บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 959: ทำร้ายร่างกายไม่มาก ทำร้ายจิตใจอย่างแรง
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 959: ทำร้ายร่างกายไม่มาก ทำร้ายจิตใจอย่างแรง
ตอนที่ 959: ทำร้ายร่างกายไม่มาก ทำร้ายจิตใจอย่างแรง
ฟ้าดินกลายเป็นสีเลือด โซ่เทวะเส้นยาวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปพันรอบตัวซูอี้
ปิดล้อมทุกทิศทุกทางของเขา
จะถอยก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้น
การบุกโจมตีของยมบาลในครั้งนี้เปลี่ยนฟ้าแปรตะวัน ราวกับว่าเขตพรมแดนมหาวิถีปลีกตัวจากโลกภายนอก
ภายในเขตพรมแดนแห่งนี้ นางคือผู้ชี้ชะตาแต่เพียงผู้เดียว!
กล่าวได้ว่า หากจับหวังชงหลูผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำมาอยู่ตรงนี้ ก็ไม่ต่างไปจากมดตะนอยที่ใครจะบดขยี้อย่างไรก็ได้
ซูอี้ยังคงอยู่นิ่ง ๆ
เขามองดูโซ่เทวะเส้นยาวแต่ละเสร็จที่ร่วงหล่นลงมาผูกรัดรอบตัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยสีหน้าที่ราบเรียบเฉยชา พลังกักขังอันน่าสะพรึงกลัวเหลือคณาแผ่กระจายไปจนทั่วทุกแห่งหน
พลังเช่นนั้นเพียงพอที่จะฆ่าจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย!
ไม่ไกลนัก ยมบาลสาวก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างคาดไม่ถึง “เหตุใดจึงไม่ตอบโต้?”
ซูอี้ย้อนถาม “เหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าลงมือให้หนัก?”
รอบตัวของเขามีโซ่ผูกรัดอย่างแน่นหนา ทว่าเขายังคงสงบนิ่ง ราบเรียบเหมือนดังเคย
ยมบาลสาวถึงกับขมวดคิ้วดกดำคล้ำ
ฉับพลัน ริมฝีปากสีแดงเฉิดฉายของนางก็เผยอขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดูท่าแล้ว ไม่ให้สหายเต๋าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดบ้าง คงไม่รู้จักยอมแพ้เสียแล้ว”
ลึกเข้าไปในดวงตางดงามของนางคู่นั้นผุดประกายแสงสีแดงแห่งความบ้าคลั่งขึ้นมารำไร “ตอนนี้ ข้าเกิดอยากจะรู้เสียแล้วว่า หากจับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินตีก้นจนลาย เขาจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีหรือไม่นะ”
ซูอี้ตะลึง
คำกล่าวนี้ ทำร้ายร่างกายไม่มาก แต่ดูถูกกันอย่างแรง!
จากนั้นยมบาลสาวก็ยื่นมืออันเรียวยาวออกมาและแตะอากาศเบา ๆ
ครืน!
แส้ยาวสีแดงเส้นหนึ่งพุ่งตรงไปฟาดก้นของซูอี้
บนแส้ยาวสีแดงเต็มไปด้วยระลอกคลื่นพลังกฎเกณฑ์อันดุร้ายน่ากลัว
ซูอี้ยิ้ม ส่งเสียงวิถีประหลาด ๆ ออกมาจากปาก
“ประกาศิต!”
เปรียบดั่งคำบัญชาจากสวรรค์ เพียงแค่คำเดียว แต่เต็มไปด้วยอานุภาพพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งสะเทือนทั้งเทพและผี
ปัง!!
แส้สีแดงเส้นนั้นยังฟาดไม่โดนก้นของซูอี้ก็แตกสลายเป็นชิ้น ๆ กลางอากาศเสียแล้ว
ยมบาลสาวหรี่ตาลง พลางกล่าวด้วยความตกใจ “นี่คือพลังอันใดกัน?”
ซูอี้ตอบเนิบ ๆ “พลังของกระบอง”
“?”
