บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 960: กรรโชก
ตอนที่ 960: กรรโชก
ยมบาลมีรูปโฉมอันงดงาม
นางมีผมยาวนุ่มสลวยสวยเป็นประกายสีน้ำเงิน ใบหน้าใสซื่อดุจดรุณี ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตาใสประดุจน้ำ ปลายหางตามีความเย้ายวนรัญจวนใจ
ชุดกระโปรงสีดำเรียบราวกับน้ำหมึก ไร้ซึ่งสิ่งแต่งเติม ทว่าขับผิวของนางให้ขาวเนียนสว่างใส โดดเด่นเป็นที่จับตามอง
สีหน้านั้นกลับเย็นชาไร้ความรู้สึก แฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวของผู้เป็นใหญ่ มีอานุภาพดุจดังผู้ชี้ชะตาชีวิต
ทว่าเวลานี้หลังจากที่โดนซูอี้ชี้กระบองไม้ไผ่ตีไปสามที ใบหน้าของยมบาลสาวแดงก่ำด้วยความอับอายและเคียดแค้น โกรธจนร่างถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมาน้อย ๆ
สายตาที่จ้องมองไปยังซูอี้คมกริบประดุจคมมีด อยากจะจับเขาถลกหนังให้รู้แล้วรู้รอดไป
อาการโกรธจนตัวสั่นเช่นนี้ทำให้ท่าทีหยิ่งผยองเย็นชาเจือจางลงจนไม่มีเหลืออีก กลายเป็นความงดงามอีกแบบหนึ่ง
“คนอย่างข้า ไม่เคยกลัวคำข่มขู่ ยิ่งเจ้าขู่ข้า ข้าก็ยิ่งจะทำ”
ในสายตาของเขา ผิวขาวเนียนนุ่มประดุจหิมะของยมบาลแดงระเรื่อขึ้นมา แลดูงดงามยิ่งนัก
นางเม้มริมฝีปากเงียบไม่พูดสักคำ
เพียงแต่ว่าในแววตาคู่นั้น กลับเปล่งประกายความเย็นยะเยือกบาดลึกเข้ากระดูกออกมาอย่างเต็มที่
ซูอี้รู้สึกหมดสนุกขึ้นมา
เขาชี้นิ้วไปที่กระบองไม้ไผ่ ขณะแตะลงบนหัวไหล่ของยมบาลสาวเบา ๆ
ปัง!
พลังกฎเกณฑ์สีเทาเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนที่บีบรัดตัวยมบาลอย่างแน่นหนาพลันหายลับไปในพริบตา
ไม่มีสิ่งใดผูกรัดอีก ยมบาลสาวแอบโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าสายตาของนางยังคงเย็นเฉียบเหมือนดังเดิม “เพียงแค่นี้ก็เลิกแล้วหรือ? เหตุใดจึงไม่ลงมือต่ออีกเล่า? หรือว่า เจ้ารู้สึกกลัว ไม่กล้าลงมืออีก?”
ซูอี้ยิ้มพลางกลับไปนั่งบนเก้าอี้หวาย “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงแค่สถานะของเจ้าเท่านั้น ถึงแม้จะทำให้เจ้ายอมสยบ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจอะไรมากนัก”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ชายตามองไปที่ยมบาลสาว และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จงจำเอาไว้ ครั้งนี้เจ้าเป็นคนหาเรื่องก่อน ข้าไม่ได้ทำลายร่างจำแลงร่างนี้ของเจ้าถือได้ว่าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว”
เวลานี้ดวงตาของยมบาลหรี่ลงเล็กน้อย ในใจรู้สึกสั่นสะท้าน
คำพูดที่ฟังดูเบาสบายของชายหนุ่มนี้ แท้จริงแล้วเผยให้เห็นถึงเจตนาต้องการฆ่า
จากนั้นยมบาลพลันหัวเราะขึ้นมา ราวกับน้ำแข็งละลายภายใต้แสงตะวันยามวสันต์ ดวงตาใสสว่างงดงามคู่นั้นเย้ายวนมีเสน่ห์
“ดูท่าแล้ว สหายเต๋ามีจุดประสงค์อื่นในตัวข้า”
ยมบาลสาวอมยิ้มน้อย ๆ การแสดงออกเริ่มสงบเย็นใจลง “มิเช่นนั้น ด้วยภาวะจิตอันเย็นชา เด็ดขาด รวดเร็วของสหายเต๋า จะละเว้นไม่ฆ่าได้อย่างไรกัน?”
