บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 95 รอจนกว่าข้าเติบใหญ่
ทั่วทั้งลานบ้านตกตะลึง แต่แค่เพียงชั่วขณะ ก่อนที่สมาชิกกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬจะตอบสนองอย่างรวดเร็วและมองหาเป้าหมายทันที
ชายหนุ่มชุดเขียวเดินตรงไปยังโถงใหญ่!
“พี่น้องข้า เจ้าคนชั่วนั่นบังอาจจ้วงแทงพี่น้องของเรา!”
“ฆ่ามัน!”
ด้วยเสียงตะโกนก้อง กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬปลุกวิญญาณร้ายในกาย ถือดาบคมและง้าวยาวทักทายซูอี้
อาจเป็นเพราะดื่มมากเกินไปในคืนนี้
พวกเขาจึงตื่นเต้นกันถ้วนหน้า และแย่งชิงการโจมตีเป็นคนแรก
ซูอี้ยังคงวางท่าเมินเฉยดังก่อนหน้า
เขาไม่ได้มองย้อนกลับไป มีเพียงดาบสุดแดนดินในมือส่งเสียงหึ่งร้องชัดเจน ก่อเกิดเงาดาบแหลมคมทันใด
เงาดำจากคมดาบครอบงำอย่างท่วมท้น
กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬเหล่านี้เป็นเพียงคนต่ำช้า ส่วนใหญ่มีเพียงทักษะชกต่อยผิวเผินและแทบไม่ถึงธรณีประตูของวิถียุทธ์ พวกเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย
เพียงครู่เดียว หลายร่างก็นอนเกลื่อนพื้นดิน สายเลือดหลั่งไหลกลายเป็นแอ่งโลหิตที่สะท้อนแสงไฟเป็นประกายสีแดง
สมาชิกกลุ่มบางคนที่ยังเหลือรอดต่างหวาดกลัวและหลบซ่อนจากระยะไกล ใบหน้าขาวซีดไร้สี มือถือดาบสั่นไหวไร้การควบคุม
ซูอี้เพิกเฉยต่อตัวตนต่ำต้อยเหล่านั้น ก่อนจะเดินเข้าไปยังโถงใหญ่พร้อมดาบในมือ
ตูม!
ง้าวยาวง้างฟาดลงศีรษะ เกิดแสงเย็นเยียบส่องสว่าง
ผู้ล่วงล้ำเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมดำและมีตาข้างเดียว ก่อนหน้านี้เขาซ่อนตัวอยู่ด้านข้างประตูโถงใหญ่ คอยหาจังหวะเหมาะสมจึงพุ่งตัวออกมาด้วยท่าสังหารอันรุนแรง
ซูอี้เปรียบดังผู้ทำนายแสนหยั่งรู้ ร่างสูงเอียงเอนไปด้านข้างเล็กน้อย ง้าวคมล้มเหลวในทันใด
ฉัวะ!
ดาบสุดแดนดินฟาดฟันลำคอของบุรุษวัยกลางคนตาเดียว ศีรษะใหญ่โตถูกสะบั้นลอยสูงขึ้นกลางอากาศ เลือดแดงฉานพุ่งกระจายจากร่างไร้ศีรษะก่อนล้มลงพื้น
ห้องโถงใหญ่สว่างไสว โต๊ะเพียงแห่งเดียวเต็มไปด้วยสุราอุ่นและอาหารหรูหรา ทว่าที่นั่งกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน
เมื่อซูอี้เดินเข้าไป เขาก็มองเห็นสามร่างยืนอยู่ไม่ไกล ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง และชายชราอีกหนึ่ง ทุกคนล้วนถือดาบ สีหน้าเคร่งขรึมและบิดเบี้ยว เต็มเปี่ยมไปด้วยความระแวดระวัง
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวคำหนักแน่น “สหาย กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา หากมีความผิดประการใด ข้าจะชดใช้ให้เจ้าเสียก่อน ลองบอกกล่าวกัน แล้วดูเถิดว่าจะแก้ไขมันได้อย่างไร?”
ซูอี้เหลือบมองโดยรอบก่อนเอ่ยถาม “ทางเข้าคุกใต้ดินอยู่ที่ใด?”
หัวใจชายหนุ่มดิ่งฮวบ โพล่งกล่าวดัง “หรือว่าลูกน้องข้ามีตาหามีแววไม่ พลั้งเผลอจับตัวสหายเจ้ามา?”
ฉึก!
ซูอี้ก้าวไปด้านหน้าทันใด ดาบยาวกวาดออกดุจสายฟ้าฟาด แทงทะลุคอชายหนุ่มอย่างง่ายดาย เขาตายโดยยังคงสีหน้าสับสน
“เจ้าตอบมา” ซูอี้หันมองหญิงสาวนางนั้น
อีกฝ่ายสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดเผือด ครั้งได้ยินเช่นนั้นนางหันมองผ้าม่านด้านข้างโถงโดยไม่รู้ตัว
ฉัวะ!
