บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 954: ต่างคนก็ต่างความคิด
ตอนที่ 954: ต่างคนก็ต่างความคิด
จากนั้นไม่นาน เสียงใสแจ๋วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “มีคนมาอีกแล้วหรือ?”
อีกแล้ว?
ซูอี้กับหวังชงหลูรู้ได้ในทันใดว่ามีคนมาเยี่ยมคารวะยามบอกเวลาก่อนหน้าพวกเขา
เสียงออดแอดดังขึ้น
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทก็เปิดออก
ถัดจากนั้นเสียงใสแจ๋วนั้นก็ดังขึ้น “กรุณาเข้าไปรอในสวน”
ได้ยินเพียงแค่เสียง แต่ไม่เห็นตัว
หวังชงหลูกล่าวอย่างมีเลศนัย “สหายน้อยซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใคร?”
ซูอี้ทำท่าราวกับมองดูคนโง่ทึ่ม ก่อนจะกล่าวขึ้น “นั่นเป็นเสียงนก”
พูดจบ เขาก็ย่างเท้าก้าวเดินเข้าไปในสวน
หวังชงหลูทำหน้ากระอักกระอ่วนและรู้สึกเสียหน้า
สถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของยามบอกเวลา แม้กระทั่งคนในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ก็ยังน้อยนักที่จะรู้
เดิมทีเขาตั้งใจจะลองภูมิสักหน่อย ใครกันจะคาดคิดว่าซูอี้กลับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก
“หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เคยมา?”
หวังชงหลูเดินเข้าไปในสวนพร้อมกับความฉงนสงสัย
รอบสวนแขวนด้วยโคมไฟสีแสดหลายดวง บ้านหินสามหลังที่สร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่สีดำตั้งเรียงกันเป็นแนว
ใจกลางสวนคือต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เปลือกของลำต้นยืดขยายคล้ายกับเกล็ดมังกรที่ซ้อนทับกัน กิ่งก้านดกครึ้มราวกับร่มค้ำท้องฟ้า
แมวเหลืองตัวอ้วนนอนหงายพุงหงายไส้อยู่บนกิ่งไม้ หลับตาส่งเสียงกรนฝันหวานออกมา
ใต้ต้นไม้โบราณ มีโต๊ะกับเก้าอี้สองตัวตั้งวาง
เมื่อหวังชงหลูเข้ามาก็เห็นว่าในสวนมีคนมารอก่อนแล้ว
ทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวอีกด้วย
แต่มีด้วยกันถึงสามคน!
คนหนึ่งเป็นผู้ชายวัยกลางคน ร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำ รัดผมด้วยเกล้าทองม่วง รูปลักษณ์ดูน่าเกรงขามประดุจราชา เขายืนสง่าอยู่นอกประตูห้องโถงด้านหน้าสวน หันหลังให้กับคนอื่น ๆ ไม่พูดไม่จา
อีกคนเป็นผู้เฒ่าผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่น ผมเพ้ารุงรัง สะพายสำรับดาบอยู่บนหลัง เขายืนอยู่ที่ด้านหนึ่งของสวน มือไพล่หลัง จับจ้องดูโคมไฟดวงหนึ่งนิ่ง ๆ
ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่างดงามเลอโฉม นางสวมชุดกระโปรงสีดำไร้สิ่งตกแต่ง ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของคนทั้งหลาย
คนทั้งสามนี้ มีเพียงแต่นางคนเดียวเท่านั้นที่แลดูสบายที่สุด นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในสวน ขาเรียวงามคู่นั้นไขว่พาดกับโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า เท้าคู่สวยประดุจหยกที่โผล่ออกมาจากใต้กระโปรงถูกสะท้อนเป็นประกายเงางามภายใต้แสงของโคมไฟ
นางใช้มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งม้วนผมสลวยสีน้ำเงินเล่น บรรยากาศสบายเป็นกันเองแผ่กระจายออกมาจากรอบตัวของนาง
ทว่าแวบแรกเมื่อเห็นผู้หญิงนางนี้ หวังชงหลูกลับรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในใจอย่างประหลาด เพราะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้ตัวตนอย่างบอกไม่ถูก
เขาเก็บสายตากลับมาในทันใดราวกับทำไปตามสัญชาตญาณ ไม่กล้ามองดูอีก
ผู้หญิงคนนี้ ดูสวยงามราวกับวัตถุอันเลอเลิศในปฐพี ทว่ากลิ่นอายในตัวกลับเย็นชาโหดเหี้ยมประดุจเทพเซียน มีอานุภาพแห่งความเป็นผู้ชี้ชะตา!
