บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 951: เจ้าติดหนี้ชีวิตข้า
ตอนที่ 951: เจ้าติดหนี้ชีวิตข้า
ยามบอกเวลา
กระทั่งผู้ฝึกตนที่อยู่ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ตลอดทั้งปี ยังมีน้อยคนนักที่รู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ผู้เฒ่าลึกลับ’ ผู้นี้
และผู้ที่รู้เรื่องของ ‘ยามบอกเวลา’ ก็ยากจะเผยเรื่องราวเกี่ยวกับเขา
นี่คือกฎที่บัญญัติไว้แต่โบราณ
ทว่าหวังชงหลูไม่เคยคาดคิดว่าชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะรู้จักยามบอกเวลาด้วย
แต่ไม่นานนัก หวังชงหลูก็เข้าใจ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สามารถควบคุมเรือไร้อับปางเดินทางสู่ทะเลทุกข์ลำพัง คงน่าจะมาจากขุมกำลังสูงสุดสักที่เป็นแน่ อย่าว่าแต่ต้องมีตัวตนแข็งแกร่งร้ายกาจยิ่งอยู่เบื้องหลังเขาด้วย
ไม่น่าแปลกใจหากคนเช่นนี้จะรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ยามบอกเวลา’
“ในเมื่อเจ้ารู้จักยามบอกเวลา งั้นก็จัดการง่าย”
กล่าวจบ หวังชงหลูก็นำม้วนหยกม้วนหนึ่งจากแขนเสื้อตนส่งให้ซูอี้ “เก็บม้วนหยกนี่ไปสิ”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “เจ้าส่งให้เขาเองเถอะ”
หวังชงหลูแค่นเสียงอย่างเย็นชา “กระไรเล่า เจ้ากังวลว่าเรื่องนี้จะสร้างปัญหาให้เจ้าหรือไร?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย มองอีกฝ่ายด้วยแววตาลึกล้ำ “ผิดแล้ว ข้าคิดเพียงว่าเจ้าน่าจะมีโอกาสรอดกลับเมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้”
หวังชงหลูผงะไปชั่วครู่ รู้สึกตื้นตัน
เนิ่นนานมาแล้ว เขาถูกมองเป็นปีศาจเฒ่าผู้เลื่องลือ ยักษ์ใหญ่ในวิถีปีศาจที่ไม่ว่าใครพูดถึงล้วนต้องเปลี่ยนสีหน้า
ทว่า นี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินใครบางคนกล่าวปลอบโยนเขา
และยังเสนาะหูยิ่งนัก!
ครู่ถัดมา สีหน้าของหวังชงหลูก็ค่อย ๆ อ่อนลง ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “เจ้าพูดเก่งเอาการ แต่ตาเฒ่าผู้นี้ทำเพียงเผื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ไฉนจึงไม่บอกข้าเล่าว่ามีสิ่งใดสลักในม้วนหยกนี้?”
หวังชงหลูส่ายหน้า “เจ้าไม่ใช่คนชั่ว ข้าไม่อยากให้เจ้ามาพัวพันด้วย หากเกิดสิ่งใดกับเจ้า โลกคงล้อเลียนข้า หวังชงหลูว่าไร้สามารถ กระทั่งเด็กน้อยยังปกป้องมิได้เป็นแน่”
“…”
“เอ้า รับไปสิ”
หวังชงหลูยัดม้วนหยกไปทางซูอี้
ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ เขารับม้วนหยกขึ้นมาเปิดอ่าน
“เจ้ากล้า!”
หวังชงหลูโกรธเสียจนอุทานลั่นด้วยโทสะ เขาเตรียมคว้าม้วนหยกกลับ
“หากอยากให้ข้าช่วย ก็ไม่ควรหยุดข้านะ”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ โดยไม่ได้เงยหน้า
หวังชงหลูผงะไป สีหน้าของเขาดูแปลกใจเล็กน้อย
ท่าทางเฉยเมยเยือกเย็นของชายหนุ่มตรงหน้าเขาดูไม่กังวลเลยว่าตนเองจะทำอันใดกับอีกฝ่าย!
“เจ้าไม่กลัวเผชิญปัญหาหรือไร?”
สีหน้าของหวังชงหลูดูซับซ้อน
“ไฉนจึงต้องกลัว?”