ยังไม่ทันที่นางจะได้ครุ่นคิด ก็เห็นซูอี้ทำท่าคล้ายกับบิดขี้เกียจ เอ็นกระดูกในตัวขยับยืดเส้นยืดสาย
ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!
เวลานี้โซ่เทวะสีแดงที่ผูกรัดรอบตัวซูอี้อย่างแน่นหนาเปรียบได้กับกระดาษ หลุดกระเด็นออกจากตัวของชายหนุ่มเส้นแล้วเส้นเล่า
ในที่สุดใบหน้าอันยั่วยวนใจของยมบาลสาวก็เปลี่ยนไป ในใจพลันสั่นสะท้านขึ้นมา
ถึงแม้นางในเวลานี้จะเป็นเพียงแค่ร่างจำแลงร่างหนึ่งเท่านั้น ทว่า ‘เขตเพลิงแดง’ ที่สำแดงออกมานั้นเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาที่แกร่งที่สุดของนาง ไม่ว่าจะจับตัวหรือฆ่าตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำก็ล้วนง่ายราวกับพลิกฝ่ามือทั้งสิ้น
และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ในการโจมตีครั้งนี้นางไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์วอนสวรรค์
ทว่าพลังเช่นนี้กลับคล้ายเครื่องประดับเวลาที่อยู่ต่อหน้าซูอี้ ไม่อาจทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย!!!
จะไม่ให้นางตื่นตระหนกตกใจได้เช่นใด?
ซูอี้ยืนเอามือไพล่หลังกล่าวขึ้นมาช้า ๆ “ต่อไหม?”
เพียงแค่สองคำทว่าแฝงไว้ซึ่งความดูแคลน
ดวงตาสดใสของยมบาลผุดประกายบ้าคลั่ง จากนั้นนางก็หัวเราะเสียงแหลม “ก็ดี”
เสียงยังคงดังกึกก้อง เขตเพลิงแดงทั้งเขตพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ฟ้าดินหวั่นไหว สาดกระเซ็นเป็นสะเก็ดแสงสีแดงเฉิดฉายบาดตา จากนั้นค่อย ๆ กลายเป็นฝ่ามือสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน
ฝ่ามือสีโลหิตเหล่านั้นคล้ายกับสกัดจากเลือดของเทพเซียน ใสสว่างเป็นประกายเจิดจรัส มีกลิ่นอายพลังแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวรายรอบ ฝ่ามือนับร้อยนับพันล่องลอยอยู่บนอากาศ แผ่อานุภาพอันร้ายกาจราวกับต้องการจะทำลายศัตรูให้หมดสิ้นไป
ฝ่ามือโลหิตดับโลกา!
ครืน!
เมื่อฝ่ามือสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ก็ซัดตรงไปที่ซูอี้ในทันที
ชั่วขณะนั้น ราวกับมีอสูรเทพนับร้อยนับพันจากรอบทิศทางลงมือบุกฆ่าซูอี้พร้อมกัน พลังทำลายล้างสีแดงบดบังไปทั่วฟ้าดิน
สายตาของซูอี้ผุดประกายประหลาดใจขึ้นมา
อานุภาพการบุกโจมตีครั้งนี้เปรียบได้กับพลังขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้น หากว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณคนอื่น ๆ เกรงว่ายังไม่ทันได้รับมือก็ถูกพลังนั้นบดขยี้ร่างและจิตวิญญาณจนแตกสลายไปก่อนแล้ว!
ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำก็ยิ่งยากจะต้านทานไหว!