ทว่าไม่นานนัก หวังชงหลูก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป ตัวของเขาแข็งเกร็งขึ้นมาน้อย ๆ
เขาจำอีกสองคนที่เหลือได้
ผู้ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยชุดสีดำ สวมเกล้าทองม่วง หันหลังให้คนอื่น ๆ คนนั้นก็คือจ้านเป่ยฉี ‘จักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหา’ หนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์!
และก็เป็นจักรพรรดิปีศาจที่ลึกลับที่สุดในบรรดา ‘เจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์’ อีกด้วย!
ทั่วใต้หล้าของภูมิมืดมิด หากเอ่ยชื่อของจ้านเป่ยฉี ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้ฝึกตนในโลกหล้าพากันตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว!
ถึงแม้หวังชงหลูจะเป็นหนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ ทว่าเขายังคงเข้าใจดีว่าหากพูดถึงความสามารถแล้ว กระทั่งในสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของตนเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้านเป่ยฉี
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึงเลยก็คือจ้านเป่ยฉีไม่เคยปรากฏบนโลกมาเป็นเวลานานมากแล้ว กระทั่งยังลือกันไปว่าเขาออกจากทะเลทุกข์ไปนานแล้ว เพื่อไปสืบเสาะหนทางวิถีในเขตแดนที่ไม่มีใครรู้จัก
ทว่าบัดนี้ ตัวตนจักรพรรดิผู้ลึกลับตนนี้กลับปรากฏตัวอยู่ในสวนบ้านของยามบอกเวลา!
หากจะบอกว่าการปรากฏตัวของจ้านเป่ยฉีทำให้หวังชงหลูรู้สึกตกใจและคาดไม่ถึงล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวย่นสะพายสำรับดาบคนนั้นก็คงจะทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันใด
ฉวี่ป๋อหลิง ยมราชป่วนโลหิต!
ในหมู่ยมราชทั้งหก เขาคือตาเฒ่าผู้กุม ‘กฎเกณฑ์นรกสยบอสูร’
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อนานมากแล้ว ลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ หวังชงหลูเคยถูกตาเฒ่าคนนี้ตามฆ่า…
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นฉวี่ป๋อหลิง เขาจึงรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ยังดีที่ตอนนี้อยู่ในถิ่นของยามบอกเวลา หากว่ารู้ก่อนหน้าว่าฉวี่ป๋อหลิงก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาจะไม่มีทางเดินทางมาที่นี่อย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ทว่าความจริงล้วนเกิดขึ้นในใจของหวังชงหลูทั้งสิ้น
เมื่อรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ค่อนข้างประหลาดภายในสวน หวังชงหลูก็รีบส่งกระแสเสียงปราณไปให้ซูอี้โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก
“เจ้าหนู เจ้าจะต้องระวังตัวสักหน่อย อย่าได้พูดจาพร่ำเพรื่อ แสดงความหยิ่งยโส สามคนที่อยู่ตรงนี้ แต่ละคนไม่ธรรรมดาเลย!”
ตลอดทางที่มา หวังชงหลูเดินทางมาพร้อมกับซูอี้ จึงรู้นิสัยของคนหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี แทบจะกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งความเกรงกลัว ไม่เห็นใครในสายตา
ลักษณะนิสัยเช่นนี้ก่อเรื่องได้ง่ายที่สุด!
จึงเป็นเหตุให้ชายชราเป็นห่วงว่า หากซูอี้ทำอะไรเกินเลยไป จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะต้องทำเช่นใด
“ไม่ธรรมดา?” ซูอี้หัวเราะ
หวังชงหลูเห็นเช่นนี้แล้ว ก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่าซูอี้ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย?
