็นดินแดนต้องห้ามอันร้ายกาจที่สุดของภูมิมืดมิดเท่านั้น แต่ยังขึ้นชื่อในเก้ามหาแดนดินด้วย
เหตุเป็นเพราะว่า แม้ห้วงลึกทะเลทุกข์จะร้ายกาจยิ่ง แต่ก็ยังมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วนถูกฝังอยู่ที่นั่นด้วย
“ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…”
ท่ามกลางรัตติกาล ร่างสูงของซูอี้ปรากฏขึ้นที่ฝั่งทะเลทุกข์ ลมทะเลโบกพัด ทำให้อาภรณ์และเส้นผมของเขาพลิ้วไหว
ดวงตาลึกล้ำมองลึกเข้าไปในมหานทีอันปกคลุมด้วยความมืด ราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปในความมืดนั้นได้
ในอดีตชาติของเขา เขาเคยอยู่ในทะเลทุกข์มาสิบเก้าปี เผชิญสถานที่อันตรายที่นับได้ว่าเป็นดินแดนต้องห้ามมามากมาย
ในด้านความเข้าใจทะเลทุกข์ คงไม่มีผู้ใดในโลกแล้วที่เทียบเขาได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ซูอี้ได้ค้นพบเคล็ดเวียนวัฏสงสารในห้วงลึกทะเลทุกข์นี่ล่ะ!!
เคล็ดวิชานี้ นอกจากเขาก็มีเพียงผีเฒ่าแบกโลงเท่านั้นที่รู้!
‘คราแรก ข้าได้พบเคล็ดเวียนวัฏสงสารในห้วงลึกทะเลทุกข์ ซึ่งมอบโอกาสให้ข้าได้เวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง และยามนี้เมื่อข้ากลับมา ข้าจะหาโอกาสพิสูจน์วิถีขึ้นเป็นจักรพรรดิในทะเลนี้ โลกช่างน่าอัศจรรย์เกินบรรยายจริงแท้’
ซูอี้คิดในใจ
ไม่รอช้า เขาโบกแขนเสื้อตน
เรือยาวสี่จั้งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ เรืองแสงสีทองดุจเปลวเพลิงระริกไหวรายล้อม
เรือไร้อับปาง!
สร้างจากไม้ท้อ
ขอเพียงนั่งเรือนี้ ต่อให้เผชิญกับคลื่นคลั่งทะเลบ้าในทะเลทุกข์ เขาก็ไม่ต่างจากเดินบนพื้น
สิ่งที่หาได้ยากเป็นพิเศษนั้นคือโดยธรรมชาติแล้ว เหล่าปีศาจมวลมารซึ่งซ่อนตัวใต้ทะเลทุกข์นั้นหวาดกลัวปราณของเรือไร้อับปาง และไม่กล้าเข้าใกล้มัน
หากเปลี่ยนเป็นเรือลำอื่น ไม่เพียงมันจะล่มกลางพายุในทะเลทุกข์ได้ทุกเมื่อเท่านั้น แต่มันยังต้องเผชิญกับการบุกโจมตีจากใต้ท้องสมุทรบ่อยมากด้วย!
โดยเฉพาะยามรัตติกาล มหาทะเลทุกข์นี้จะน่ากลัวยิ่งนัก ปีศาจผีร้ายต่าง ๆ ที่ซุกซ่อน ณ ก้นทะเลจะออกมาปรากฏกายบ่อยครั้ง
ดังนั้น ตลอดกาลนานมา ผู้ฝึกตนทั้งหลายที่ออกเดินทางสู่ทะเลทุกข์จึงเลี่ยงยามวิกาลและซุกซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง
ทว่า สำหรับซูอี้แล้ว ทะเลทุกข์ยามวิกาลนั้นไม่ต่างจากกลางวันสักเท่าไร
วูบ!