ทั้งที่นี่เป็นเพียงแค่พลังที่ร่างจำแลงร่างหนึ่งของยมบาลช่ำชองเท่านั้น แต่กลับเกินความคาดหมายของซูอี้อยู่มาก
ทว่า ชายหนุ่มไม่ได้นั่งรอความตายเฉย ๆ
พอเขายื่นมือขวาออกมา กระบองไม้ไผ่ก็ปรากฏขึ้นมา
กระบองไม้ไผ่มีความยาวเพียงสองฉื่อ ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ สีเทาอมฟ้าอำพัน เปล่งปลั่งราวกับหยก
ปลายด้านหนึ่งของกระบองไผ่รัดด้วยผ้าสีดำที่เต็มด้วยคราบเลือด
มีกระบองอยู่ในมือแล้ว ซูอี้ฟาดกระบองกลางอากาศ
ราวกับยามบอกเวลาเคาะฆ้องเสียงดังลั่นในยามวิกาล
เพียงแต่ว่า ซูอี้ใช้กระบองไผ่ในมือเคาะผืนปฐพีแห่งนี้จนดังสนั่นเท่านั้น!
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนอย่างแรง
อานุภาพน่ากลัวจนยากจะพรรณนาแผ่กระจายออกจากกระบองไผ่สีเทาอมฟ้า ขณะที่แผ่ออกไป ฝ่ามือสีแดงนับร้อยนับพันในรอบทิศทางพลันแตกสลาย
ราวกับใบไม้ที่ถูกลมแห่งสารทฤดูพัดร่วง
จากนั้น ‘เขตเพลิงแดง’ ที่ยมบาลสาวควบคุมอยู่นั้นก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวว่อน
“ไม่ได้การ!”
ดวงตาใสดุจดวงดาวของยมบาลหรี่เล็กลง ในสายตาของนาง พลังการโจมตีนี้ของซูอี้เปรียบได้ดั่งระลอกคลื่นกฎเกณฑ์ไร้รูปร่าง อันเต็มไปด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่
ทุกแห่งที่ระลอกคลื่นเคลื่อนผ่าน ล้วนต้องสยบพ่ายแพ้!
โดยไม่ต้องลังเลอันใดอีก ยมบาลสาวยกมือขวาขาวเนียนประดุจเนื้อหยกขึ้นมาบังตรงหน้า
ปัง!!
ระลอกคลื่นที่แผ่กระจายมาถึงระเบิด
ทว่ายมบาลยังไม่ทันได้หายใจ ระลอกคลื่นที่ระเบิดนั้นก็กลายเป็นเส้นใยนับไม่ถ้วนคืบคลานขึ้นมาตามมือขวาของนาง และผูกรัดตัวของนางในชั่วพริบตา
เส้นใยนั้นเป็นสีเทาอมฟ้าใสสว่างราวกับภาพลวงตา ดูเหมือนเบาบางดุจประกายแสง ละเอียดบางราวกับขนแกะ ทว่าเมื่อถูกพลังเช่นนี้ครอบคลุมตัวแล้ว ร่างอรชรยั่วยวนของยมบาลสาวก็แข็งทื่อ ถูกรัดตัวอย่างแน่นหนา
“เปิด!”
ยมาลส่งเสียงตะคอกออกมา
จู่ ๆ พลังในตัวก็แผ่กระจาย
ทว่าไม่เพียงแต่ไม่อาจทลายเส้นใยซึ่งแปลงมาจากระลอกคลื่นได้ หนำซ้ำยังถูกผูกรัดจนแน่นยิ่งกว่าเดิม ภายใต้ชุดกระโปรงสีดำ เรือนร่างอวบอัดนูนเว้าปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ห่างไปไม่ไกลนัก ซูอี้ยังอดชื่นชมไม่ได้ รูปร่างของหญิงสาวนางนี้สุดยอดเสียจริง
“นี่คือพลังอันใดกัน?”
ยมบาลสาวสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว ดวงตายั่วเย้ามองไปที่ซูอี้
นางพบว่า ถึงแม้การโจมตีนี้จะจับนางมัดไว้อย่างแน่นหนา ทว่าไม่ได้ทำร้ายนางแม้แต่ปลายผม แต่ซูอี้ก็ไม่คิดจะลงมือจริง ๆ
ซูอี้ชูกระบองไผ่ในมือขึ้น “กระบองเล่มนี้”
สายตาของยมบาลสาวมองตามไป ครุ่นคิดพลางกล่าว “นี่คือสมบัติล้ำค่าของยามบอกเวลา?”
