บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 956: คาดการณ์แม่นยำ
ตอนที่ 956: คาดการณ์แม่นยำ
ใต้ต้นไม้โบราณ
ซูอี้นั่งพิงพนัก พาดขากับโต๊ะ ยกกาสุราขึ้นดื่มบ้างเป็นพัก ๆ
แมวเหลืองตัวอ้วนพีนอนขดอยู่บนตักไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อมองดูภาพเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้ทำตัวตามสบายเหลือเกิน
ทว่าหวังชงหลูกับฉวี่ป๋อหลิงกลับยิ่งรู้สึกสับสนงุนงง
เมื่อจักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหา จ้านเป่ยฉีเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ ก็ยังถึงกับตะลึง แต่ทันใดก็เม้มริมฝีปากแล้วสาวเท้าก้าวเดินออกไป
เพียงแต่ เมื่อเขาเดินไปถึงประตูใหญ่ของสวนแห่งนี้ จู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยพูดขึ้นมา “เจ้ามาเมืองรัตติกาลนิรันดร์ในครั้งนี้ เพื่อฆ่าหลิ่วฉางเซิง หรือเพื่อช่วยเขา?”
ร่างสูงใหญ่ของจ้านเป่ยฉีหยุดชะงัก นิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “ห่วงเรื่องของตัวเจ้าเองเถอะ”
พูดจบก็ผลักประตูออกไป
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยหันหน้ากลับมาเลยสักครั้ง
ซูอี้ลูบขนอ่อนนุ่มประดุจแพรไหมของแมวเหลืองพลันหัวเราะขึ้นมา
จ้านเป่ยฉีคนนี้ ยังคงเหมือนเดิม
“แขกท่านที่สามเข้ามาได้”
เสียงของนกกระเต็นดังออกมาจากห้องโถงใหญ่
ฉวี่ป๋อหลิงที่นั่งรออยู่ตรงนั้นนานแล้วสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ยมบาลสาวจึงกล่าวขึ้นมาราวกับกำลังครุ่นคิด “สหายเต๋าเดาออกว่าจ้านเป่ยฉีคนเมื่อสักครู่นี้มาเพราะเหตุอันใดเช่นนั้นหรือ?”
ในสวนเหลือเพียงแค่นาง ซูอี้ กับหวังชงหลูเพียงสามคนเท่านั้น
แน่นอน ยังมีแมวเหลืองอีกตัว
หวังชงหลูก็เงี่ยหูคอยฟังเช่นกัน
เขาปรับสภาพจิตใจได้แล้ว และยามนี้ เขาไม่กล้ามองซูอี้เป็น ‘สหายน้อยซู’ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
“เพียงแค่เดาเท่านั้น”
ซูอี้กล่าวขึ้นมา “ข้ารู้เพียงแค่ว่าเมื่อก่อนนานมากแล้ว หลิ่วฉางเซิงก็เหมือนกับจ้านเป่ยฉี พวกเขาต่างก็มาจากขุมกำลังที่ชื่อว่า ‘อารามจิตสมถะ’ หากว่ากันตามตรง พวกเขาสองคนยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเสียด้วยซ้ำ”
หวังชงหลูสะดุ้งอย่างแรงในใจ
เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าหลิ่วฉางเซิง ยมราชดาบคลั่งผู้ได้รับสมญานามเป็น ‘นักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิมืดมิด’ เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับจ้านเป่ยฉี จักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหา!
เรื่องนี้เป็นความลับที่น่าตื่นตะลึงมากอย่างไม่ต้องสงสัย หากว่าแพร่สะพัดออกไปจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้าอย่างแน่นอน
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วฉางเซิง หรือว่าจ้านเป่ยฉี ทั้งสองล้วนเป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิระดับสูงสุดในโลกตอนนี้!
หลิ่วฉางเซิงติดอันดับหกแห่งภูมิมืดมิด มีความเก่งกาจในวิถีดาบ เป็นที่ยกย่องนับถือมานานหลายหมื่นปี
ส่วนจ้านเป่ยฉีเป็นจักรพรรดิปีศาจลึกลับอันดับหนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ มีความสามารถล้ำลึกเกินจะคาดเดา!
ใครเลยจะคิดว่าผู้แข็งแกร่งสองท่านนี้จะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มาจากสำนักเดียวกัน?
“เรื่องนี้… เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?”
