บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 96 อำนาจป้ายหยกม่วง นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตระหนก
“พี่ซูช่างไร้ผู้ใดเปรียบ ท่านพาเสี่ยวหรานกลับมาได้จริงด้วย!”
ไม่ไกลนัก อาเฟยวิ่งพลางตะโกนด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้าเขาเฝ้ารออย่างประหม่า ทั้งยังไม่สบายใจยิ่ง แต่ขณะนี้เขาดีใจมากที่เห็นเฝิงเสี่ยวหรานบนหลังของซูอี้
“ไป กลับบ้านกัน” ซูอี้ตบไหล่เด็กชาย
ลึกเข้าไปในถนนต้นหลิว
ค่ำคืนที่นี่มืดมัวมาก มีเพียงแสงไฟสลัวจากบ้านหลายแห่ง โชคดีที่มีแสงจันทร์บนฟากฟ้าส่องสว่างตลอดทาง จึงไม่ยากเกินไปจะคลำหาทางในความมืดนี้
ในลานบ้านทรุดโทรมที่สร้างด้วยโคลนดิน กองไฟถูกจุดสว่าง
เฝิงเสี่ยวเฟิงนั่งบนรถเข็น ขณะเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
“พี่ชาย อย่ากังวลไปเลย เมื่อมีพี่ซู ไม่ว่าเหตุร้ายใดย่อมคลี่คลายได้โดยง่าย”
หวงเฉียนจวินทรุดนั่งข้างกองไฟ ถ้อยคำกันเองกล่าวออก “ท่านอาจไม่เชื่อ แต่ข้ากล้าสัญญาด้วยชีวิต เมื่อใดพี่ซูอี้เคลื่อนไหว การฆ่ายอดยุทธ์ก็เหมือนการฆ่าลิงฆ่าไก่โดยไม่ต้องพยายาม”
เฝิงเสี่ยวเฟิงถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนั้นก็คงดี”
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อ และคิดเพียงว่าหวงเฉียนจวินกำลังปลอบใจเท่านั้น
“น้องหวง เจ้าพบพี่ซูอี้ได้อย่างไร?” เฝิงเสี่ยวเฟิงเอ่ยถามคำเบา
“ข้า?”
หวงเฉียนจวินเกาศีรษะอย่างเขินอายเล็กน้อย “มันน่าละอายเกินกว่าจะพูด อืม… จะพูดอย่างไรดี ตอนนั้นข้าเป็นคนรุ่นใหม่เลือดร้อนของเมืองกว่างหลิง ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่โจษจันโด่งดังทั่วทุกหนแห่ง ข้าจึงทะนงตัวเสมอมา…”
จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องของตนเองก่อน แล้วจึงตัดเข้าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างเขากับซูอี้หนแรก ในครั้งนั้นพวกเขาเป็นเสมือนคนแปลกหน้า แต่ต่อมา กลับกลายเป็นเทิดทูนอีกฝ่ายสุดใจอย่างไร้กังขา…
เฝิงเสี่ยวเฟิงไม่สงสัยว่าโป้ปด ทั้งยังทึ่งกับเรื่องราว
กระทั่งหวงเฉียนจวินกล่าวถึงวีรกรรมอันยอดเยี่ยมของซูอี้และผลงานโดดเด่นที่งานประลองประตูมังกร เฝิงเสี่ยวเฟิงได้ยินดังนั้นแล้วเลือดในกายพลุ่งพล่าน ดวงตาเป็นประกายเด่นชัด
“ศิษย์พี่ซูอี้ควรค่าแก่การเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอก แม้ล้มเหลวก็ยังมั่นคง เมื่อกลับสู่หนทางบ่มเพาะ การบ่มเพาะของเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิม!”
แต่ทันใดนั้น ดวงตาของเฝิงเสี่ยวเฟิงกลับมืดหม่น
เมื่อขาถูกทำลาย การบ่มเพาะก็ถูกทำลายด้วย เกรงว่าเขาคงไม่อาจหวนคืนสู่หนทางฝึกฝนวิถียุทธ์ดังเช่นซูอี้อีกในชีวิตนี้…
“พี่ชาย อย่าท้อแท้ไป วิถียุทธ์คือสิ่งใด? มันคือพลังอำนาจที่คนทั่วไปไม่อาจครอบครอง พิชิตฟ้าดิน แปรเปลี่ยนสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นปาฏิหาริย์!”