ซูอี้ยิ้มพลางพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่ผิด ของสิ่งนี้ก็คือกระบองที่ยามบอกเวลาใช้เพื่อตีบอกเวลา แต่มันยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ค้อนทุบเซียน’ หากใช้ร่วมกับ ‘ฆ้องสะเทือนสวรรค์’ ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ สามารถทำให้ผู้ฝึกตนถึงกับหนาวสะท้านเทพผีถึงกับหลบหนีได้ นับแต่บรรพกาลจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีผู้เป็นจักรพรรดิคนใดสามารถรับมือพลังเช่นนี้ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้”
“ค้อนทุบเซียน ฆ้องสะเทือนสวรรค์…”
ยมบาลพูดกับตัวเอง ใบหน้าเลอโฉมสับสนไม่นิ่ง ในใจรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
นางถอนใจยาว ๆ พลางกล่าว “ที่แท้ซูเสวียนจวินในตอนนี้ ก็ทำได้เพียงแค่ยืมพลังภายนอกมาต่อสู้กับศัตรูเท่านั้น ช่างน่าผิดหวังเสียจริง ๆ”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก้าวเดินมาอยู่ตรงหน้ายมบาลสาวโดยเว้นระยะห่างออกไปหนึ่งฉื่อ เขาจ้องดูใบหน้างดงามสะท้านปฐพีของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าว “ผิดหวัง? ใช้พลังขอบเขตสานพันธะลึกล้ำมาจัดการกับคนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างข้า เก่งแค่ไหนกันเชียว?”
คนโดนปรามาสอึ้งจนพูดไม่ออก
จริงอยู่ที่ซูอี้ยืมพลังภายนอกมาใช้
ทว่านางก็ใช้ระดับการฝึกตนที่แตกต่างกันมาจัดการกับซูอี้มิใช่หรือ?
ฉับพลัน สายตาของนางราวกับกำลังยิ้มละไม “อย่างไรเสียสหายเต๋าก็ยอมรับแล้วว่าอาศัยความสามารถในตอนนี้ของเจ้า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
นางแลดูมีความสุขมาก ราวกับว่าในที่สุดก็รู้ไพ่ใบสุดท้ายของเขาแล้ว
ซูอี้ก็หัวเราะเช่นกัน และกล่าวอย่างมีเลศนัย “ความแตกต่างในระดับการฝึกตนระหว่างเจ้ากับข้า ยากนักจะชดเชยได้ก็จริง แต่ต่อให้ไม่มีค้อนทุบเซียนของยามบอกเวลา เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้จริง ๆ หรือ?”
ยมบาลสาวตะลึงอีกครา นางเชิดคางขาวเนียนขึ้นน้อย ๆ ราวกับท้าทายพลางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เพียงแค่ชนะ ยังสามารถทำให้เจ้าแพ้ได้อย่างราบคาบอีกด้วย กราบข้าเป็นนายเสียดี ๆ หากไม่ยอม สามารถลองดูได้!”
เพียะ!
ซูอี้ฟาดกระบองในมือลงบนก้นของหญิงสาว
ท่ามกลางเสียงดังกังวาน จุดที่กระโปรงสีดำบดบังส่ายขยับสั่นระริก
ความเจ็บแสบแผ่กระจายไปทั่วร่าง ถึงแม้จะไม่ได้ทำร้ายรุนแรง แต่ทำให้ยมบาลรู้สึกอับอายอย่างรุนแรง
ดวงตาสวยของนางเบิกกว้าง ใบหน้างดงามเลอเลิศแดงก่ำ แม้กระทั่งคอระหงขาวเนียนดังหิมะกับหูคู่สวยก็ยังแดงระเรื่อขึ้นมา นัยน์ตาทั้งสองราวกับมีไฟลุก
คนผู้นี้กล้าตีตรงนั้นของข้า!!