ซูอี้ถามกลับ
ขณะกล่าว จิตสัมผัสของเขาก็ทะลวงสู่ม้วนหยกเพื่ออ่านข้อความข้างใน
“ไฉนจึงต้องกลัว…”
หวังชงหลูทวนวาจาประโยคนั้น และเมื่อมองไปที่ซูอี้เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างละเอียดอ่อน
นี่คือคราแรกที่เขาได้พบชายหนุ่มประหลาดเช่นนี้
ดูเหมือนแม้นภาจะถล่มลง ก็ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวได้
ยิ่งกว่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าตาเฒ่าผู้ดุร้ายลือนามเช่นเขา อีกฝ่ายกลับเยือกเย็นมาแต่ต้นจนจบ ไม่ห่อตัวหรือกลัวจนเงียบเสียงไปแม้แต่น้อย
หัวใจและความกล้าเช่นนี้หาได้ยากจริงแท้
ทว่า นี่ก็ยิ่งทำให้หวังชงหลูรู้สึกชอบมากขึ้น
โลกนี้ไม่ขาดอัจฉริยะเจิดจรัส ในอดีตกาล หวังชงหลูได้เห็นเทพเซียนทะนงตนมามากมาย
ทว่ากลับไม่เคยได้พบผู้ใดที่สามารถรักษาความเป็นตนเองอย่างเยือกเย็นต่อหน้าปีศาจเฒ่าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้เช่นชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้
เขาไม่ได้แสร้งทำ แต่ทั้งใจและวิญญาณเป็นเช่นนี้
หาได้ยากนัก
ซูอี้เมินสิ่งที่หวังชงหลูกำลังคิด
เมื่อเขาได้อ่านสิ่งที่บันทึกในม้วนหยก หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
ม้วนหยกบันทึกไว้ว่า เร็ว ๆ นี้กำลังจะเกิดการล่าสังหารยมราชดาบคลั่งหลิ่วฉางเซิงขึ้น!
หลิ่วฉางเซิงคือหนึ่งในหกยมราชแห่งภูมิมืดมิด เป็นผู้ครองวิชาดาบดุจตำนานในโลกหล้า
เนิ่นนานมาแล้ว คนทุกผู้ล้วนกล่าวไว้ว่าดาบของหลิ่วฉางเซิงสามารถสยบผู้ฝึกดาบทั่วภูมิมืดมิดได้!
ตอนกลางวัน ซูอี้ก็ได้เรียนรู้มาเช่นกันว่าไม่นานมานี้ หลิ่วฉางเซิงปรากฏกายขึ้นในเมืองรัตติกาลนิรันดร์
ซูอี้ในยามนั้นใคร่รู้นัก ว่าคนเช่นหลิ่วฉางเซิงจะไปทำอันใดในเมืองรัตติกาลนิรันดร์
และยามนี้ เมื่อเรียนรู้ข่าวนี้จากม้วนหยกของหวังชงหลู ซูอี้จะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
ในยามที่ซูอี้กำลังครุ่นคิดนั้นเอง หวังชงหลูพลันรำพึง
“ช่างโชคร้าย ข้าและเจ้าพบกันในยามไม่เหมาะสม หาไม่ ตาเฒ่าผู้นี้คงไม่รังเกียจที่จะถ่ายทอดวิชาต่อให้เจ้า”
หลังได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของซูอี้ก็แปรเปลี่ยนจนดูตลก
เขาเห็นได้ว่าปีศาจเฒ่าดูจะชื่นชมเขามาก
เพียงแต่ว่าการที่เจ้าปีศาจเฒ่าจะมาเป็นอาจารย์เขาได้นั้น เห็นได้ชัดว่าคิดตามอำเภอใจสุด ๆ!
หลังครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็เปลี่ยนประเด็น “ผู้ใดคิดจัดการกับหลิ่วฉางเซิงหรือ?”
หวังชงหลูส่ายหัว “เจ้าเห็นข่าวแล้ว แม้แต่ยอดผู้ฝึกดาบอย่างหลิ่วฉางเซิงยังประสบหายนะ ปลาซิวปลาสร้อยเช่นเจ้าจะเข้าไปพัวพันได้เช่นไร? ข้าขอแนะให้เจ้าลืมไปเสียเถอะ”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวเบา ๆ “บอกคำตอบข้า และข้าจะประกันได้ว่าเจ้าจะรอดชีวิตไปถึงเมืองรัตติกาลนิรันดร์”
หวังชงหลูตะลึงไปแล้วพูดยิ้ม ๆ “เจ้าน่ะหรือ?”
ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะ “เจ้ามีฝีมือและความกล้านะ แต่วาจาของเจ้าสามหาวไปหน่อย”
“สามหาว?”
ซูอี้เองก็แย้มยิ้ม เตรียมพูดบางอย่าง
ทว่ายามนั้นเอง ไกลออกไปบนนภารัตติกาล พลันเกิดเสียงแหวกอากาศดังสนั่น
วูบ!
รุ้งทิพย์สีเงินสายหนึ่งทะลวงผ่านราตรีราวดาวตก พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วเหลือเชื่อ
“ไม่ดีแล้ว! คนของพวกมันกำลังมา!”
หน้าของหวังชงหลูเปลี่ยนสีกะทันหัน เขาผุดลุกขึ้น แววตาเปี่ยมความเย็นชา
“เจ้าหนูเตรียมตัวนะ ข้าจะส่งเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ หนีไปให้ไกลที่สุด จำไว้ว่าอย่าเหลียวหลัง!”
หวังชงหลูสูดหายใจลึก ๆ เปี่ยมด้วยจิตสังหาร อัสนีบาตเพลิงทิพย์ปะทุลุกโชนทั่วกาย
ซูอี้มองตามขึ้นไป และพบว่ารุ้งทิพย์สีเงินมาหยุดลงกะทันหันห่างออกไปร้อยจั้ง และแปรเปลี่ยนเป็นชายชุดสีเงินผู้หนึ่ง
ผมยาวรวบเป็นมวย เหน็บหอกเล่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง สีหน้าเย็นชาเฉยเมย ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงทมิฬคลั่งสังหาร
พัศดีอีกหนึ่งคน!
ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้
หรือ ‘หอเก้าสวรรค์’ ซึ่งอยู่ห่างไกลในจักรวาลพร่างดาวจะส่งกลุ่มยอดฝีมือมายังทะเลทุกข์ ณ ยามนี้?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็รีบกล่าวขึ้น “ข้าจะช่วยเจ้าสังหารศัตรู เจ้าตอบคำถามที่ข้าอยากรู้ได้หรือไม่?”
บอกจะช่วยเขาฆ่าศัตรู อีกฝ่ายมิเห็นหรือไรว่าคู่ต่อสู้ผู้นี้ร้ายกาจเพียงไร?
“อย่าพูดมาก เร็วเข้าเถอะ!”
หวังชงหลูกล่าว จากนั้นร่างของเขาก็ทะยานขึ้นสู่ฟ้า
เขากล่าวพลางมองไปยังชายชุดสีเงินซึ่งอยู่ไกล ๆ ด้วยสีหน้าถมึงทึง “พวกเจ้า ‘สำนักสุดวิถี’ ช่างหลอกหลอน กัดไม่ปล่อยจริงแท้!”
สำนักสุดวิถี?
ซูอี้ตะลึง ชายชุดสีเงินคือพัศดีผู้หนึ่งจากหอเก้าสวรรค์ชัด ๆ ไฉนหวังชงหลูจึงเรียกเขาเป็นคนจากสำนักสุดวิถีไปได้?
หรือมีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ในนั้นกันแน่?
“แปลกด้วยหรือ เจ้าขโมยความลับที่ไม่ควรขโมยไปนี่”
ไกลออกไป ชายชุดสีเงินลงมือโจมตีทันที
ตู้ม!
ทันทีที่เขาขยับตัว ร่างของเขาก็ราวลูกศรหลุดจากคันธนู ใช้หอกศึกในมือทะยานหมายสังหารหวังชงหลูอย่างป่าเถื่อน
กฎเกณฑ์วอนสวรรค์อันร้ายกาจแปรเปลี่ยนเป็นแสงทมิฬฉาบบนหอกของชายชุดสีเงิน ทำให้การโจมตีของเขาเต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้างอันเกินกล่าวถึง
สุญญะปั่นป่วน รัตติกาลดูราวถูกผ่าแยก อำนาจร้ายกาจทะยานผ่าน ส่งผลให้ทะเลพลันม้วนป่วน
หากเขาอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม หวังชงหลูคงไม่กลัวศัตรูเช่นนี้
ทว่ายามนี้เขาบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ได้ฟื้นตัว ดังนั้นเขาจึงเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดแต่เริ่ม
ทว่าแม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน เมื่อเขาเห็นว่าซูอี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปยังไม่ยอมไปไหน หวังชงหลูพลันขู่ฟ่ออย่างโกรธเคือง “ไอ้หนู หากข้าตายไป เจ้าจะหนีเช่นไร? ไปเร็วเข้า ไสหัว—!”