หวังชงหลูทนไม่ไหวอีกต่อไป และส่งเสียงถามขึ้นมา
ชั่วขณะนี้ หวังชงหลูรู้สึกได้ว่าในดวงตาสีน้ำเงินใสของแมวเหลืองตัวอ้วนพีตัวนั้นผุดประกายดูแคลนออกมา
ราวกับกำลังคิดว่าคำถามนี้ของเขาช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน…
ทำให้หวังชงหลูรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และยังรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูกอีก
อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงอสูรเพลิงสายฟ้า หนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ มีชื่อเสียงเกรียงไกร ผู้ฝึกตนในโลกล้วนต้องหนาวสะท้านเมื่อได้ยินชื่อ
ทว่านับตั้งแต่เข้ามาในสวนแห่งนี้ ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไป
อันดับแรกถูกฉวี่ป๋อหลิงดูแคลนว่าเป็นคนขี้แพ้ ต่อมาถูกจ้านเป่ยฉีซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์เหมือนกันทำเฉยชา
ตอนนี้ แม้กระทั่งแมวเหลืองตัวหนึ่งก็ยังมองไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา!
ใครบ้างเจอเช่นนี้แล้วจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจ?
เมื่อย้อนกลับไปมองดูซูอี้ ชายหนุ่มกลับสบายตัวสบายใจเสียเหลือเกิน ทั้งลูบแมวทั้งดื่มสุรา ทั้งยังพูดคุยหัวเราะกับผู้หญิงลึกลับน่ากลัวเช่นนั้นอีก แล้วยังถึงขั้นกล้าเร่งยามบอกเวลาให้รีบ ๆ เข้า…
เทียบกันเช่นนี้แล้ว หวังชงหลูอยากจะร้องไห้เสียจริง ๆ
คนเราแข่งกัน มีแต่ความไม่เสมอภาค!!
“รู้เช่นนี้แต่แรก วันนี้ไม่มาที่นี่หรอก”
หวังชงหลูแอบเคียดแค้นในใจ ในสายตาของเขา เวลานี้ทุกอย่างภายในสวนล้วนเป็นปฏิปักษ์กับตัวเอง!
“พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริง ๆ เพียงแต่ว่ามีน้อยคนนักที่รู้เรื่องนี้”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ได้ใส่ใจนัก “อีกทั้ง เมื่อก่อนนานมากแล้วอารามจิตสมถะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น นับแต่นั้นจึงหายลับไปในห้วงแห่งกาลเวลา และความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วฉางเซิงกับจ้านเป่ยฉีจึงเกิดความแตกแยกเหมือนดังน้ำกับไฟ กลายเป็นศัตรูต่อกัน”
“ที่แท้ เรื่องนี้มีน้อยคนนักที่จะรู้”
หวังชงหลูรู้เช่นนี้แล้ว รู้สึกใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย
“มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เมื่อคนผู้นี้เห็น ‘หงอิ๋ง’ เดินออกมาจึงเกิดความเคียดแค้นใจ ดูท่าแล้ว เขาต้องการจะช่วยหลิ่วฉางเซิงแก้แค้นจริง ๆ”
ดวงตางามของยมบาลใสสว่างราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
ซูอี้กล่าว “หงอิ๋ง? ผู้ชายชุดสีแดงที่เดินออกจากห้องโถงใหญ่เป็นคนแรกเมื่อสักครู่น่ะหรือ?”
ยมบาลสาวส่งเสียงตอบอืม จากนั้นกล่าวออกมาโดยไม่ปิดบัง “หลิ่วฉางเซิงฆ่าผู้ใต้บัญชาฝีมือดีของหงอิ๋งตาย ที่เขามาหายามบอกเวลาในครั้งนี้ ก็มาเพราะเรื่องนี้”
ซูอี้พยักหน้า ระหว่างทางที่มาเมืองรัตติกาลนิรันดร์ หวังชงหลูเคยบอกว่าหลิ่วฉางเซิงมีความแค้นกับสำนักสุดวิถี สาเหตุก็เพราะหลิ่วฉางเซิงฆ่าคนสำคัญคนหนึ่งของสำนักสุดวิถีตาย
ตอนนี้ดูท่าแล้ว คนสำคัญที่ว่านี้ก็คือผู้ใต้บัญชาของหงอิ๋งผู้ชายในชุดสีแดงคนเมื่อสักครู่คนนั้นนี่เอง
“สหายเต๋า ดูเหมือนเจ้าไม่แปลกใจเลย”
ยมบาลเหลือบตางดงามอันมีเสน่ห์ขึ้นมองไปยังซูอี้
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “ข้าเพียงแค่รู้เรื่องนี้เข้าพอดีเท่านั้น”
“รู้เข้าพอดี?”
สายตาของยมบาลสาวมีเลศนัยขึ้นมา “ก็ใช่ สหายเต๋าสนใจเรื่องของสำนักสุดวิถี ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีอยู่”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ฉวี่ป๋อหลิงก็เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่
เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ ชายเฒ่าผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่นสะพายสำรับดาบในตอนนี้คิ้วขมวดแน่น สลัดความขุ่นข้องหมองใจไปไม่ได้
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ฉวี่ป๋อหลิงนิ่งตะลึง รู้สึกไม่พอใจเอามาก ๆ
ทว่า เขาเคยเห็นความไม่ธรรมดาในหลาย ๆ เรื่องของซูอี้มาแล้ว จึงไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจออกมาทางใบหน้า เพียงแต่ถามขึ้นมา “เหตุใดสหายเต๋าจึงหัวเราะ?”
