บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 950: อวดอาวุโส
ตอนที่ 950: อวดอาวุโส
ในทะเลทุกข์ ยามวิกาลนั้นอันตรายที่สุด
ภายใต้สถานการณ์ปกติ กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิยังไม่กล้าออกเดินทางง่าย ๆ
ทว่ายามนี้กลับเกิดสงครามระหว่างตัวตนจักรพรรดิขึ้นที่นี่!
และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาสู้กันมานานแล้ว!
หากทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น คงไม่อาจทำให้ซูอี้แปลกใจได้
เพราะในทะเลทุกข์นี้ไร้กฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น การต่อสู้ฆ่าฟันมีให้เห็นทุกหนแห่ง ไม่ใช่เพียงการต่อสู้แย่งชิงโอกาสสัมพันธ์
ยังมีทั้งการชำระแค้น ปล้นชิง คนชั่วฆ่าคนเลว สารพัดเรื่องโหดร้ายนองเลือดล้วนเกิดขึ้นที่นี่
คงไม่กล่าวเกินไปหากจะบอกว่าแม้ศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มขุมกำลังสูงสุดสักที่มาตายในทะเลทุกข์ พวกเขาก็คงหาตัวศัตรูไม่เจออยู่ดี
นอกจากนั้น นับแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ผีร้ายมวลมารทั้งหลายในภูมิมืดมิดล้วนถือทะเลทุกข์เป็นแดนสวรรค์สำหรับการฝึกฝน
เพราะในทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะไปล่วงเกินผู้ใดเข้า หมัดใครใหญ่กว่า ผู้นั้นมีชีวิตรอดต่อ!
สิ่งที่ทำให้ซูอี้แปลกใจนั้นคือ ในสองคนที่กำลังต่อสู้ ชายชุดม่วงผู้ใช้อสนีบาตเพลิงทิพย์เข้าโจมตีนั้นอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาคืออสูรเพลิงสายฟ้า หวังชงหลู!
เขากลายร่างมาจาก ‘งูปาเสอ’ ผู้ดุร้ายไร้ใดเทียบ ซึ่งสามารถควบคุมอำนาจอสนีบาตเพลิงทิพย์ได้โดยกำเนิด ทั้งยังมีนิสัยเย่อหยิ่งไม่สนใจผู้ใด
ก่อนสังหารศัตรู ปีศาจเฒ่าผู้นี้จะสาธยายเกียรติภูมิเก่าก่อนของตน และส่งศัตรูสู่โลกหน้าภายใต้สายตาหวาดกลัวสิ้นหวังของพวกเขา
ควรค่ากล่าวถึงว่าอสูรเพลิงสายฟ้าหวังชงหลูและ ‘เพชฌฆาตเฒ่า’ ซางเทียนเชวียล้วนแล้วแต่เป็น ‘เจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์’!
ว่าไปแล้ว อสูรเพลิงสายฟ้าผู้นี้ในอดีตอ่อนแอกว่าเพชฌฆาตเฒ่ามากนัก และความแข็งแกร่งในหมู่เจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ก็อยู่รั้งท้าย
ทว่ายามนี้ คนผู้นี้ดูจะกลายเป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางไปแล้ว!
‘นั่นสินะ เพชฌฆาตเฒ่าถูกจองจำโดยมารผจญใจมาสามหมื่นหกพันปี การฝึกฝนของเขาจึงคงเดิมไม่อาจก้าวหน้า ป่านนี้จึงมิอาจเลี่ยงหากหวังชงหลูจะไล่ตามทัน’
ซูอี้ลอบคิด
ทว่าเขาก็รู้ว่าหลังจากช่วยเพชฌฆาตเฒ่ากำราบมารผจญใจเมื่อไม่นานนี้ ด้วยการสั่งสมฝึกฝนของเพชฌฆาตเฒ่าตลอดสามหมื่นหกพันปี เขาก็สามารถเลื่อนขอบเขตเข้าสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายได้โดยง่าย!
เทียบกันแล้ว ผู้ที่ดึงความสนใจของซูอี้ได้มากกว่าคือคู่ต่อสู้ของอสูรเพลิงสายฟ้าหวังชงหลู!
ส่วนชายชราชุดดำผู้นั้นคือพัศดีผู้ควบคุม ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’!!