ฉับ!
ไหล่ของหวังชงหลูถูกฟันลึกเสียจนมองเห็นกระดูก โลหิตกระฉูดสาด
หากเขาหลบไม่ทัน การโจมตีนี้คงทะลวงคอของเขาแล้ว!
สิ่งนี้ทำให้หวังชงหลูตกใจเหงื่อแตก ไม่กล้าแบ่งสมาธิอีกต่อไป เขาจึงเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือด
“เจ้าตายแน่ และเจ้ามดตัวจ้อยนั่นด้วย”
ชายชุดสีเงินกล่าวอย่างเฉยชา
ตู้ม!
การโจมตีของเขาดุดันไร้ปรานี และในพริบตา หวังชงหลูก็ถูกต้อนจนไม่อาจขัดขืน บาดเจ็บสาหัส โลหิตทะลักจากปาก
ยามนี้ หนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ผู้ทรงเกียรติ อสูรเพลิงสายฟ้านั้นบาดเจ็บใกล้ตายด้วยน้ำมือตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ!
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็รำพึงเบา ๆ “หวังชงหลู เจ้าติดหนี้ชีวิตข้า”
“อันใดนะ?”
หวังชงหลูผู้พยายามฝืนสุดตัวใกล้บ้าเต็มที นี่มันบ้าอันใด ไม่เพียงไม่หนีไป ยังกล่าววาจาที่ไม่อาจเข้าใจด้วย เจ้าเด็กนี่บ้าหรือไร?
ทว่ายามนี้ ในคลองจักษุของเขาพลันเห็นซูอี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปเคลื่อนเข้ามาใกล้
“เจ้า…”
หวังชงหลูอ้าปากจะพูดบางอย่าง
ชิ้ง!
เขาเห็นปราณดาบสายหนึ่งทะยานสู่ฟ้า เจิดจ้าพรรณรายดุจทองเทวะ สาดรัศมีปกคลุมนภามืดมิดนี้จนสว่างไสว
ยามนี้ มันดูราวตะวันดวงใหญ่ผุดขึ้นเหนือทะเล ทอแสงสว่างไสว
ดวงตาของหวังชงหลูหรี่ลง เจ็บแปลบเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
หัวใจของชายชุดสีเงินหนาววูบ สีหน้าเย็นชาไม่แยแสของเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รู้สึกราวกับถูกคุกคามอย่างไม่อาจบรรยาย
เขาหันกลับมาอย่างไร้ลังเล ทุ่มพลังสุดตัวแทงหอกในมืออย่างแรง
แทบจะในยามเดียวกัน ปราณดาบของซูอี้ก็ฟันลง
ตู้ม!
ฟ้าดินสะเทือนสนั่น ตะวันจันทราดับรัศมี
คลื่นอำนาจทำลายล้างเดือดพล่าน บริเวณทะเลในรัศมีหลายพันจั้งกู่คำราม ซัดเกลียวคลื่นคลั่งหลายพันหมื่น
ทว่าภายใต้สายตาเหลือเชื่อของหวังชงหลู เขาเห็นชายชุดสีเงินผู้ถือครองอำนาจต้องห้ามราวหายนะมหาวิถีถูกฟาดฟันกระเด็นไปด้วยปราณดาบนั้น
ร่างของอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งหลักได้ โลหิตก็รินหลั่งจากจมูกปาก
กระทั่งหอกศึกในมือยังกรีดร้องลั่น!
“นี่…”
แม้ว่าหวังชงหลูจะอยู่ในสนามรบมาแสนนาน ประสบความเป็นไปในโลกหล้ามากมาย แต่เขาก็ยังอดตะลึงไม่ได้
ทว่าเมื่อซูอี้ลงมือ เขาจะยั้งมือได้เช่นไร?
ขณะที่ชายชุดสีเงินเพิ่งตั้งหลักได้ เขาก็ได้ลงมือโจมตีอีกครั้งแล้ว มือของชายหนุ่มโบกขึ้น ส่งปราณดาบเจิดจ้าทะยานลงอีกครั้ง
ท่วงท่าเช่นนั้นราวเทพดาบแผลงฤทธิ์ ร้ายกาจไร้ขอบเขต!