ซูอี้กล่าว “ไม่ถึงกับโง่เขลา ฉลาดขึ้นมาแล้ว”
“…”
ซูอี้กล่าวต่อโดยไม่สนใจอีกฝ่าย “กล่าวตามตรง สิ่งที่เจ้าต้องการ ก็คือพลังที่สามารถต้านทานกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ ส่วนข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับหอเก้าสวรรค์จากเจ้า ข้าคิดว่า พวกเราสองคนสามารถร่วมมือกันได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ดวงตาคู่งามของยมบาลสาวเป็นประกายวาบ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ร่วมมืออย่างไร?”
ซูอี้ตอบโดยไม่ต้องคิด “เจ้าจะต้องแสดงความจริงใจก่อน ฆ่าพวกของหงอิ๋งเสีย วันข้างหน้าข้าจะช่วยร่างแท้ของเจ้าให้หลุดพ้นจากการกักขังในเมืองมรณะ อีกทั้งไม่รังเกียจที่จะร่วมมือกับเจ้าเพื่อรับมือหอเก้าสวรรค์ด้วย”
ประมุขหอเก้าสวรรค์หาผู้ที่สามารถต้านทานกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้
เช่นนี้ซูอี้จึงคาดเดาได้ว่าไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะต้องเปิดศึกกับหอเก้าสวรรค์อย่างแน่นอน
เวลานี้ หากสามารถดึงตัวตนระดับ ‘จ้าวเรือนจำ’ อย่างยมบาลมาอยู่ฝ่ายตัวเองได้ นางจะสามารถช่วยได้มากอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่ายมบาลสาวกลับหัวเราะขึ้นมา แววตาส่อประกายดูแคลน “การร่วมมือเช่นนี้ เห็นชัด ๆ ว่าเจ้าคิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือ ไม่ได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย”
ซูอี้จ้องมองดูคนตรงหน้าสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “จากสภาพการณ์ในตอนนี้ ในโลกนี้มีเพียงแต่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับมือกับกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้”
ประโยคเดียว รอยยิ้มบนใบหน้ายมบาลสาวถึงกับทื่อไป
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกลบเกลื่อนความเคียดแค้นที่มีต่อหอเก้าสวรรค์เลย ไม่เช่นนั้น ตอนที่เจ้าไปถึงภูมิมืดมิดก็คงไม่เสี่ยงไปแย่ง ‘หญ้าลวงสวรรค์’ จนแตกหักกับดินแดนปรภพหรอก”
ซูอี้ลูบคาง พลางกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงได้เคียดแค้นต่อหอเก้าสวรรค์ แต่ข้ารู้ว่าด้วยนิสัยของเจ้า วันข้างหน้าจะต้องไปแก้แค้นอย่างแน่นอน”
“และข้า สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุดแก่เจ้าได้”
พูดถึงตรงนี้ ซูอี้หยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอึกหนึ่ง “เจ้าลองพิจารณาข้อเสนอที่ข้าเอ่ยขึ้นเมื่อสักครู่ดู ”
ยมบาลร้องอ้อ จากนั้นยิ้มพริ้มพรายพลางเอ่ย “ซูเสวียนจวิน มั่นใจเกินไปนั้นไม่ดี เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นนั้นหรือ?”