หอเก้าสวรรค์ ขุมกำลังซึ่งตั้งอยู่ใน ‘ภูมิดาราวอนสวรรค์’ กลับมาปรากฏในทะเลทุกข์ ซูอี้จะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
ในฐานะ ‘พัศดี’ ของหอเก้าสวรรค์ พวกเขาทั้งหมดล้วนมีการฝึกฝนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
ชายชราชุดดำผู้นี้ก็มีการฝึกฝนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย
ทว่าอำนาจของ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’ ที่เขาบรรลุนั้นกล่าวได้ว่าท้าทายอำนาจสวรรค์นัก ดังนั้นเมื่อเขาต่อสู้กับหวังชงหลูจึงยังต่อกรได้สูสี!
สิ่งนี้น่ากลัวโดยไม่ต้องสงสัย
“ผู้ลงทัณฑ์ที่ห้า ม่อชวนปรากฏขึ้นหน้าศิลาหลุมศพในเมืองมรณะ ในขณะที่พัศดีผู้นี้ปรากฏในทะเลทุกข์ หรืออำนาจของหอเก้าสวรรค์จะเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ภูมิมืดมิดแล้ว?”
ดวงตาของซูอี้วูบไหว “ยามนี้ เกรงว่ายมบาลผู้นั้นคงออกมายังทะเลทุกข์แล้ว หากได้เจอพัศดีผู้นี้ จะเกิดอันใดขึ้นกันหนอ?”
แรกเริ่มเดิมที ยมบาลเคยเป็น ‘จ้าวเรือนจำ’ ของหอเก้าสวรรค์มาก่อน ในแง่ตำแหน่งแล้ว จ้าวเรือนจำนั้นสูงส่งเกินกว่าจะตำแหน่งพัศดีจะเทียบได้
ทว่ายมบาลนั้นได้ผิดต่อ ‘สัตย์ปฏิญาณมหาวิถี’ ที่เคยสาบานไว้ในหอเก้าสวรรค์ และเต็มไปด้วยความชิงชังต่อหอเก้าสวรรค์ไปเสียแล้ว
เนื่องด้วยเหตุนี้ หากนางได้พบคนจากหอเก้าสวรรค์ เรื่องราวต้องน่าสนใจมากเป็นแน่
แค่คิดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ลุกจากเรือไร้อับปาง มองการต่อสู้ใต้นภาไกลออกไป ไร้เจตนาเข้าสอดมือแม้เพียงนิด
เขาไม่ได้คุ้นเคยกับหวังชงหลู
เพราะในอดีตชาติของเขา กระทั่งเพชฌฆาตเฒ่ายังพ่ายราบคาบ อย่าว่าแต่หวังชงหลูในขณะนั้นซึ่งอ่อนแอกว่าเพชฌฆาตเฒ่ามาก
ทว่าซูอี้ก็เห็นว่าในศึกนี้ แม้ว่าหวังชงหลูจะบาดเจ็บสาหัสและดูร่อแร่ แต่เขาถือไพ่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะเดียวกัน พัศดีผู้นั้นจะสู้ต่อไม่ไหวแล้ว หากไม่ใช่เพราะพลังของ ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’ ที่ตนสำเร็จมา คงพ่านไปแสนนาน
“ระหว่างขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำและรู้แจ้งลึกล้ำห่างไกลกันมาก แต่กฎเกณฑ์วอนสวรรค์กลับสามารถทำให้ปีศาจเฒ่าอย่างหวังชงหลูบาดเจ็บสาหัสได้ แข็งแกร่งมากจริง ๆ”
ซูอี้ลอบรำพึง
กฎเกณฑ์มหาวิถีเช่นนี้ เขาก็เพิ่งมาได้เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่แหละ กล่าวให้กระชับก็คือ อำนาจเช่นนี้ไม่ได้ต่างไปจากหายนะมหาวิถีเลย
หากผู้ลงทัณฑ์ม่อชวนลงมือ หวังชงหลูและตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางทั้งหลายในภูมิมืดมิดคงไม่อาจยื้อได้นาน และถูกสังหารลงอย่างรวดเร็วเป็นแน่
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเย้ยหยันของหวังชงหลูก็ก้องมาจากไกล ๆ
“ตาเฒ่าผู้นี้อยู่บนโลกมาแสนนาน บั่นหัวจักรพรรดิมานับร้อยพัน แทบไร้ปราชัย กระทั่งขุมกำลังสูงสุดในภูมิมืดมิดยังหวาดกลัวข้า ‘อสูรเพลิงสายฟ้า’ ผู้นี้!”