แลเห็นว่าอารมณ์เฝิงเสี่ยวเฟิงดิ่งฮวบ หวงเฉียนจวินจึงกล่าวถ้อยคำปลอบโยนอย่างเร่งรีบ
“ท่านน่าจะทราบดี ในโลกหล้ายังมีเหล่าเทพเซียนเดินดินผู้แกร่งกล้าเหนืออื่นใด มันย่อมไม่แปลกหากพวกเขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ต่อกระดูกฟื้นเลือดเนื้อหรือชุบความตายของผู้คน เพียงแค่รักษาขาของท่านย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
“ต่อกระดูกฟื้นเลือดเนื้อชุบความตายของผู้คน?”
เฝิงเสี่ยวเฟิงพึมพำ “วิธีการที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น ข้าผู้พิการจะกล้าคาดหวังอย่างฟุ่มเฟือยได้อย่างไร?”
“เหตุใดถึงไม่กล้าคาดหวัง?”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังแว่วจากนอกลานบ้าน
เฝิงเสี่ยวเฟิงเงยหน้าขึ้นทันใด มองเห็นซูอี้แบกเฝิงเสี่ยวหรานไว้บนหลัง ก่อนที่อาเฟยจะผลักประตูเดินตรงเข้ามา
ฉับพลันเสมือนหินก้อนใหญ่ในหัวใจถูกยกออก ทั่วทั้งกายผ่อนคลายลง ก่อนกล่าวถ้อยคำตื่นเต้น “เสี่ยวหราน เจ้าไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”
“พี่ชาย ไม่เป็นไร ข้าไม่บาดเจ็บเลย!” เฝิงเสี่ยวหรานตอบเสียงดัง น้ำเสียงคมชัดเต็มเปี่ยมด้วยพลัง
ราวกับต้องการพิสูจน์ให้เห็น นางกระโดดลงจากหลังซูอี้ ยืดเหยียดร่างกายผอมเพรียวและบอบบาง นางกล่าวออก “ดูสิพี่ชาย ข้าสบายดี”
ดวงตาเฝิงเสี่ยวเฟิงแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวออก “อืม ดีมาก ดีจริง ๆ! ศิษย์พี่ซูอี้…”
เขาคว้าไม้ค้ำยันพลางพยายามลุกขึ้นเพื่อขอบคุณ
ซูอี้ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ ก้าวไปด้านหน้าเพื่อจับอีกฝ่ายนั่งลงก่อนกล่าวว่า “ครั้งที่เราอยู่ในสำนักดาบชิงเหอ เจ้าและข้าไม่เคยต้องสุภาพต่อกัน มันเคยเป็นแบบนั้นและควรจะเป็นเช่นเดียวกันสืบต่อไป”
เฝิงเสี่ยวเฟิงยิ้มกล่าว “เข้าใจแล้ว!”
“พี่เสี่ยวเฟิง เช่นนั้นข้าขอกลับบ้านไปทานอาหารเย็นก่อน” อาเฟยด้านข้างกล่าวออก
“อย่าเพิ่งไป เราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” ซูอี้กล่าว
เมื่อพูดถึงเรื่องกิน ท้องเขาก็เริ่มหิวขึ้นมา
ช่วยไม่ได้ การบ่มเพาะวิถียุทธ์ จำเป็นต้องกินอาหารปริมาณมากในทุกวันเพื่อเติมเต็มพลังกาย
หากเข้าสู่หนทางวิถีต้นกำเนิด จึงจะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพียงแค่ดูดซับปราณวิญญาณก็เพียงพอ
“ดี! ไป ‘ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์’ ในเมืองกัน!”
หวงเฉียนจวินตระเตรียมเรียบร้อย เขาก็หิวแล้วเช่นกัน
“ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์?”
อาเฟยตกตะลึง “นั่น…นั่นไม่ใช่ร้านอาหารที่มีแค่คนชั้นสูงเท่านั้นหรือ? จานเดียวราคาหลายร้อยตำลึง ซึ่งเทียบเท่ากับเงินเก็บหลายปีของครอบครัวข้า”
หวงเฉียนจวินหัวเราะดัง “ฮ่า ๆๆ ไปกันเถอะ วันนี้พี่ใหญ่หวงจะเลี้ยงเจ้าเอง!”
แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหนุ่มจอมวายร้ายผู้นี้จะย่ำแย่ในหลายเรื่อง แต่เขาเชี่ยวชาญเรื่องการใช้จ่ายเงินทอง ร่ำสุรา เสพสุขกับนางโลม และการพนัน
เฝิงเสี่ยวเฟิงรีบกล่าวท้วง “นั่นแพงเกินไป เรายังไม่…”
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ไม่เปิดโอกาสให้ศิษย์ผู้น้องของตนปฏิเสธ ก่อนผลักรถเข็นไปด้านนอก ขณะเดียวกันเขาออกคำสั่งกับหวงเฉียนจวิน “ไปหารถม้ามา”
หวงเฉียนจวินส่งเสียงรับและรีบจากไป
เขาดีใจอย่างมาก ในที่สุดก็ถึงเวลาของข้าผู้นี้ได้ลงมือทำบางสิ่ง…
“เสี่ยวหราน อาเฟย รีบตามมา” ซูอี้กล่าวเตือน
อาเฟยและเฝิงเสี่ยวหรานต่างตอบรับและเดินตามไป
กระทั่งซูอี้และผู้อื่นมาถึงหน้าตรอกต้นหลิว แลเห็นรถม้าใหญ่โตและสวยงามจอดนิ่งอยู่ ขณะที่หวงเฉียนจวินเป็นคนขับรถม้า
“ทุกคนขึ้นมา วันนี้ข้าจะเป็นคนขับรถม้าให้เอง” หวงเฉียนจวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อาเฟยอดไม่ได้ที่จะอุทานดัง “พี่หวง ท่านใช้เวทมนตร์หรือ จึงหารถม้าได้รวดเร็วเพียงนี้?”
หวงเฉียนจวินเอ่ยคำแผ่วเบา “เด็กน้อย จำคำข้าไว้ ทุกสิ่งอย่างแก้ไขได้ด้วยเงิน!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนขึ้นรถม้าแล้ว เขากระตุกบังเหียนเสมือนสารถีอันช่ำชอง “นั่งลงให้เรียบร้อย ไปได้!”
…
ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
มันตั้งอยู่ในพื้นที่รุ่งเรืองทางตะวันออกของมหานครอวิ๋นเหอ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นย่านทำเลทองในเมือง ผู้คนแถวนี้ล้วนร่ำรวยเงินทอง
ขณะนี้ยังไม่ดึกมาก แสงไฟยังคงมีอยู่
ภัตตาคารสูงเก้าชั้นสว่างไสว เสี่ยวเอ้อแต่งตัวสะอาดสะอ้านคอยทักทายและส่งแขกอย่างสุภาพ
“ขออภัยแขกทุกท่าน ขณะนี้ไม่มีห้องส่วนตัวเหลือพอให้ท่านรับประทานแล้ว”
เมื่อเห็นซูอี้และผู้คนกำลังตรงมา เสี่ยวเอ้อโค้งคำนับแล้วกล่าว “พวกท่านจะรอหรือไม่? หรือประสงค์จะไปทานร้านอื่น?”
หวงเฉียนจวินพ่นลมเย็นชา “อย่าคิดหลอกข้า คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์มีห้องส่วนตัวว่างเว้นทุกวันเผื่อกรณีฉุกเฉิน?”
เสี่ยวเอ้อตกตะลึงครู่หนึ่ง จึงกล่าวอธิบาย “ในเมื่อคุณชายทราบอยู่แล้ว คงจะทราบด้วยว่าห้องส่วนตัวที่ว่างเว้นเปิดให้เฉพาะแขกผู้มีเกียรติอย่างยิ่งเท่านั้น”
กิริยาท่าทางไม่เลวร้าย ทั้งยังสุภาพมากด้วย
เพียงแต่ดวงตากวาดมองเฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และอาเฟยเป็นครั้งคราว ก่อนดูท่าทีแปรเปลี่ยนไปบ้าง
“เจ้าหมายถึง ตัวตนของเรานั้นไม่มีสิทธิ์?” หวงเฉียนจวินกล่าวด้วยถ้อยคำเคืองขุ่น
เสี่ยวเอ้อยิ้มขมขื่นและกล่าวออก “คุณชายอย่ากล่าวเช่นนั้น ข้าเป็นเพียงคนรับใช้ จะริอ่านคิดแบบนั้นได้อย่างไร”
ทันใดนั้น เสียงแปลกใจดังขึ้นจากด้านข้าง “ซูอี้?”
ชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามา เป็นบุรุษที่เปี่ยมล้นด้วยรูปลักษณ์อันกล้าหาญและยังหล่อเหลา หันมองซูอี้อย่างแปลกใจ ราวกับไม่เชื่อสายตา
ซูอี้เงยหน้ามอง จดจำตัวตนอีกฝ่ายได้ทันที
เหยียนเฉิงหรง
ผู้โดดเด่นในหมู่ศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ
บุรุษผู้นี้มีอารมณ์ร้าย ทะนงตัวเหลือล้น เฉกเช่นเดียวกับเว่ยเจิงหยาง พวกเขาต่างเป็นทายาทของตระกูลใหญ่โตในมหานครอวิ๋นเหอ
ย้อนกลับไปครั้งอยู่ในสำนักดาบชิงเหอ เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับซูอี้ กระทั่งซูอี้กลายเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอก เหยียนเฉิงหรงก็ยังไม่คิดยอมรับ
ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวถ้อยคำอันโด่งดังไปทั่วสำนักดาบชิงเหอ
“หากข้าเอาชนะซูอี้ไม่ได้? ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกเขางั้นหรือ?”
สู้ไม่ได้ แล้วยังดูหมิ่น เหมือนกับอันธพาลในตลาด สู้ได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ก่อกวนไว้ก่อนเป็นพอ
สำหรับเหยียนเฉิงหรงและทายาทของตระกูลอื่น ซูอี้ซึ่งเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกนั้นแข็งแกร่งยิ่ง
แต่สถานะของซูอี้นั้นด้อยกว่า จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกล้าดูหมิ่นอีกฝ่ายอย่างไร้ยางอาย
แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงอดีต
เนื่องจากซูอี้สูญเสียการบ่มเพาะและกลายเป็นศิษย์ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอ จึงกลายเป็นเรื่องราวขบขันในหมู่ศิษย์ร่วมสำนักมาช้านาน
เหยียนเฉิงหรงไม่คาดคิดว่า เขาจะได้พบเจอซูอี้อีกครั้งที่หน้าประตูภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ในวันนี้
“โอ้? ศิษย์น้องเฝิงเสี่ยวเฟิงก็อยู่ด้วย จิ๊ จิ๊ พี่น้องสองคนกลับมาพานพบหน้ากันอีกแล้ว”
เมื่อเหยียนเฉิงหรงเห็นเฝิงเสี่ยวเฟิง ถ้อยคำหยอกล้อกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแตกต่างไป
“คนหนึ่งพิการ คนหนึ่งขยะ หากข้ารังแกพวกเจ้าอีก คงไม่ต่างจากรังแกสุนัขจรจัด นั่นไม่สนุกแม้แต่น้อย”
เหยียนเฉิงหรงพลันส่ายศีรษะ ราวกับรู้สึกเบื่อหน่าย เขาโอบกอดเอวเรียวบางของหญิงสาวข้างกาย ก่อนเดินตรงเข้าไปในภัตตาคาร
“อ้อ จริงสิ ค่ำคืนนี้ เหนียนอวิ๋นเฉียวอยู่ที่นี่กับอวี๋เชี่ยนใน ‘โถงประดับอาภรณ์’ บนชั้นเจ็ดของภัตตาคาร”
เสียงเหยียนเฉิงหรงดังขึ้นอีกครั้งจากระยะไกล
แม้ถูกเยาะเย้ยเพียงใดก่อนหน้า เฝิงเสี่ยวเฟิงก็ไม่ใส่ใจ
แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ใบหน้าพลันหม่นหมองทันใด มือทั้งสองกำแน่น ความเจ็บปวด ความแค้นเคือง และความขมขื่นเผยออกในท่าที
ซูอี้ตบไหล่เขาพลางกล่าวเสียงเรียบ “เคืองโกรธถึงคนที่กำลังจะตายตกนั้นไม่คุ้มค่า”
น้ำเสียงเฝิงเสี่ยวเฟิงแผ่วเบาและขมขื่น “ศิษย์พี่ซูอี้ เหตุใดเราไม่รีบกลับเสีย หากเหนียนอวิ๋นเฉียวรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ เขาต้องมาที่ประตูเป็นแน่”
“จะกลับไปได้อย่างไร? ข้าคิดว่า เรามาถูกเวลาแล้วในคืนนี้”
ถ้อยคำเรียบง่ายเอ่ยออก แสงเย็นเยียบส่องประกายในม่านตา
ครึ่งปีก่อน เป็นเหนียนอวิ๋นเฉียวที่หักขาเฝิงเสี่ยวเฟิง ทำให้เขากลายเป็นคนพิการ!