แสงดาบส่องประกาย
ลำคอระหงถูกตัดขาด ร่างล้มพับแน่นิ่ง นางตายตกขณะดวงตาเบิกกว้าง
“เราบอกเจ้าไปแล้ว เหตุใดต้องฆ่าฟันกันด้วย!?”
ชายชราคนสุดท้ายตะคอกด้วยความโกรธ ทั้งยังหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
แต่คำตอบสำหรับเขามีเพียงประกายคมดาบวาววับ!
ฉัวะ!!!
ร่างกายถูกตัดแยกกลางลำตัวเป็นสองส่วน โลหิตและอวัยวะภายในทะลักออกราวกับน้ำตก
“ฆ่าเจ้า? เหตุใดข้าจึงต้องการเหตุผล?”
ซูอี้หันกลับและเดินตรงไปยังม่าน
สีหน้าของเขาดูหม่นหมองเหมือนก่อนหน้า นัยน์ตาลุ่มลึกและเฉยเมย
เมื่อซูเสวียนจวินแค้นเคือง เขาไม่คิดอธิบายสิ่งใดต่อศัตรู
ด้านหลังม่านนั้นเป็นกำแพงที่มีประตูซ่อนอยู่
ดาบทุบกุญแจผนึก ซูอี้ไม่รอช้า เขาผลักประตูก่อนจะเดินเข้าไป
…
ในคุกใต้ดินมืดมิดและชื้นแฉะ เฝิงเสี่ยวหรานนั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่บนพื้น
ผมเผ้าดูยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียวดูบอบบาง แต่กลับสงบนิ่ง
ตั้งแต่ที่ถูกจับมา นางทราบดีว่าชีวิตนี้ถูกกำหนดโดยโชคชะตาให้จมลงสู่ความมืด ไม่อาจออกมาอยู่ท่ามกลางแสงแดดเหมือนแต่ก่อนได้อีก
นางเคยได้ยินเรื่องราวมาว่าหลังจากถูกกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬจับตัว พวกมันจะขายหญิงสาวให้กับหอนางโลมหลายแห่ง และกลายเป็นของเล่นของผู้ชายนับจากนั้น
แต่นางไม่กลัว
นางไม่เคยละทิ้งโอกาสแม้เพียงน้อยนิดที่จะมีชีวิตอยู่
ตราบใดที่ยังมีชีวิต นางจะทำทุกอย่างเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น!
‘พี่ชาย อย่าห่วงเลย ข้าจะใช้ชีวิตอย่างดี ภายภาคหน้า… เสี่ยวหรานจะปกป้องพี่เอง!’
เฝิงเสี่ยวหรานพูดในใจอย่างเงียบงัน
นางไม่สนสิ่งอื่นใดนอกจากเฝิงเสี่ยวเฟิงผู้เป็นพี่ชาย
นี่เป็นเหตุผลที่นางต้องมีชีวิตอยู่
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นในความมืด ทิศทางของเสียงตรงใกล้เข้ามา
“ในที่สุดก็มาแล้วหรือ?”
เฝิงเสี่ยวหรานเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองบุคคลเบื้องหน้าในความมืด นางต้องการจดจำรูปลักษณ์ผู้คนเหล่านี้และจารึกไว้ในหัวใจ จากนั้นค่อยชำระหนี้แค้นในภายหลัง!
เพียงแต่คุกใต้ดินนี้มืดเกินไป นางจึงมองเห็นเพียงเงาเลือนรางยาวเหยียดของอีกฝ่าย
ถัดจากนั้น นางเห็นชายปริศนาย่อตัวลง ดวงตาคู่นั้นลุ่มลึกและส่องประกาย
แลเห็นความโล่งใจเผยอยู่ในดวงตาคู่นั้น
หัวใจนางสั่นไหวอย่างไร้เหตุผล รู้สึกเพียงว่าเวลาช่างยาวนาน ดวงตาที่มองนางขณะนี้ดูสดใสและงดงามถึงที่สุด
เฉกเช่นแสงอรุณยามเช้าตรู่ในฤดูใบไม้ผลิ มอบความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ส่องสว่างสู่หัวใจอันมืดหม่นและเยือกเย็นดวงนี้
“เด็กน้อย จำข้าได้หรือไม่?”