เสียงของเขาเลือนลั่นราวมังกรคำราม สะท้านนภารัตติกาล สร้างคลื่นคลั่งป่วนสมุทร
ร่างสูงของหวังชงหลูคว้าคอชายชราชุดดำด้วยหนึ่งมือกลางอากาศ สีหน้าดูแคลน ปราบศัตรูลงอย่างอยู่หมัด!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ริมฝีปากของซูอี้ก็กระตุกน้อย ๆ
ว่าแล้วเชียว แม้จะไม่ได้เห็นเขามาหลายหมื่นปี แต่ปีศาจเฒ่านี่ก็ยังชอบคุยโอ่ก่อนฆ่าศัตรู ไม่เปลี่ยนไปเลย
“หากเจ้าเป็นตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำและไม่พึ่งพลังของหายนะมหาวิถี ในสายตาตาเฒ่าผู้นี้ เจ้าก็ไม่ต่างจากไก่จากหมา!”
ร่างของหวังชงหลูเต็มไปด้วยอสนีบาตเพลิงทิพย์ อำนาจทรงพลังพลุ่งพล่านกดดัน วาจาดูแคลนเกินคำบรรยาย
ตู้ม!
เสียงของเขายังไม่ทันเลือนหาย ฝ่ามือของหวังชงหลูก็ออกแรง อสนีบาตเพลิงทิพย์สีม่วงทะลักไหล แผดเผาร่างชายชราชุดดำเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
หวังชงหลูปัดเสื้อผ้าของเขา หยิ่งผยองขึ้นทุกขณะ
ทว่าเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าชายชราชุดดำตายไป เหลือไว้เพียงหอกอสรพิษแปดจั้งพัง ๆ สีหน้าของเขาพลันดำสนิท โมโหเล็กน้อย
“บัดซบ เจ้าผู้นี้จนเกินไป… ครานี้ข้าขาดทุนย่อยยับเลย”
กล่าวไป แล้วเขาก็ยกมือขึ้นเก็บหอกอสรพิษไป
หลังจากนั้น หวังชงหลูก็เหลือบสายตาไปมองซูอี้ผู้ยืนอยู่บนเรือไร้อับปาง “เจ้าหนู เห็นพอหรือยัง?”
ว่าพลาง ร่างของเขาก็วูบไหว และปรากฏตัวลอยเหนือเรือด้วยคู่เนตรเย็นชา สายตามองลงมายังซูอี้พินิจหัวจรดเท้า
“เจ้ากลัวมากหรือไร ไฉนจึงไม่พูด?”
หวังชงหลูยิ้มเยาะ “อย่าห่วงเลย คนอย่างตาเฒ่าผู้นี้มิคิดรังแกปลาซิวปลาสร้อยเช่นเจ้าหรอก”
แววตาของซูอี้แปลกพิกล เขาอ้าปากอยากพูดบางอย่าง
หวังชงหลูกล่าวลอย ๆ “อย่าอึ้งสิ พาตาเฒ่าผู้นี้ไปเมืองรัตติกาลนิรันดร์ที และเมื่อไปถึง เจ้าจะได้รับการตอบแทน”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ได้”
หวังชงหลูดูพอใจ กล่าวว่า “เจ้าฉลาดนี่ ลงมือเร็วเข้า”
เขากล่าวจบ อกของเขาก็กระเพื่อมแรง ใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็หันขวับไปกระอักไออย่างรุนแรงลงทะเล
มุมปากของเขามีโลหิตทะลักไหลไม่อาจควบคุม
บรรยากาศที่เดิมขึงขังอหังการของเขาเหมือนดั่งลูกโป่งถูกเจาะ มันอ่อนแอลงมากในฉับพลัน ใบหน้าของเขาซีดขาว ดวงตาเลื่อนลอย
ซูอี้มองปราดเดียวก็เห็นว่าปีศาจเฒ่าผู้นี้บาดเจ็บสาหัส และรู้ชัดเจนว่าอวัยวะภายในกับเลือดของเขาเสียหายหนักจากพลังกฎเกณฑ์วอนสวรรค์
“เจ้าบัดซบนั่นมีพลังอันใดกันแน่? ประหลาดร้ายกาจนัก…”
หวังชงหลูเช็ดคราบเลือดออกจากปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
ทันใดนั้น เขาก็หันขวับมามองซูอี้ และดุด่าอย่างไม่ชอบใจยิ่ง “เจ้ามัวมองอันใด ไปสิ!”
ซูอี้แย้มยิ้ม ไม่ใส่ใจปีศาจเฒ่า และยอมลงมือตามที่ขอ
วูบ!