เดิมทีอวี๋เชี่ยนเป็นหญิงคนรักของเฝิงเสี่ยวเฟิง และนางก็คือผู้ที่แทงข้างหลังเฝิงเสี่ยวเฟิงอย่างเหี้ยมโหดที่สุด
หวงเฉียนจวินกล่าวออก “ใช่ มื้อนี้ต้องกินที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ และต้องกินอย่างสุขสำราญที่สุด!”
ในเวลานี้ เสี่ยวเอ้ออดไม่ได้ที่จะกล่าวออก “ทุกท่าน แต่ภัตตาคารของเราไม่มีโต๊ะเพียงพอให้ท่านทานอาหารขณะนี้ ข้าคิดว่า ท่านควรเปลี่ยนไปร้านอื่นแทน”
เขารับชมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เหยียนเฉิงหรงถากถางซูอี้และเฝิงเสี่ยวเฟิง เมื่อเผชิญหน้ากับพวกซูอี้อีกครั้ง ร่องรอยความหงุดหงิดจึงปรากฏในดวงตา ทั้งน้ำเสียงยังเย็นชาเช่นกัน
หวงเฉียนจวินหงุดหงิดทันใด เมื่อครู่ท่าทีหยิ่งผยองของเหยียนเฉิงหรงทำเขาเคืองโกรธอยู่แล้ว…
ตอนนี้แม้แต่เสี่ยวเอ้อเฝ้าประตูยังกล้าดูถูกซึ่งหน้าอีก แล้วหวงเฉียนจวินจะอดทนต่อไปได้อย่างไร?
ตอนนั้น ขณะปากคิดเอ่ยคำออก
ซูอี้โยนป้ายหนึ่งออกไป “ดูนี่ก่อน เท่านี้มีคุณสมบัติพอหรือไม่?”
เมื่อรับป้าย เสี่ยวเอ้อก็อดสงสัยไม่ได้
ป้ายนี้แกะสลักจากหยกสีม่วง มันหนักอึ้ง แล้วยังเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ
ด้านหลังสลักอักษรโบราณ ‘เซียว’
“รอสักครู่ ข้าจะไปถามเถ้าแก่เนี้ย”
เสี่ยวเอ้อไม่อาจล่วงรู้ที่มาของป้ายหยกนี้ แต่ตระหนักว่ามันไม่ธรรมดา จึงรีบหันหลังกลับเดินเข้าไปในภัตตาคาร
ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มคนเร่งรุดออกจากภัตตาคาร ก่อเกิดความประหลาดใจชั่วครู่แก่เสี่ยวเอ้อและสาวใช้ที่ประจำตำแหน่งใกล้ประตู
สถานการณ์นี้คืออะไร?
เหตุใดเถ้าแก่เนี้ยและผู้ดูแลทั้งแปดถึงออกมาทั้งหมด?
แขกผู้มีเกียรติคนใดของเมืองมาเยือนกัน?
แขกบางคนบริเวณใกล้เคียงถูกดึงดูดความสนใจ สายตาจับจ้องเผยความพิศวง
ในมหานครอวิ๋นเหอ เถ้าแก่เนี้ยแห่งภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ‘นายหญิงชุ่ยอวิ๋น’ เป็นตัวตนที่มีหูมีตาทั่วทุกแห่ง และยังมีเส้นสายใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจมากมาย
กระทั่งคุณชายบางคนที่นับได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโต แต่พวกเขากลับไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมาต้อนรับด้วยตนเองด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้ นายหญิงชุ่ยอวิ๋นและผู้ดูแลทั้งแปดกลับออกมาต้อนรับทั้งหมด!
ดวงตาทุกคู่รอบตัวจับจ้องไปยังที่แห่งเดียวชั่วขณะหนึ่ง
“นายหญิง นี่คือ… คุณชายที่หยิบป้ายหยกนี้ออกมา”
เสี่ยวเอ้อเหงื่อตก ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง ร่างกายสั่นเทา แทบไม่กล้าหายใจ
หลังจากที่เขาเอาป้ายหยกไปให้เถ้าแก่เนี้ย สีหน้านางก็แปรเปลี่ยนไปมาก เป็นครั้งแรกที่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
จากนั้นก็เกิดภาพดังกล่าว
เสี่ยวเอ้อคิดไม่ตก มันเป็นเพียงป้ายหยก แต่กลับทรงอำนาจอย่างน่าเหลือเชื่อ หาไม่แล้วตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างนายหญิงคงไม่ตื่นตระหนกและออกมาทักทายด้วยตนเอง
ตึง!