เรือไร้อับปางจากบนอากาศหล่นลงมาอย่างมั่นคงบนผิวน้ำ ตามด้วยร่างของซูอี้ที่ขึ้นไปยืนบนนั้น
เขาเอนร่างลงเอกเขนก หนุนแขนเป็นหมอน ยืดหลังอย่างสบายตัว
จากนั้น เรือไร้อับปางก็ล่องลมท่องคลื่นแล่นหายไปไกลในความมืด
ไม่ว่าคลื่นจะซัดรุนแรงเพียงไหน เรือไร้อับปางก็มั่นคงดุจเดินบนพื้น ไม่รู้สึกโคลงเคลงแม้แต่น้อย
จันทราเต็มดวงสีเลือดซึ่งลอยตะคุ่มเหนือหมู่เมฆทอแสงสีเลือดลงฉาบทะเลทมิฬ
บรรยากาศหดหู่เงียบเหงา คลื่นคลั่งถาโถม อันตรายอันไม่อาจทราบมากพอจะทำให้จักรพรรดิทั้งหลายเลี่ยงหลีก
มีเพียงซูอี้บนเรือไร้อับปางที่เดินทางเดียวดายท่ามกลางผืนนภาเหนือทะเล
ระหว่างทางไร้อันตรายใด
ซูอี้ผ่อนคลายสบายใจ เขาหยิบไหสุรามาดื่มขณะเรียบเรียงประสบการณ์ฝึกฝนตลอดมาในใจ
นับแต่ฟื้นความทรงจำอดีตชาติเมื่อไม่ถึงสองปีก่อน เขาก็เดินทางจากเมืองกว่างหลิงอันแสนห่างไกลไปทั่วโลกหล้าบนมหาทวีปคังชิง…
เขาได้พบคนน่าสนใจมากมาย ผ่านการต่อสู้และความโกลาหลนับครั้งไม่ได้
เขาในมหาทวีปคังชิงกระตือรือร้น โอหังและไร้เทียมทาน กล้าหัวเราะเยาะศัตรูไร้ผู้ต้านทั่วโลกา
จนกระทั่งยามที่ชายหนุ่มกลับมายังภูมิมืดมิดและเยี่ยมเยือนสถานที่เก่า ๆ เขาจึงพลันค้นพบว่าแม้ภูมิมืดมิดจะยังเหมือนเก่าก่อน แต่มันก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
เพราะถึงอย่างไร เมื่อผ่านไปสามหมื่นหกพันปี โลกหล้าแปรผันไปไม่รู้กี่หน จะไปเหมือนความทรงจำได้เช่นไร?
ซูอี้ไม่เคยเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผู้คนใช้ชีวิตในอดีตไม่ได้ ในเมื่อเขาเวียนวัฏสงสารกลับมาฝึกฝนใหม่แล้ว เขาก็ควรอยู่กับปัจจุบัน
แต่มีความจริงหนึ่งที่ซูอี้ไม่อาจปฏิเสธได้
นั่นคือ ในภูมิมืดมิดนี้ เมื่อเขาได้พบศัตรูที่ฝีมือต่างกันมากเกินไป เขามีแต่ต้องใช้อำนาจในอดีตชาติมารับมือ
เช่นในคืนเทศกาลหมื่นโคมในเมืองตาข่ายม่วง เขาต้องใช้พลังมหาวิถีจากอดีตชาติมากวาดล้างทัพวิญญาณร้าย
ในเผ่าปีศาจงู เพชฌฆาตเฒ่าถูกสั่งให้ลงมือเพื่อปราบผู้ก่อความวุ่นวายทั้งหลาย
และไม่นานมานี้ที่เมืองมรณะ เขาก็ต้องใช้อำนาจของคัมภีร์แห่งตี้ทิง
ในเหตุการณ์เหล่านี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นคือด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขา ยังห่างไกลเกินกว่าจะต่อกรศัตรูร้ายกาจเหล่านั้นได้
หากจัดการกับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำนั้นยังพอได้ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำล่ะก็ เขายังต้องใช้วิธีการและไพ่ตายอื่นเข้าสู้
เรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้รู้สึกอัปยศอดสูแต่อย่างใด
เมื่อมองไปทั่วหล้า ยังมีผู้ใดอีกหรือที่เป็นเหมือนเขา ตัวอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่อาจหาญข้ามขอบเขตไปบั่นหัวจักรพรรดิได้?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิธีการและไพ่ตายต่าง ๆ ที่เขายืมมานั้นต่างก็เป็นพลังและความสัมพันธ์ของเขาในอดีตชาติทั้งสิ้น หากเขาปฏิเสธที่จะใช้มันก็คงโง่เต็มที
ดังคำกล่าวที่ว่าใช้สิ่งใดก็ได้ ขอเพียงไม่แหกกฎ เมื่ออำนาจภายนอกกลายเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งตน มันจะไปมีผลต่อจิตใจได้เช่นไร?
สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากเหล่าโจรกร่างที่พึ่งเพียงฐานะภูมิหลัง เพราะอำนาจเหล่านี้อยู่ใต้ควบคุมของเขา!
ทว่าซูอี้ก็ตระหนักว่าหากต้องการลับคมวิชาดาบและค้นหาความเหนือชั้นยิ่งกว่าในโลกนี้ ขอบเขตวงล้อวิญญาณที่เขามียังอ่อนด้อยเกินไป!
“เมื่อข้ามาทะเลทุกข์ยามนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพิสูจน์ตนเป็นจักรพรรดิให้จงได้! มีเพียงการทำเช่นนี้ที่ข้าจะสามารถใช่พลังต่อสู้ของตนสังหารศัตรู ลับคมดาบของตัวเองได้!”
“เมื่อถึงยามนั้น… ก็ถึงกาลเดินทางสู่เก้ามหาแดนดินได้…”
ซูอี้จิบสุรา แววตาลึกล้ำนิ่งสงบราวผืนน้ำคืนนี้ สะท้อนภาพเดือนเพ็ญสีเลือดบนฟากฟ้า เพิ่มเสน่ห์เย็นชาชวนลืมหายใจ
จากนั้น ซูอี้ก็ทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน หลับตาลงและปล่อยใจ
เขาไม่คิดถึงสิ่งใด ไม่ได้มองสิ่งใด ทำเพียงทอดร่างเอนบนเรือน้อย ละล่องลอยบนทะเลมืดมิด ไหลไปตามกระแสน้ำ
พลังปราณของเขาหลอมรวมเข้ากับฟ้าดินอย่างเงียบ ๆ แสงจันทร์ท่ามกลางรัตติกาล คลื่นกระหน่ำซัด ลมทะเลหวีดหวิว ทุกสิ่งล้วนสะท้อนรับกับพลังปราณของเขาอย่างน่าตื่นตา
หัวใจเดินทางเป็นพัน ๆ ลี้ หลอมรวมกับสรรพสิ่งทั่วหล้า
มองย้อนประสบการณ์ในอดีต เรียบเรียงทุกสิ่งในใจ ขณะเดียวกันก็ชำระล้างกลั่นบริสุทธิ์ทั้งกายใจ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงคำรามแห่งการต่อสู้ดังมาจากไกล ๆ
ซูอี้ลืมตาขึ้นเงียบ ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นและมองออกไปในระยะไกล
ไกลออกไป เขาเห็นว่ามีแสงอสนีบาตสีม่วงเจิดจ้าร่ายรำบ้าคลั่ง และเปลวเพลิงโชติช่วงฉีกกระชากรัตติกาล
เขาพอจะเห็นสองร่างประชันดุเดือดอยู่ไกล ๆ ได้ราง ๆ
หนึ่งคือชายในชุดสีม่วง เจิดจรัสเปี่ยมรัศมี เขาใช้สายฟ้าสีม่วงสำแดงอำนาจรุนแรงถล่มฟ้าทลายแดนดินราวเทพสายฟ้า
ส่วนอีกคนก็คือชายชราชุดดำอาบแสงวิถีสีดำ เขาใช้หอกอสรพิษยาวแปดจั้ง ทุกการกวัดแกว่งของเขาฉีกกระชากสุญญะ เผยความคมอันน่าตกใจ
ศึกระหว่างทั้งสองทำให้ท้องนภาปั่นป่วน ท้องทะเลรอบด้านคำรามกระฉอกคลั่ง ศึกนั้นรุนแรงน่าระทึกใจยิ่งนัก
ซูอี้เห็นเช่นนี้ก็แปลกใจ