เสียงอ่อนโยนอบอุ่นใจพร้อมรอยยิ้มแว่วผ่านหู ทำให้ร่างกายของเฝิงเสี่ยวหรานสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้เพียงฝ่ามือ
“ซู… พี่ซูอี้!?” เฝิงเสี่ยวหรานเบิกตากว้าง นางตะลึงงันราวกับกำลังฝันเฟื่อง
ขณะที่กำลังหลงอยู่ในความมืด ทันใดก็กลับปรากฏร่างคุ้นเคย ขณะนี้มันเหมือนกับแสงสว่างไม่สิ้นสุดที่ขจัดความมืดมิดออกไป
มากเสียจนทำให้มึนงงไปชั่วครู่
หลังจากนั้นไม่นาน เฝิงเสี่ยวหรานก็เผยรอยยิ้มสดใสพลางเอ่ยคำ “พี่ซูอี้ กลายเป็นท่านที่มาช่วยข้า!”
ซูอี้ลูบหัวเด็กหญิงตัวเล็กก่อนอุ้มนางไว้บนแผ่นหลัง “ไม่ต้องกลัวแล้ว พี่ชายจะพาเจ้ากลับบ้านเอง”
“อืม!”
เฝิงเสี่ยวหรานพยักหน้ารับหนักแน่น มือทั้งสองโอบกอดรอบคอซูอี้อย่างแน่นหนา ราวกับกลัวว่าความสุขนี้จะหลุดหายไปจากมือ
สัมผัสถึงแขนบอบบางที่รัดแน่นของเด็กสาว ซูอี้อดไม่ได้จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ขณะอยู่ในคุกใต้ดิน เสี่ยวหรานจะต้องรู้สึกสิ้นหวังและไร้หนทางมากเพียงใด?
“พวกเจ้าเองก็กลับบ้านได้เช่นกัน”
ซูอี้มองบริเวณอื่นของคุกใต้ดิน มีหลายร่างขดตัวอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น
เขาหันหลังก้าวเดินออกจากคุกใต้ดินเพื่อกลับไปยังโถงใหญ่
“เสี่ยวหราน เจ้าหลับตาก่อน” ซูอี้เอ่ยคำเสียงเบา
สถานที่ด้านนอกเต็มไปด้วยเลือดและซากศพกระจัดกระจาย เป็นภาพที่เห็นแล้วสร้างความไม่สบายใจอย่างมาก
แต่เฝิงเสี่ยวหรานส่ายศีรษะ กลับกันดวงตาของนางนั้นเบิกกว้าง สายตาจริงจังรับชมจิตรกรรมสีโลหิตตลอดทาง ใบหน้าซีดเซียวและละเอียดอ่อนเต็มไปด้วยความสงบ
นางไม่ได้หวาดกลัวเลย แต่ลอบพึงพอใจอยู่ภายใน
กระทั่งเดินออกจากลานบ้านมาถึงตรอกหยกวสันต์ เฝิงเสี่ยวหรานพลันกล่าวออกมาว่า “พี่ซูอี้ ช่วยสอนข้าบ่มเพาะได้หรือไม่?”
ซูอี้ถามกลับ “เหตุใดจึงต้องการฝึกฝนเล่า?”
เฝิงเสี่ยวหรานลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวออก “ข้าต้องการปกป้องพี่ชาย ปกป้องเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และไม่ปล่อยให้ผู้ใดรังแกเขาได้อีก!”
นัยน์ตากระจ่างใสราวกับผลึกแก้วแปรเปลี่ยนไป “หกเดือนก่อน ขาของพี่ชายถูกคนชั่วร้ายทำลาย ตัดหนทางการเป็นผู้บ่มเพาะจนสิ้น แม้ไม่กล่าวคำใด แต่ข้าทราบดีว่าเขาเจ็บปวดหัวใจยิ่ง”
“ครั้งที่ข้าและพี่ชายยังเด็ก แม่ของพวกเราทิ้งเราไปพร้อมกับคนทราม เป็นท่านพ่อที่ฉุดรั้งเราขึ้นมา แต่เมื่อครึ่งปีก่อน หลังจากที่รู้ว่าพี่ชายพิการ ท่านพ่อก็รับไม่ไหวจนทรุดลงป่วยไข้และเสียชีวิตหลังจากนั้นเจ็ดวัน”
“นับแต่นั้นมา ญาติคนเดียวของข้าก็คือพี่ชาย…”
พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าซีดของเด็กสาวก็เปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
นางสูดหายใจเข้าลึก ถ้อยคำสงบและเด็ดขาดถูกกล่าวออก “และตั้งแต่นั้นมา ข้าจึงบอกตนเองเสมอว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม แม้ต้องแบกรับความอัปยศและอับอายไม่รู้สิ้น แต่หากสามารถปกป้องพี่ชายได้ ข้าก็จะทำ!”