ทว่า ในช่วงขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรออกมา เสียงแหบแห้งราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า คนขี้แพ้”
หวังชงหลูสะดุ้งขึ้นมาในใจ เขารู้สึกได้ว่าฉวี่ป๋อหลิง ยมราชโลหิตป่วนที่อยู่ห่างไม่ไกลนักกวาดตามองมาทางนี้แล้ว
ชายชราสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งแล้ว แล้วจึงแสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ได้เจอกันนาน สหายเต๋าฉวี่ยังคงสง่างามดุจเดิม”
บนใบหน้าเหี่ยวย่นของฉวี่ป๋อหลิงไม่มีความรู้สึกใด ๆ ผุดขึ้นมา ก่อนจะกล่าวขึ้น “วางใจเถอะ ตอนนี้ข้าไม่สนใจจะรังแกตัวตนอย่างเจ้าเช่นนี้แม้แต่น้อย”
พูดจบ เขาก็เบนสายตากลับไปมองที่โคมไฟดวงนั้นอีกครั้ง และไม่พูดอะไรอีก
หวังชงหลูหน้าแข็งกระด้าง และรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ
คำกล่าวของฉวี่ป๋อหลิงเต็มไปด้วยความดูแคลนอย่างเปิดเผย
ทว่าสุดท้าย เขาก็ทำเพียงแค่ส่งเสียงร้องฮึเท่านั้น และไม่ได้พูดอะไรออกมา
ส่วนจ้านเป่ยฉี จักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหาที่ยืนอยู่หน้าห้องโถง กลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้แม้แต่น้อย
ทว่าเวลานี้ ซูอี้กวาดตามองดูรอบ ๆ สวน จากนั้นเดินตรงไปที่ใต้ต้นไม้โบราณต้นนั้น และทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่
หัวใจของหวังชงหลูแทบกระเด็นออกมาด้วยความตื่นกลัว
ในสวนแห่งนี้ หากถามว่าเขากลัวใครที่สุด ไม่ใช่จ้านเป่ยฉี และไม่ใช่ฉวี่ป๋อหลิง แต่กลับเป็นโฉมสะคราญที่นั่งสบายอยู่ตรงนั้น!
ทว่าเวลานี้ ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายเข้าไปใกล้ราวกับไม่รู้อะไรควรไม่ควร เช่นนี้ทำให้หวังชงหลูแอบปาดเหงื่อ รู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ
เจ้าหนุ่มคนนี้ เหตุใดจึงตาไร้แววถึงเพียงนี้!?
ขณะที่หวังชงหลูกำลังโมโหนั่นเอง ดูเหมือนซูอี้จะรู้สึกว่าเก้าอี้นั่งไม่สบายขึ้นมา เขาจึงเบนสายตามองไปที่สตรีนางนั้น “ขยับขาไปทางนั้นหน่อย”
คำพูดบางเบาเพียงประโยคเดียว ทำให้บรรยากาศในสวนอึดอัดขึ้นมาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง รู้สึกหายใจไม่ออก
คิ้วของจักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหาที่หันหลังให้กับคนอื่น ๆ เลิกขึ้นเล็กน้อย
สายตาของฉวี่ป๋อหลิงที่จ้องดูโคมไฟเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาผุดประกายประหลาดขึ้นมา
หวังชงหลูคนนี้ ไปเอาเจ้าหนุ่มหน้าโง่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมาจากที่ใดกัน?
หวังชงหลูเบิกตากว้าง ริมฝีปากกระตุก เขาได้แต่ถอนใจยาว ๆ รู้เช่นนี้แต่แรก ไม่ควรมาพร้อมกับเจ้าหนุ่มคนนี้เลย!
ตัวก่อเรื่องชัด ๆ!
ทว่าเกินความคาดหมาย ผู้หญิงผู้มีความงดงามจนเป็นที่ตื่นตะลึงของสรรพสัตว์นางนั้นราวกับพบเจอเรื่องที่น่าสนุก แล้วก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ความงดงามในเวลาที่รอยยิ้มเบ่งบานนั้น ทำให้แสงไฟในสวนแห่งนี้ยังดูริบหรี่ลง
จากนั้น ภายใต้สายตาที่จ้องมองด้วยความคาดไม่ถึงของหวังชงหลู ก็เห็นหญิงสาวเก็บขาเรียวงามที่ซ้อนทับกันคู่นั้น นางยิ้มอ่อนหวานพลางกล่าว “สหายเต๋า ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าพวกเราจะต้องได้พบกันที่เมืองรัตติกาลนิรันดร์ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ สวรรค์บันดาลให้เจ้ากับข้าได้พบกันอีกครั้ง”
เสียงที่แฝงไว้ซึ่งแรงดึงดูดดังก้องอยู่ในสวนอันเงียบสงบและอึดอัดแห่งนี้ ความหมายของคำที่พูดราวกับคลื่นทะเลที่ไร้ตัวตน!
ฉวี่ป๋อหลิงหรี่ตาลง สหายเต๋าของ… ผู้หญิงคนนั้น!?