ในคำถาม จากสรรพนามที่เรียกซูอี้ว่า ‘สหายเต๋า’ สามารถมองออกได้ว่ายมราชป่วนโลหิตจากตระกูลฉวี่เผ่าโบราณคนนี้ไม่กล้ามองซูอี้เป็นผู้ด้อยอาวุโสอีกแล้ว
“ในโลกนี้ คนที่รำลึกถึงการตายของชุยหลงเซี่ยงเป็นที่สุด นอกจากญาติสนิทของเขาแล้ว ก็คงจะเป็นศัตรูที่โกรธแค้นเขาอย่างที่สุด”
ซูอี้ก้มหน้าลูบแมวเหลืองที่อยู่ในอ้อมอก “เจ้าคิดว่า ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ฉวี่ป๋อหลิงหรี่ตาลงในทันใด ใบหน้าเหี่ยวย่นเกิดความเปลี่ยนแปลง
สักพักใหญ่ ๆ เขาก็ประสานมือคารวะกล่าวเสียงหนักหน่วง “ขอเรียนถามสหายเต๋าชื่อว่าอันใด?”
ซูอี้ชายตามองไปที่ฉวี่ป๋อหลิง “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่ ข้าไม่รังเกียจที่จะเตือนสติเจ้า ดีที่สุดเจ้าควรจะหยุดความคิดที่ไม่ควรมีเสีย กลับไปรอฟังข่าวแต่โดยดี อีกไม่นานเท่าไรจะได้รู้ความจริงว่าชุยหลงเซี่ยงตายหรืออยู่กันแน่”
ฉวี่ป๋อหลิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่พูดความ
กระทั่งเขาหายลับไปจากนอกสวน ยมบาลก็อดรำพึงขึ้นมาไม่ได้ กล่าว “สายตาของสหายเต๋าร้ายกาจมากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจ้านเป่ยฉี หรือว่าฉวี่ป๋อหลิง ดูเหมือนเจ้าจะเดาสาเหตุการมาของพวกเขาออกได้ก่อนแล้ว”
หวังชงหลูที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักก็เห็นด้วย
เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงในความสามารถที่ซูอี้แสดงออกมาเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะซูอี้ เขาไม่อาจรู้หรอกว่าหลิ่วฉางเซิงกับจ้านเป่ยฉีเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน และไม่รู้ด้วยว่าที่ฉวี่ป๋อหลิงมาในครั้งนี้ก็เพื่อสืบว่าชุยหลงเซี่ยงเป็นหรือตาย!
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “ทั่วทั้งภูมิมืดมิดแห่งนี้ ตัวประหลาดที่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ข้าพอจะเข้าใจพวกเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตะลึงอันใด”
ฉวี่ป๋อหลิงเคยพ่ายแพ้ต่อชุยหลงเซี่ยง อีกทั้งยังแพ้พนันจนเสียดาบวิถีโดยกำเนิดที่ชื่อว่า ‘ดาบพิบัติแดง’ ไป
ว่ากันว่าเดิมทีดาบเล่มนี้อุบัติขึ้นใน ‘ห้วงนรกหมื่นบาป’ ซึ่งอยู่ในความปกครองของ ‘กรมสัมภเวสี’ มีอานุภาพมหัศจรรย์ที่คาดไม่ถึงมากมาย
เมื่อดาบเล่มนี้ถูกชุยหลงเซี่ยงแย่งชิงไป ฉวี่ป๋อหลิงจึงจดจำขึ้นใจและเคียดแค้นมาจนถึงทุกวันนี้เป็นธรรมดา
สาเหตุที่ตระกูลฉวี่เผ่าโบราณร่วมมือกับเผ่าโบราณอื่น ๆ เพื่อต่อสู้กับตระกูลชุยในคืนแห่งเทศกาลหมื่นโคมไฟในครั้งนั้น สาเหตุสำคัญที่สุดก็คืออยากจะถือโอกาสตอนที่ชุยหลงเซี่ยงไม่อยู่แย่งศาสตราวิถีโดยกำเนิดชิ้นนี้กลับคืนมา
แต่เสียดาย สุดท้ายก็ล้มเหลว
และวันนี้ พอเห็นฉวี่ป๋อหลิงเมื่อตอนเดินเข้ามาในสวน ซูอี้ก็เดาออกแล้วว่าตาเฒ่าคนนี้มาเพราะจุดประสงค์อันใด
แต่จะว่าไป ชุยหลงเซี่ยงเป็นหรือตายล้วนไม่มีใครรู้
แต่สำหรับฉวี่ป๋อหลิงแล้ว หากว่าชุยหลงเซี่ยงตาย เขาสามารถลงมือจัดการกับตระกูลชุยได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด
หากว่าชุยหลงเซี่ยงยังคงมีชีวิตอยู่ เขาก็เลือกได้เพียงอดทนและรอคอยต่อไป
“แขกท่านที่สี่สามารถเข้ามาได้”
เสียงของนกกระเต็นดังออกมาจากห้องโถงอีกครั้ง
ยมบาลสาวลุกขึ้น ยืดเส้นยืดสายร่างอันสูงโปร่งอรชรเสร็จ จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “สหายเต๋า ข้าไปพบยามบอกเวลาก่อนแล้ว”
นางก้าวขาเรียวยาวเดินออกไปก้าวหนึ่ง ร่างของนางหายวับไปปรากฏอยู่ในห้องโถงแล้ว
ซูอี้ลูบแมวและดื่มสุราต่อ แต่ในใจกลับขบคิดอยู่ว่าจุดประสงค์ของยมบาลในครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับความลับของพิภพยมราชฝังวิถี
ในอ้อมอก แมวเหลืองร้องเหมียว ๆ มันไม่ได้ตื่นกลัวและหวาดผวาเหมือนตอนแรกอีกแล้ว แต่มันกลับแผ่ร่างที่อ้วนพี และใช้หัวถูไถซูอี้เบา ๆ ราวกับกำลังออดอ้อน
ทว่าสายตาของมันกลับจับจ้องไปที่ไหสุรา ทำท่าน้ำลายจะไหลให้ได้
อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าแมวเหลืองตัวนี้อยากจะกรึ๊บสักจอกนั่นเอง
แต่ซูอี้ไม่ได้สนใจ
ลึก ๆ ในสายตาของเจ้าแมวเหลืองตัวนี้จึงผุดประกายกลัดกลุ้มใจบาง ๆ
หวังชงหลูอยากจะถือโอกาสนี้พูดคุยกับซูอี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นแมวเหลืองตัวนี้แล้ว เขาก็หยุดความคิดนี้ไป
แมวเหลืองตัวนี้ดูท่าไม่มีอะไร แต่หากว่าสำแดงเดชออกมา คงจะดุร้ายยิ่งกว่าตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!
ไม่นานนัก ยมบาลผู้มีร่างสะโอดสะองค์ก็เดินออกมา
นางคล้ายกับผิดหวังอยู่บ้าง ใบหน้าและดวงตาสวยงามแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
“ยามบอกเวลาใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง สาเหตุที่เขารู้เรื่องมากมาย ก็เพราะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานกว่าคนส่วนใหญ่เท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “แน่นอน ประเดี๋ยวตอนที่พวกเราสองคนไปหาที่นั่งคุยกัน เจ้าสามารถบอกข้าได้ถึงเรื่องที่เจ้าต้องการอยากจะสืบ หากว่าข้ารู้ ข้าไม่รังเกียจที่จะไขข้อสงสัยให้แก่เจ้า”
รอยยิ้มยั่วยวนผุดขึ้นบนริมฝีปากแดงเฉิดฉายของยมบาลสาว กล่าวเย้ายวนรัญจวนใจ “ดีจริง ๆ เลย”
“เอาล่ะ ข้าก็ควรจะไปพูดคุยกับยามบอกเวลาแล้วเช่นกัน”
ซูอี้พูดจบก็หิ้วคอของแมวเหลืองโยนมันลงไป
แมวเหลืองพลิกตัวลงสู่พื้นยืนอย่างมั่นคง ไม่ถึงกับนอนแผ่ไม่เป็นท่า
เพียงแต่ว่า เมื่อมันมองดูซูอี้ ดวงตาสีน้ำเงินใสเต็มไปด้วยความโกรธไม่พอใจ ผู้ชายคนนี้ยังคงไร้หัวใจเหมือนเดิม
เวลาลูบชอบเสียจริง ๆ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็โยนมันทิ้งเสียแล้ว!!
“ไปด้วยกัน”
ซูอี้ลุกขึ้น เรียกหวังชงหลู จากนั้นเดินตรงเข้าไปในห้องโถงใหญ่
หวังชงหลูสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่านไป สีหน้าจริงจังขึ้นมา จากนั้นก็เดินตามหลังซูอี้ไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนหายลับเข้าไปแล้ว
ยมบาลสาวราวกับรู้สึกได้ เบนสายตามองไปที่เจ้าแมวเหลือง
เห็นแมวเหลืองตัวนั้นจ้องดูตัวเองตาเป็นมันราวกับหิวกระหายจนทนไม่ไหวอยู่แล้ว ทั้งยังแลบลิ้นออกมาเลียปากแผล็บ ๆ อีก
ยมบาลถึงกับตะลึง