เรือไร้อับปางเคลื่อนผ่านคลื่นลม มุ่งหน้าลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ท่ามกลางราตรี
หวังชงหลูนั่งขัดสมาธิและนำโอสถสมุนไพรออกมารักษาบาดแผล
ซูอี้นั่งลงที่กราบเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก พลางยกสุราขึ้นดื่มเงียบ ๆ
“เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าตาเฒ่าผู้นี้คือใคร?”
ทันใดนั้น หวังชงหลูก็อ้าปากพูดพลางมองซูอี้ด้วยดวงตาลึกล้ำ
เขาสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาผู้นี้สุขุมเยือกเย็นตลอดเวลาราวไม่รู้ว่ามีสิ่งใดต้องกลัว
มันทำให้เขารู้สึกว่าแปลก
ควรค่าจดจำว่า แม้จะเป็นตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากขุมกำลังสูงสุด หลังได้เห็นศึกเมื่อครู่ ก็น่าจะรู้แล้วว่าตนกำลังเผชิญกับตัวตนร้ายกาจเพียงไรอยู่
อย่าว่าแต่กลัวตาย อย่างน้อยก็ต้องประหม่าหวาดระแวงบ้าง
ทว่าชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าเขาผู้นี้กลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแม้เพียงน้อย
ซูอี้ตอบอย่างเลื่อนลอย “หนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ จะมีผู้ใดบ้างไม่รู้จัก อสูรเพลิงสายฟ้า หวังชงหลู?”
หวังชงหลูยกยิ้มผยอง “ไม่คาดว่าสายตาเจ้าจะดีเยี่ยม ทว่า…”
สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เจ้าไม่กลัวหรือว่าตาเฒ่าผู้นี้จะฆ่าเจ้าแล้วชิงเรือไร้อับปางไป?”
ซูอี้หัวเราะกล่าว “ข้าไม่เชื่อว่าตัวตนเช่นเจ้าจะทำเรื่องน่ารังเกียจไร้ยางอายเช่นนั้น”
หวังชงหลูผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะกล่าวอย่างภาคภูมิ “เจ้าพูดถูก ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ในทะเลทุกข์มาหลายพันหมื่นปี และไม่เคยรังแกปลาซิวปลาสร้อยเช่นเจ้า”
กล่าวจบ สีหน้าของเขาก็อ่อนลงมาก พลางกล่าวว่า “ตาเฒ่าผู้นี้เห็นได้ว่าเจ้าต้องมีภูมิหลังเหนือธรรมดาเป็นแน่ ออกเดินทางเผชิญโลก ผู้อาวุโสบ้านเจ้าต้องคาดหวังกับเจ้าไว้สูง ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งเรือไร้อับปางนี้ให้เจ้าใช้”
ซูอี้ยิ้ม ไม่ตอบคำถาม ทว่าถามกลับ “เจ้าจะไปทำอันใดในเมืองรัตติกาลนิรันดร์หรือ?”
หวังชงหลูโบกมือกล่าว “ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าถามเลย หาไม่ ถ้าเจ้าถูกลากมาพัวพัน ด้วยมือเท้าเล็กจ้อยของเจ้า เกรงว่าคงพังสลายเสียเปล่า ๆ”
กล่าวจบ เขาก็กระอักไออย่างแรงอีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยเนื่องด้วยความเจ็บปวด
เขาไม่กล้าพูดมากกว่านี้ กลั้นหายใจและทำสมาธิพักฟื้น
ทว่า สองชั่วยามจากนั้น หวังชงหลูก็ลืมตาขึ้นอีก
เขาจ้องมองซูอี้ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็โพล่งขึ้นว่า “เจ้าหนู ช่วยตาเฒ่าผู้นี้อีกสักครั้งได้หรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ว่ามาสิ”
“อย่างน้อยก็สามวัน เราจะไปถึงเมืองรัตติกาลนิรันดร์ หากเกิดสิ่งใดขึ้นในสามวันนี้ ข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อต่อสู้ยื้อชีวิตเจ้า”
เขาสูดหายใจลึก สีหน้าจริงจังมาก “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ให้เจ้าช่วยข้าส่งหยกชิ้นหนึ่งให้กับยามผู้หนึ่งที่กำแพงเมืองอาคเนย์ของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ที”
ซูอี้เลิกคิ้ว “ยามบอกเวลาหรือ?”
หวังชงหลูอดแปลกใจไม่ได้ เขากล่าวอย่างฉงน “ใช่ เจ้าหนู เจ้าก็รู้จักตาเฒ่าผู้นั้นหรือ?”