ครั้งนายหญิงชุ่ยอวิ๋นสบตากับซูอี้ นางตกใจเล็กน้อยในตอนแรก ราวกับไม่คาดคิดว่าเจ้าของป้ายจะเป็นบุรุษอายุน้อยเพียงนี้
ทันใดนั้นนางก้มตัวโค้งคำนับ ก่อนยิ้มกล่าว “ยินดีต้อนรับคุณชาย โปรดอภัยที่ข้าน้อยไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง”
หญิงสาวผู้นี้มวยผมสูง สวมชุดกระโปรงสีดำตัดเย็บอย่างประณีต ใบหน้างามงดผุดผ่อง ผิวขาวบอบบางราวกับหิมะ ท่าทีงามสง่าสมเป็นผู้ใหญ่
ด้านหลังนาง ผู้ดูแลทั้งแปดโค้งคำนับ
รับชมภาพนั้น เสี่ยวเอ้อและแขกเหรื่อใกล้เคียงต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เข่าของเสี่ยวเอ้ออ่อนฮวบ แทบทรุดตัวคุกเข่าลงพื้น แม้อยากจะหลั่งน้ำตาเพียงใด แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา เขาคิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นเพียงหนุ่มสาวไม่สลักสำคัญ
ไหนเลยจะคาดคิด… กลับกลายเป็นคนใหญ่โตขนาดนี้!
ขณะเดียวกัน เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และอาเฟยต่างมึนงง มันเป็นเพียงป้ายหยก จะก่อเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ได้อย่างไร?
“เราจะจัดงานเลี้ยงที่นี่ จัดหาห้องให้ด้วย” ซูอี้กล่าวถ้อยคำไม่ใส่ใจ
ท่าทีไม่แยแสและสุขุมนุ่มลึกของเขา ทำให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นพยักหน้ารับเงียบงัน
หากถือครอง ‘ป้ายหยกม่วง’ อันล้ำค่าของตระกูลเซียวได้ ไม่ว่าจะเยาว์วัยเพียงใดก็ถือได้ว่าไม่ธรรมดา
แม้ในกลุ่มรุ่นเยาว์นี้จะมีสามคนที่แต่งตัวดูยากจนอยู่ชัดเจน แต่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นนี้รู้ความดี ไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ ไม่มีแม้แต่จะเผยร่องรอยความประหลาดใจในท่าทางและสายตา
นางหันศีรษะกระซิบกล่าวกับผู้ดูแลคนหนึ่งด้านข้าง “ไปเตรียมห้องชั้นเก้า ‘โถงธารคีรี’ สั่งให้ใครสักคนชงชาก่อน จำไว้ให้ดี รักษามาตรฐานสูงสุด”
“ขอรับ!” ผู้ดูแลรีบจากไปในทันที
“ไปหยิบไห ‘เพลิงเมฆาหยก’ ที่ข้าเก็บไว้ในห้องใต้ดิน นำไปยังโถงธารคีรีโดยตรง เพื่อแสดงความจริงใจของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ของเรา”
“ส่วนเจ้าไปยังครัวด้านหลังเพื่อจัดเตรียมอาหาร เลือกส่วนผสมที่ดีที่สุด แล้วให้พ่อครัวอาวุโสหวังปรุงด้วยตนเอง”
“ส่วนเจ้าไปรอที่โถงธารคีรี คอยรับใช้ตลอดเวลา อย่าได้ละเลยสิ่งใด”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกล่าวถ้อยคำรวดเร็ว พลางออกคำสั่งชุดใหญ่ เหล่าผู้ดูแลจึงเร่งดำเนินการทันใด
หลังจากนั้น ยิ้มอ่อนหวานปรากฏ นางหันข้างเล็กน้อยแสดงท่าทีเชิญชวนก่อนกล่าวออก “คุณชายและแขกผู้ทรงเกียรติ โปรดตามข้ามาเถิด”
สิ้นเสียง นางจึงเดินนำทางไป
ด้วยการต้อนรับอันสุภาพและโอ่อ่าระดับดีเลิศเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากบริเวณใกล้เคียงที่แลเห็นล้วนอ้าปากค้าง
กระทั่งซูอี้และผู้อื่นเดินหายเข้าไปในภัตตาคาร เสี่ยวเอ้อที่รออยู่ก่อนหน้าไม่อาจยืนนิ่งได้อีกต่อไป เขาทรุดตัวลงพื้นพร้อมใบหน้าซีดเซียว
และตระหนักได้ว่าตนเองหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ!!!