ซูอี้นิ่งเงียบรับฟังด้วยความเวทนาพลางลอบถอนหายใจ ก่อเกิดความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจอธิบายได้
เขารับรู้มานานแล้วว่าครอบครัวของเฝิงเสี่ยวเฟิงยากจนมาก เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้วที่ยังสามารถเข้าร่วมฝึกฝนในสำนักดาบชิงเหอได้
แต่ไม่คาดคิดว่าชีวิตของอีกฝ่ายจะสาหัสสากรรจ์ได้เพียงนี้
เฝิงเสี่ยวหรานอาศัยอยู่กับเฝิงเสี่ยวเฟิง ด้วยอายุเพียงสิบสามปี นางกลับมีท่าทีและอารมณ์เป็นผู้ใหญ่มากกว่าสหายอายุไล่เลี่ยกัน ซึ่งสิ่งนี้เกินความคาดหมายของซูอี้ไปมาก
ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของเฝิงเสี่ยวหรานเป็นอย่างดี
ครั้งนั้นเขาหนีออกจากบ้านตอนอายุสิบสี่ปี เตร็ดเตร่ตามเส้นทางขรุขระไม่มีที่สิ้นสุดตามลำพังไปยังสำนักดาบชิงเหอเพื่อฝึกฝน ไม่ใช่ว่าเขาเองก็ต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมด้วยการบ่มเพาะอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งหัวใจจมดิ่งสู่ความมืดมิด ก็ยิ่งสิ้นหวังที่จะดิ้นรนไขว่คว้าหาแสงสว่างเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
กระทั่งเดินออกจากถนนหยกวสันต์ ซูอี้จึงกล่าวออก “ตราบเท่าที่เจ้าต้องการเรียนรู้ ข้าจะสอนเคล็ดวิชาลับการบ่มเพาะให้เป็นอย่างดี”
รอยยิ้มสุขใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กของเฝิงเสี่ยวหราน “พี่ซูอี้ รู้ไหมว่าช่วงเวลาที่ท่านปรากฏตัว ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต ข้า… จะตอบแทนท่านเป็นอย่างดี!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม “ตราบเท่าที่เจ้าและพี่ชายยังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น… ข้าจะตบแต่งกับท่านเมื่อเติบใหญ่ดีหรือไม่?”
ถ้อยคำจริงจังกล่าวออกโดยเฝิงเสี่ยวหราน
ซูอี้ตะลึงงันครู่หนึ่ง ก่อนอดหัวเราะไม่ได้ “หากเจ้าเติบใหญ่แล้ว ค่อยคุยกัน”
เขาไม่คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร คงเพราะด้วยความตื้นตันและต้องการตอบแทน เด็กสาวอายุสิบสามปีจึงกล่าวออกอย่างไม่รู้ความ โดยยังไม่เข้าใจความหมายของการตบแต่ง
เป็นเรื่องเข้าใจได้
เฝิงเสี่ยวหรานหัวเราะ ดวงตากลมโตหรี่เล็กลงราวกับพระจันทร์เสี้ยวอันบริสุทธิ์และเปล่งประกาย
นางเอื้อนเอ่ยในใจเงียบงัน ‘พี่ซูอี้ รอข้าเติบใหญ่ อย่าได้กลับใจ…’
ในความมืดมิดของราตรีกาล ความคาดหวังเหลือล้นปรากฏบนใบหน้าซีดขาวของเด็กสาว
แม้ว่านางจะยังเด็ก ทว่ารูปหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนชัดเจนขึ้น คิ้วดำขลับเหมือนหมึกสีดำ จมูกได้รูปสวยงาม ร่างกายเพรียวบางได้สัดส่วน ผิวบอบบางราวกับเต้าหู้อ่อนสีขาวอันนุ่มนวล
โดยเฉพาะดวงตาทั้งสอง ลุ่มลึกและเปล่งประกายดั่งอัญมณีใสที่เจียระไนจนงามงด ครั้งที่นางเผยยิ้มจนตาหยี จึงดูเหมือนพระจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้าที่สะท้อนอยู่ในทะเลสาบ ช่างงดงามยิ่ง
นางยังคงไว้ซึ่งท่าทีไร้เดียงสา เรียกได้ว่าเป็นความงามดั่งภาพวาดที่รังสรรค์ เป็นตัวตนที่สวยงามแต่กำเนิด
เพียงแต่ผมเผ้าขณะนี้ดูรุงรังและเปรอะเปื้อน เสื้อผ้าเก่าทรุดโทรม ปลายแขนเสื้อปรากฏเศษด้ายหลุดลุ่ย เผยให้เห็นภูมิหลังอันยากไร้
แม้เป็นความงามยามเยาว์วัย กลับเผยเสน่ห์น่าหลงใหลที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม!!