บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 952: สำนักสุดวิถี
ตอนที่ 952: สำนักสุดวิถี
ชายชุดสีเงินหรี่ตาลง จากนั้นเขาก็ขวางหอกต่อต้าน
แกร๊ก!
หอกหักออกเป็นสอง
ปราณดาบเฉิดฉายยังคงมิแผ่วอำนาจ ชายชุดสีเงินถูกฟันกระเด็นไปอีกครั้ง ชั้นเกราะที่ปกคลุมร่างแตกสลาย แผลดาบลากยาวจากไหล่ซ้ายสู่ซี่โครง
เกือบไส้ทะลัก!
ชายชุดสีเงินตกใจหน้าซีด ความกลัวเกาะกุมหัวใจอย่างไม่อาจกล่าว
ตัวเขาเองอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย ควบคุมอำนาจกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งร้ายแรงต้องห้าม
ทว่ายามนี้ เขากลับพบว่ากฎเกณฑ์วอนสวรรค์ซึ่งตนถือว่าแข็งแกร่งที่สุดกลับดูเหมือนของปลอม เมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้นี้!
เมื่อคิดตกแล้ว เขาก็หันหลังหนีไปทันที
“หนึ่งสิ่งไม่ควรทำพลาดเกินสามหน สามดาบก็ฆ่าตัวตนเช่นเจ้าได้แล้ว”
ซูอี้กล่าวด้วยเสียงเฉยเมย และปราณดาบสายหนึ่งก็พุ่งออกไป
ไกลออกไปร้อยจั้ง
ร่างของชายชุดสีเงินพลันแยกจากตรงกลางเป็นสองเสี่ยงและร่วงจากอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีสลายไป
กลายเป็นเถ้าถ่าน!
ทั้งหมดใช้เพียงสามดาบ แทบไม่อาจรับรู้ได้เลย
ไกลออกไป หวังชงหลูผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดชัดแจ้งอดตะลึงไม่ได้ นี่… มันจะโหดเกินไปแล้วไม่ใช่หรือ?
เจ้าหนูนี่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณชัด ๆ อายุก็เพียงสิบเจ็ดสิบแปด ไฉนจึงมีอำนาจท้าทายสวรรค์ถึงเพียงนี้?
เพราะขนาดตาเฒ่าเช่นเขา แม้จะอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางในสภาพสมบูรณ์พร้อม ก็ยังต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสังหารคู่ต่อสู้เช่นนี้!
ในขณะที่หวังชงหลูยังจมในภวังค์ ซูอี้ก็กลับมายังเรือไร้อับปาง เขานั่งลงที่หัวเรือและกล่าวว่า “เอาล่ะ เจ้าตอบคำถามของข้าได้หรือยัง?”
หวังชงหลูพลันตื่นจากภวังค์
เขาสูดหายใจลึก ๆ และจ้องมองชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้า ครู่ต่อมาก็กล่าวว่า “เจ้าก็บอกมาก่อนสิ ว่าเจ้ามีที่มาเช่นไร?”
เขาไม่อาจสงบใจได้ กระทั่งละอายเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ตลอดมา เขาเชิดหน้าทำตัวสูงส่งราวเป็นผู้เลิศล้ำเหนือโลกหล้า
ทว่ายามนี้ หวังชงหลูตระหนักแล้วว่าตนเป็นตัวตลก!
เมื่อคิดเช่นนี้ ความรู้สึกอับอายก็ทะลักสู่ใจของเขาราวคลื่นน้ำ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจนัก
“เจ้าไม่มีช่องให้ต่อรองนะยามนี้”
ซูอี้หัวเราะ “ข้าจะนับถึงสาม หากไม่ตกลง ข้าจะโยนเจ้าลงทะเล ถึงการกระทำเช่นนี้จะไม่ถึงตาย แต่หากเรื่องกระจายออกไป ชื่อเสียงของเจ้าคงเสียหายแน่แท้”
หวังชงหลูพลันตวาดอย่างเดือดดาล “เจ้ากล้า!”
ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณกล้าขู่เขา คิดจริง ๆ หรือว่าอสูรเพลิงสายฟ้าเป็นพวกรังแกง่าย?
ซูอี้เมินคำขู่ไร้น้ำยานี้ และเริ่มนับ “หนึ่ง”
“เจ้า…”
หวังชงหลูชี้นิ้วไปทางซูอี้ โกรธเสียจนพูดไม่ออก
เขาไม่คาดว่าเจ้าเด็กน้อยที่ถูกเขาข่มขู่มาก่อนจะได้ทีขี่แพะไล่ เอาเปรียบเช่นนี้
เขาโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด
“สอง”
ซูอี้จิบสุราอย่างสบายใจ
หวังชงหลูผู้เดิมโกรธนักอดลนลานมิได้เมื่อเห็นท่าทางไม่แยแสของซูอี้
เขาสังหรณ์ว่าหากไม่ยินยอมคล้อยตาม เจ้าเด็กนี่คงโยนเขาลงทะเลจริง ๆ แน่!
“สาม”
ทันทีที่ซูอี้กล่าวเช่นนี้ หวังชงหลูก็กล่าวอย่างโมโห “เจ้าเด็กป่าเถื่อน! อยากรู้อันใดก็ถามมาสิ!”
เขานั่งลง จากนั้นก็หยิบโอสถเยียวยาเข้าปากเคี้ยวอย่างดุเดือด ราวกับสิ่งที่เขากำลังเคี้ยวไม่ใช่เม็ดโอสถ แต่เป็นเลือดเนื้อของซูอี้ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม
เมื่อเห็นสีหน้าชิงชังนั้น ชายหนุ่มก็อดอมยิ้มไม่ได้
“ยังคงเป็นคำถามเดิม ผู้ที่คิดจะลงมือกับหลิ่วฉางเซิงคือใคร?”
ซูอี้ถาม
ยามนี้ หวังชงหลูพลันรู้สึกเหมือนตนกลายเป็นผู้น้อยที่ถูกผู้ใหญ่สอบถาม
สิ่งนี้ทำให้เขาหดหู่ใจไม่น้อย และตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง “คนที่เจ้าฆ่าไปมาจากสำนักสุดวิถี และครั้งนี้พวกเขาก็คือพวกที่จะจัดการกับยมราชดาบคลั่ง”
ซูอี้ถาม “สำนักสุดวิถี? ไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินมันมาก่อน? เจ้ารู้จักพวกเขามาก่อนหรือไม่?”
หวังชงหลูดูไม่แน่ใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ตาเฒ่าผู้นี้ก็ยังมองไม่ออกว่าขุมกำลังปริศนานี้มาจากหนใด จู่ ๆ พวกมันก็โผล่มาในทะเลทุกข์เมื่อราว ๆ เก้าปีก่อน และยอดฝีมือในสำนักนั้นต่างเรียกตนเองว่า ‘ศิษย์จากสำนักสุดวิถี’ ทั้งสิ้น”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ แววตาของเขาก็เผยความกลัวลึกล้ำ “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ยอดฝีมือที่อ่อนแอที่สุดของขุมกำลังนี้มีระดับฝึกฝนในขอบเขตจักรพรรดิ และมีอำนาจต้องห้ามราวกับหายนะมหาวิถี!”
“เจ้าเห็นข้าฆ่าเจ้านั่นมาก่อนแล้ว แม้ว่าการฝึกฝนของข้าจะแข็งแกร่งเหนือคู่ต่อสู้มาก ทว่ายามฆ่ามันลง ข้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล”
ฟังจบ ซูอี้ก็อดจมสู่ภวังค์ความคิดไม่ได้
เขาจำได้แม่นยำว่าผู้ลงทัณฑ์ที่ห้า ม่อชวนเองก็เข้ามาในเมืองมรณะเมื่อเก้าปีก่อน!
ยิ่งกว่านั้น ยอดฝีมือจากสำนักสุดวิถีทั้งหมดยังสามารถใช้อำนาจกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้ด้วย
จากเรื่องนี้ก็ตัดสินได้ว่า สำนักสุดวิถีที่ว่านั้นก็คือหอเก้าสวรรค์จาก ‘ภูมิดาราวอนสวรรค์’ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว!