จ้านเป่ยฉีตะลึงไปเล็กน้อย สายตาประหลาดไป คนหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
หวังชงหลูราวกับสำลักอะไรบางอย่าง ไอขึ้นมาอย่างแรง
ทว่าลึก ๆ ในใจของเขาปั่นป่วนอย่างเหลือเกิน
ภายในสวน ผู้หญิงที่ถูกเขามองว่าเป็นตัวอันตรายที่สุดและน่าหวาดกลัวที่สุดกลับเรียกชายหนุ่มชุดสีเขียวคนนั้นว่าสหายเต๋า!!
หวังชงหลูแทบตะลึง
ตามที่รู้กันว่าคำเรียก ‘สหายเต๋า’ นี้ ถึงแม้จะพบเห็นได้บ่อย ๆ แต่ทว่าผู้ที่ถูกมองว่าเป็นสหายเต๋าได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตัวตนในขอบเขตเดียวกัน!
ทว่าตอนนี้ สตรีลึกลับน่ากลัวคนนั้นกลับเรียกซูอี้ คนหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณเป็นสหายเต๋า ความหมายที่แฝงนั้นเป็นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงทีเดียว!
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉวี่ป๋อหลิงกับจ้านเป่ยฉีรู้สึกตื่นตะลึงเช่นกัน
ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสหายเต๋า หากไม่ใช่เพราะมีความสามารถทัดเทียมกัน ก็ต้องมีฐานะและตำแหน่งทัดเทียมกัน!
คนทั้งสองไม่เชื่อหรอกว่า ผู้หญิงคนนั้นจะเรียกผู้ด้อยอาวุโสคนหนึ่งเป็นสหายเต๋าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เรื่องนี้จะต้องมีเลศนัยอย่างแน่นอน!
แต่ซูอี้กลับไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
เขายกขาทั้งสองข้างขึ้นพาดบนโต๊ะ หลังจากเอนตัวบิดขี้เกียจยาว ๆ แล้วจึงรู้สึกสบายตัวมากขึ้น “นี่ไม่ใช่สิ่งที่สวรรค์กำหนด การที่เจ้ากับข้าได้พบกัน เป็นเพียงเพราะเจ้าวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว”
หญิงสาวผู้เลอโฉมนางนั้นก็คือยมบาลนั่นเอง!
นางยิ้มบางเบา สายตาเป็นประกาย “ข้ามาถึงที่นี่ก่อนเจ้า หากว่าบอกว่ามีแผน ก็ควรจะเป็นเจ้าที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาถึงที่”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “อย่าพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกเลย ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการจะถามเจ้า”
ยมบาลสาวกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็เผยอริมฝีปากแดงเฉิดฉาย ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสื่อเป็นนัย “คุยกันตรงนี้ไม่สะดวก สู้ประเดี๋ยวตอนไปจากที่นี่พวกเราหาที่ลับตาคนคุยกันจะดีกว่าไหม?”
ทุกอากัปกิริยา ทุกสายตาและรอยยิ้มของนาง ล้วนเต็มไปด้วยเสน่หาและความเคลิบเคลิ้ม
แต่ไม่ว่าจะเป็นหวังชงหลู หรือฉวี่ป๋อหลิงกับจ้านเป่ยฉี ต่างก็ไม่กล้าจะมอง
ในสายตาของพวกเขา ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะงามเลิศเลอ ทว่าขณะเดียวกันก็อันตรายจนถึงขั้นต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา!
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อเห็นว่าซูอี้พูดคุยกับนางอย่างมีความสุข แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูสงบนิ่ง ทว่าในใจนั้นกลับรู้สึกปั่นป่วนยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังชงหลู ก่อนหน้านี้ยังเป็นห่วงว่าซูอี้จะก่อเรื่องขึ้น เวลานี้จู่ ๆ กลับเกิดความรู้สึกขมขื่น… “ที่แท้ตัวตลกก็คือตัวข้านั่นเอง”
“ได้ ตามนั้น”
ซูอี้พูดจบก็ยกกาสุราขึ้นดื่ม
ดูเหมือนว่ายมบาลสาวก็สุขสบายใจมากเช่นกัน ภายใต้แสงโคมไฟที่สาดส่องลงมา เค้าโครงใบหน้าที่งามหยดย้อยนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส
ซูเสวียนจวินคนนี้ เป็นฝ่ายเข้ามาถามตนเอง ช่างน่าสนุกจริง!