พูดจบ สายตาของนางดุดันและหยิ่งผยองขึ้นมา “ตอนที่อยู่ในเมืองมรณะ ข้าเคยบอกไปแล้วว่า ข้าไม่กลัวการเล่นกับไฟ หากไม่ใช่ข้าเป็นฝ่ายสยบเจ้า ทำให้เจ้าต้องมากราบแทบเท้าข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องเป็นฝ่ายถูกเจ้าสยบ ถึงเวลานั้นค่อยทำตามความประสงค์ของเจ้า เป็นอย่างไร?”
ยมบาลสาวยังคงไม่ยอมแพ้ และต้องการจะหาโอกาสสยบชายหนุ่มให้ได้ นางต้องการให้ซูอี้มาเป็นทาสของนาง!
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด กลับหัวเราะพลางกล่าว “ข้ายังจำได้ เจ้าเคยพูดไว้ว่า เจ้ามี ‘ร่างมาตุรงค์’ ทั้งยังเคยบอกด้วยว่าพรสวรรค์เช่นนี้เป็นเตาหลอมฝึกคู่เพียงชิ้นเดียวในปฐพี วันข้างหน้าหากเจ้าพ่ายแพ้ขึ้นมา อย่าลืมก็แล้วกันว่าเคยพูดเช่นนี้เอาไว้”
“…”
นางพลันนึกถึงภาพที่ตัวเองโดนซูอี้ใช้กระบองไม้ไผ่ฟาดเมื่อสักครู่ขึ้นมา รสชาติความอัปยศที่เจ็บแสบนั้นกระตุ้นหัวใจของนางจนรู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาใสสว่างของยมบาลสาวจับจ้องมองไปที่ซูอี้ ริมฝีปากแดงอิ่มเอิมเผยอขึ้น จากนั้นกล่าวทีละคำช้า ๆ “ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ดูกันว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นฝ่ายสยบใคร!”
หลังจากเอ่ยเช่นนี้ออกมาเสร็จ ร่างของยมบาลสาวก็หายไป
ซูอี้ไม่ได้ขัดขวาง
เขานั่งอยู่ตรงนั้นดื่มสุราของตัวเองด้วยท่าทีสงบนิ่งเหมือนดังเคย
ผู้หญิงอย่างยมบาลมีความงดงามไม่ใครเทียบเทียม ทว่าแท้จริงมีนิสัยเย็นชาบ้าคลั่ง และนางยังเป็นบุคคลผู้เป็นใหญ่ที่ผู้ฝึกตนมากมายในใต้หล้าล้วนให้ความหวาดกลัวตั้งแต่สมัยอดีตบรรพกาล
จะให้ผู้หญิงเช่นนี้ยอมก้มหัวให้ความร่วมมือจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตามที่ทราบกันดีว่า ครั้งนั้นดินแดนปรภพต้องใช้ผู้สามารถจำนวนมากมาย ใช้ของล้ำค่าต่าง ๆ นานา ต้องทุ่มเทไปมากมาย จึงสามารถจับตัวยมบาลขังในเมืองมรณะได้
เวลาผ่านพ้นไปนานมากแล้ว ดินแดนปรภพได้หายสาบสูญไปท่ามกลางกาลเวลาอันนมนานแล้ว ทว่าผู้หญิงคนนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงสามารถรู้ได้ว่าพื้นฐานและฝีมือของนางนั้นมีความน่ากลัวถึงเพียงใด
จนกระทั่งดื่มสุราจนหมดแล้ว ซูอี้จึงลุกขึ้นแล้วเดินตัวปลิวไป
——
ตลาดมืด
ณ หอแอ่งกระทะ
“ใต้เท้า นี่เป็นศิลาถ้ำเทพเบิกทวารสามก้อนที่พวกเราหอแอ่งกระทะมี ท่านได้โปรดรับไว้ด้วยขอรับ”
ผู้เฒ่าม่อ ผู้ดูแลรับผิดชอบหอแอ่งกระทะยิ้มนอบน้อม ขณะประเคนกล่องหยกใบหนึ่งขึ้นไปให้ด้วยความเคารพยำเกรง
แมวเหลืองอ้วนนอนสบายอยู่ตรงนั้น มันกำลังดื่มสุราส่งเสียงดัง
เมื่อได้ฟังความ แมวเหลืองก็เหลือบตาสีน้ำเงินขึ้นมอง พลางส่งเสียงร้องฮึออกมาจากจมูก “สามก้อน? เจ้าให้เงินขอทานอยู่เช่นนั้นหรือ! จะบอกให้รู้ไว้ หากว่าวันนี้หอแอ่งกระทะของพวกเจ้าไม่มอบศิลาถ้ำเทพเบิกทวารจำนวนสิบก้อนขึ้นไป หอแอ่งกระทะแห่งนี้จะมลายหายไปจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์!”
ผู้เฒ่าม่อตัวสั่นงันงก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มหน้าผาก รีบเอ่ยขึ้นมา “ใต้เท้า โปรดฟังผู้น้อยพูดให้จบ ถึงแม้จะมีศิลาถ้ำเทพเบิกทวารแค่สามก้อน แต่หอแอ่งกระทะของพวกเรายังมีศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏสี่ก้อน กับศิลานิลกาฬประชันโลหิตสามก้อน รวมกันเป็นสิบก้อนพอดี”
“พอดี?”
สายตาของแมวเหลืองผุดประกายเย้นหยัน “ถ้าเช่นนั้นดีเลย เจ้าจงไปเอามาให้ข้าอีกสิบก้อน!”
“เอ่อ…”
ผู้เฒ่าม่อรู้สึกลำบากจนอยากจะร้องไห้ออกมา
“อย่ามาตีหน้าเศร้า! ที่ผ่านมาหอแอ่งกระทะของพวกเจ้าเก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าในตลาดมืดจำนวนไม่น้อย เพียงแค่ศิลาล้ำค่าโดยกำเนิดสิบก้อนเท่านั้น สำหรับพวกเจ้าแล้วถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
แมวเหลืองทำท่าหมดความอดทนแล้ว ใช้กรงเล็บเคาะโต๊ะ กล่าวด้วยสายตาดุดัน “ตอบมาเร็ว ๆ ให้ได้เท่าไรกันแน่?”
ผู้เฒ่าม่อสีหน้าเปลี่ยนไป ผ่านไปนานมากกว่าเขาจะพูดขึ้นมา “ใต้เท้า มากสุดให้เพิ่มได้อีกห้าก้อน มากกว่านี้ ท่านฆ่าผู้น้อยตาย ก็ไม่มีอีกแล้ว“
แมวเหลืองส่งเสียงร้องฮึ “เอาออกมาแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว ต้องให้ข้าพูดมากเสียน้ำลายอยู่ได้ ไม่ไหวเลย”
ผู้เฒ่าก้มหน้านิ่งไม่กล้าส่งเสียง มีแต่ความสลดหดหู่และจนปัญญา
ที่เมืองรัตติกาลนิรันดร์นี้ มีแต่คนแก่อย่างเขาเช่นนี้จึงรู้ว่า ‘ใต้เท้าไคหยาง’ ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ทำตัวบาทใหญ่และวางอำนาจเพียงไหน
แน่นอน เวลาปกติ ไคหยางไม่ต้องทำตัวขูดรีดวางอำนาจเช่นนี้
แมวเหลืองก็นำพาสมบัติของมีค่าจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะจากไป แมวเหลืองแสร้งพูดเตือนสติแบบไม่ตั้งใจขึ้นมา “หากว่านายท่านของข้าถาม เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรจะตอบเช่นใด?”
ผู้เฒ่าม่อกระจ่างในทันใด กล่าว “รู้ขอรับ!”
แมวเหลืองถอนใจเบา ๆ “นายท่านจะต้องรู้อย่างแน่นอน ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้เขาไม่มีทางถามเรื่องเหล่านี้เป็นแน่ หากว่านายท่านเกิดถามขึ้นมา ต้องเอาเรื่องนี้มาจัดการข้าเป็นแน่”
ทันใด มันก็แสดงท่าทีหวาดกลัวขึ้นมา
ครั้งนี้ตนเองทำงานให้ใต้เท้าซู ถึงแม้นายท่านไม่ชอบที่ตนเอง ‘กรรโชก’ พ่อค้าหน้าเลือดในตลาดมืด แต่ก็คงจะปิดตาข้างหนึ่งยอมอะลุ้มอล่วยให้เป็นแน่!
เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับร้านค้าระดับสูงร้านอื่น ๆ ในตลาดมืด
เช่นเดียวกับที่หอแอ่งกระทะ ร้านค้าระดับสูงเหล่านี้ล้วนเปิดกิจการอยู่ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์มาเป็นเวลานาน วางรากฐานลึก มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ หิ้วใครออกมาสักคน เป็นไปได้อย่างสูงว่าเบื้องหลังของพวกเขาอาจเป็นขุมกำลังระดับสูงในภูมิมืดมิด!
ทว่าตอนนี้ ล้วนถูก ‘แมวเหลือง’ กรรโชกกันถ้วนหน้า
มังกรเก่งไม่ทำร้ายงูเจ้าถิ่น
เจอการกรรโชกจากแมวเหลือง ใครบ้างไม่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี?
ร้านค้าพาณิชย์ระดับสูงถึงขั้นพากันมอบ ‘ศิลาเวียนไตรภพ’ ด้วยความยินดี
เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลอื่น เพราะพวกเขารู้ว่าสร้างสัมพันธ์อันดีกับแมวเหลืองก็เท่ากับเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีกับยามบอกเวลาไปด้วย ต่อให้ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือเรื่องการค้าขาย แต่จะไม่มีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นมากนัก!
“เถ้าแก่ มีศิลาเวียนไตรภพหรือไม่?”
ที่หอแอ่งกระทะ ชายหนุ่มผมสีเทาปรากฏตัวขึ้น แสดงจุดประสงค์การมาต่อผู้เฒ่าม่อ “ไม่ว่ามีจำนวนเท่าใด ไม่ว่าราคาเท่าใด ข้าก็ซื้อหมด”
เขาดูท่าทางอายุน้อย ทว่าชั่วขณะที่กะพริบตากลับแสดงให้เห็นถึงความอาวุโส
“ลูกค้ารายใหญ่!”
ผู้เฒ่าม่อตาลุกวาว ทว่าพอนึกถึงสมบัติล้ำค่าที่ถูกแมวเหลืองกรรโชกไปเหล่านั้นแล้ว เขาก็อดร่ำร้องในใจไม่ได้ จากนั้นจึงโบกมืออย่างหมดเรี่ยวแรง “ไม่มีแล้ว ไม่เหลือสักชิ้นแล้ว ท่านลูกค้าไปถามที่ร้านอื่นเถอะ”
ชายหนุ่มผมทีเทาขมวดคิ้วพลางกล่าว “ข้าไปถามที่ร้านอื่นมาแล้ว ต่างก็บอกว่าไม่มีเหลือแล้วเช่นกัน”
ผู้เฒ่าม่อตะลึง ที่แท้ ร้านอื่น ๆ ก็ถูกใต้เท้าไคหยางกรรโชกจนถ้วนหน้าเช่นกันอย่างนั้นหรือ?
พอคิดเช่นนี้ ผู้เฒ่าม่อก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
เขากระแอมแห้ง ๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง “ท่านลูกค้า ข้าแนะนำว่าอย่าได้เสียเวลาอีกเลย เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ศิลาเวียนไตรภพในตลาดมืดถูกคนกรร… ซื้อไปหมดแล้ว”
ชายหนุ่มผมสีเทานิ่งตะลึง ดวงตาผุดประกายน่าหวาดกลัวขึ้นมาเป็นระลอก
เขามาที่เมืองรัตติกาลนิรันดร์ในครั้งนี้ก็เพื่อมาเก็บรวบรวมศิลาเวียนไตรภพ ทว่าใครกันจะคาดคิดว่าถูกคนอื่นชิงตัดหน้าไปเสียก่อน!