“ไฉนพวกเขาจึงคิดจัดการกับหลิ่วฉางเซิงเล่า?”
ซูอี้ถามอีกครั้ง
หวังชงหลูอยากถามนักว่าเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้า เป็นคนในขอบเขตวงล้อวิญญาณแท้ ๆ ไฉนต้องห่วงเรื่องไกลตัวเหล่านี้ด้วย?
ทว่าสุดท้ายเขาก็ยั้งปากไว้
ก็แค่บอกสถานการณ์ ไฉนต้องมัวห่วงคิดมาก?
หวังชงหลูกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด ทว่าข้าได้ยินว่าเมื่อไม่นานนี้ หลิ่วฉางเซิงสังหารคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งของสำนักสุดวิถี ดูเหมือนความแค้นจะเกิดจากเรื่องนี้”
ซูอี้ฟังแล้วเลิกคิ้วขึ้น คนใหญ่คนโตของสำนักสุดวิถี คือผู้ลงทัณฑ์หรือจ้าวเรือนจำกันล่ะ?
เขาตัดสินทันทีว่าไม่น่าใช่จ้าวเรือนจำ เพราะหากจ้าวเรือนจำอย่างยมบาลถูกส่งตัวมา เกรงว่าหากไม่มีพลังในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำคงไม่อาจเป็นคู่ต่อกรได้เลย!
ซูอี้จิบสุรา แล้วจึงถาม “แล้วเจ้าเล่า? ไฉนจึงถูกสำนักสุดวิถีหมายหัวได้?”
หวังชงหลูกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าซวยเองล่ะ ข้าติดหนี้หลิ่วฉางเซิงอย่างใหญ่หลวง เมื่อรู้ว่าเขามีสัมพันธ์แย่ ๆ กับสำนักสุดวิถี ข้าจึงถามเกี่ยวกับความจริงของสำนักสุดวิถี เพื่อหาว่าข้าจะช่วยอันใดหลิ่วฉางเซิงเพื่อชดใช้หนี้ได้บ้าง”
“แต่ใครเล่าจะคิดว่าอำนาจของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งได้เพียงนี้ หากข้ารู้ คงไม่มาพัวพันด้วยเช่นนี้”
เขากล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “แม้จะโชคร้ายไปสักหน่อย แต่เจตนาของเจ้าดีนะ และยิ่งกว่านั้น เจ้ายังได้รู้ด้วยว่าเร็ว ๆ นี้สำนักสุดวิถีคิดจัดการกับหลิ่วฉางเซิงด้วย”
หวังชงหลูสีหน้าอ่อนลง “เจ้ายังฟังข้าอยู่”
ชายหนุ่มคิดสักพัก และถามว่า “จะว่าไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักสุดวิถีส่งศิษย์มาในทะเลทุกข์กี่คน?”
หวังชงหลูส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบคำถามนี้”
ซูอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้
ตัวตนจากหอเก้าสวรรค์มาทำอันใดที่ทะเลทุกข์? สืบเรื่องของพิภพยมราชฝังวิถี? หรือกำลังมองหาเคล็ดเวียนวัฏสงสารกัน?
หรือถูกดึงดูดมาโดยเรือยมโลกสีดำ?
ยามนี้ หวังชงหลูอดกล่าวไม่ได้ว่า “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย ไฉนจึงต้องถามด้วย?”
ซูอี้ตอบยิ้ม ๆ “ข้าอยากรู้น่ะ”
“…”
ใครมันจะไปเชื่อคำเพ้อเจ้อพรรค์นี้
หวังชงหลูสูดหายใจลึก ๆ “อย่างนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่ามีที่มาเช่นไร?”
นี่คือครั้งที่สองที่เขาถามคำถามนี้ออกมา
มันช่างเหลือเชื่อ
ในฐานะอสูรเพลิงสายฟ้าที่ทุกคนในโลกล้วนรู้จัก เขาอยู่ในทะเลทุกข์มาแสนนาน กระทั่งปีศาจมารร้ายทั้งหลายยังยำเกรงเขา ไม่กล้าลบหลู่แม้เพียงน้อย
ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย!
กระทั่งยามนี้ก็ยังรังแกเขาอีก!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อแน่
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ไม่กล่าวคงดีกว่า ข้าเกรงจะทำเจ้ากลัว”
หวังชงหลูงุนงง “?”
ยามนี้ เขารู้สึกเหมือนถูกหมิ่นเกียรติอย่างลึกล้ำ
ทั่วทะเลทุกข์ ผู้ใดบ้างจะไม่ทราบเกียรติภูมิของอสูรเพลิงสายฟ้า และในภูมิมืดมิด ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ชื่อเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์?
ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับบอกว่าที่มาของตน จะทำให้เขากลัว!!
สิ่งนี้แทบทำให้หวังชงหลูหัวเราะอย่างกรุ่นโกรธ “น่าเสียดายนักที่ข้าชื่นชมเจ้ามากว่าเป็นคนระมัดระวังตน ทว่ายามนี้เหมือนเจ้าจะตาบอดเสียแล้ว!”
ซูอี้พยักหน้าเห็นด้วย “สายตาเจ้าแย่จริง ๆ”
หวังชงหลู “…”
เรายังสนทนากันดี ๆ ได้อยู่หรือไม่!?
หลังจากเงียบไปนาน หวังชงหลูก็ระงับความไม่สบายใจและถามว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากบอกที่มา อย่างนั้นบอกชื่อกับข้าได้หรือไม่?”
“ซูอี้”
“แซ่ซูหรือ?”
หวังชงหลูคิดหนัก
เขาคิดไม่ออกอยู่นาน
เพราะในภูมิมืดมิดนี้ไร้ตระกูลโบราณที่ใช้แซ่ซู!
“ข้ารู้จักชายแซ่ซูผู้หนึ่ง หากเขาปรากฏตรงหน้าข้า เขาจะทำให้ข้ากลัวได้จริง ๆ ไม่เพียงแค่ข้า กระทั่งทุกคนในโลกหล้ายังกลัวเมื่อเจอเขา”
หวังชงหลูรำพึงรำพัน
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็มองซูอี้ด้วยสายตาดูแคลน “แน่นอน คนผู้นั้นสูงส่งยิ่ง เจ้าไม่อาจเทียบได้ คงไม่กล่าวเกินไปหากจะบอกว่าความต่างระหว่างเจ้ากับเขานั้นเหมือนหิ่งห้อยคิดเทียบรัศมีตะวันจันทรา!”
วาจานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมบุคคลแซ่ซูผู้นั้น และดูแคลนต่อซูอี้ตรงหน้าเขาอย่างลึกล้ำ
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ เขาจะไม่รู้เช่นไรว่าหวังชงหลูกำลังพูดถึงใคร?
“แต่เมื่อครู่ ข้าช่วยชีวิตเจ้านะ”
ซูอี้กล่าวช้า ๆ
หวังชงหลูสีหน้าแข็งค้าง สำลักไร้วาจา
จู่ ๆ เขาก็ไม่อยากพูดต่อ
เพราะกังวลว่าเขาจะโมโหฉุนขาดเอา!
ซูอี้ยกมือขึ้นหยิบม้วนหยกที่หวังชงหลูให้ไว้ออกมา “ข้าบอกแล้ว ว่าหากมีข้าอยู่ เจ้าน่าจะกลับถึงเมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้โดยไม่ตาย ให้ม้วนหยกแก่ข้าไปก็เปล่าประโยชน์ ข้าคืนให้เจ้า”
เขาโยนม้วนหยกคืนสู่มือของหวังชงหลู
ยามนี้ หวังชงหลูตะลึงค้าง หน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายยิ่งนัก
เพราะเขาพลันจำวาจาที่ซูอี้กล่าวก่อนหน้านี้ได้ เขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังปลอบใจอย่างเป็นห่วง จนทำให้เกิดความรู้สึกมากมายในใจ
ใครเล่าจะคิดว่าสุดท้ายแล้ว เขาคิดมากไปเอง!