ทว่าที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ นางถูกเส้นใยผูกรัดตลอดทั้งตัว ทุกส่วนสัดบนตัวถูกบีบรัดให้เห็นอย่างชัดเจน
พอถูกฟาด ซูอี้จึงเห็นอาการตัวสั่นสะท้านของนางอย่างเต็มตา
นับแต่ฝึกตนมา นี่เป็นครั้งแรกที่ยมบาลสาวได้รับความอับอายจนไม่อาจพรรณนาได้แบบนี้ จิตวิถีจึงสั่นคลอน อับอายจนแทบคลั่ง
นางสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างสงบ “เจ้าเป็นถึงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้สยบแดนดิน แต่กลับกระทำในสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ แตกต่างอันใดจากพวกที่มีระดับการฝึกตนที่ด้อยกว่า?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “ใครกันที่เมื่อสักครู่นี้บอกว่าจะตีก้นข้าให้ลาย? มีแต่รับไม่มีให้ไร้มารยาท ข้าก็เพียงแค่ใช้วิธีของเจ้าคืนให้กับตัวเจ้าเท่านั้น”
รอยยิ้มกับน้ำเสียงหยอกล้อสบาย ๆ นั้นทำให้ยมบาลเคียดแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทว่า นางดูเหมือนจะเข้าใจว่าที่ซูอี้ทำเช่นนี้เพราะต้องการอยากจะเห็นนางเสียหน้า ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ในใจอยากจะฆ่าซูอี้ยิ่งนัก ทว่าภายนอกนางยังแลดูใจเย็นอยู่ตลอด
“หากเจ้าคิดว่า ทำเช่นนี้แล้วข้าจะยอมก้มหัวให้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดเสียแล้ว”
ยมบาลสาวเผยอริมฝีปากพูด ขณะปรายมองด้วยความหยิ่งผยอง “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงแค่ร่างจำแลงร่างหนึ่งของข้าเท่านั้น ต่อให้ถูกเจ้าทำลาย ก็ทำร้ายตัวจริงของข้าไม่ได้แม้แต่ปลายผม”
“ก้มหัว?”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่ต้องการให้ร่างจำแลงของเจ้าก้มหัว”
เพียะ!
เสียงดังกังวานอีกครั้ง
ร่างของยมบาลสาวราวกับถูกฟ้าผ่า สั่นไปทั้งตัว ขาเรียวยาวทั้งคู่เกร็งแนบติดกัน
ความรู้สึกเจ็บแสบเช่นนั้น ทำให้นางอับอายจนอยากตาย กัดฟันแน่น
ซูเสวียนจวินคนนี้ ช่างเลวร้ายเสียจริง!!
“เจ้าชนะแล้ว ยังคิดจะทำอะไรอีก?”
คิ้วงามของยมบาลขมวดเข้าหากัน สายตาเย็นชากระด้าง
นางในเวลานี้ ไม่ได้ปกปิดธาตุแท้ของตัวเองอีกแล้ว รอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกราบเรียบของผู้ชี้ชะตา
ประกายแสงบ้าคลั่งสีแดงโหมลุกอยู่ในแววตาคู่นั้นราวกับต้องการจะเผาผลาญใครสักคน
ยามนี้เอง ยมบาลก็โกรธขึ้นมาเสียแล้ว
ทว่าซูอี้คล้ายกับไม่รู้สึกตัว ยังคงหัวเราะพลางกล่าว “ให้บทเรียนแก่เจ้าเท่านั้น อย่างไร เพียงแค่โดนฟาดไปสองครั้ง ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”
เขายกกระบองไผ่ขึ้นทำท่าจะตีอีก
หน้าของยมบาลสาวเปลี่ยนไป ก่อนที่นางจะแผดเสียงลั่น “ซูเสวียนจวิน หากว่าเจ้าฟาดอีก ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”
เพีย!
เสียงดังกังวานอีกครั้ง
ยมบาลส่งเสียงร้องฮึออกมาจากจมูก จากนั้นหอบหายใจเล็กน้อย รู้สึกสะท้านจิตไปอีกแบบ
ชั่วขณะนี้ ผู้หญิงซึ่งเกรียงไกรไปทั่วใต้หล้าราวกับผู้ชี้ชะตาในบรรพกาลไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไปแล้ว
นางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว