บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 962: ศิษย์อาจารย์พบกัน เปรียบดั่งคนแปลกหน้า
ตอนที่ 962: ศิษย์อาจารย์พบกัน เปรียบดั่งคนแปลกหน้า
“เชิญเข้ามาได้” เสียงนกชุ่ยน้อยดังขึ้น
ชายหนุ่มผมสีเทาที่ยืนนอกประตูยิ้มพลางพยักหน้ากล่าว “ขอบใจ”
เขาเดินก้าวเข้ามาในสวน พิจารณามองดูโดยรอบ เมื่อเห็นซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ต้นไม้โบราณแล้วถึงตะลึงไปเล็กน้อย
ชายหนุ่มคนนี้อีกแล้ว!
ชายหนุ่มผมสีเทายังจำได้ วันนี้ตอนที่หวังชงหลูอสูรเพลิงสายฟ้าเข้ามาเมืองรัตติกาลนิรันดร์ ก็ติดตามอยู่ข้างหลังชายหนุ่มคนนี้
และเขาก็ยังจำได้เช่นกันว่า เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้แต่ไกล ๆ พลันมีกลิ่นอายพลังอันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นในใจของตัวเอง ประหลาดและผิดจากปกติมาก
จึงทำให้เขาตัดสินว่าฐานะของชายหนุ่มคนนี้น่าสงสัย!
เพียงแต่ ชายหนุ่มผมสีเทาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาพบกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งในสวนที่พักของยามบอกเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกฝ่ายกำลังนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์ อุ้มแมวเหลืองตัวอ้วน ดื่มสุราของตัวเองไป กระทั่งเห็นตนเองเดินข้ามาแล้วก็ยังไม่แม้แต่จะชายตามอง
“ตามความคาดหมาย ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เพียงแต่…เหตุใดข้าจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างประหลาด?”
ชายหนุ่มผมสีเทาขมวดคิ้วน้อย ๆ
ขณะที่ครุ่นคิด เขาก็ก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงที่อยู่ไม่ไกลนัก
ขณะที่ร่างของเขากำลังจะลับไป ซูอี้ก็โพล่งออกมา “ถอนสิ่งกีดขวางออก ข้าต้องการจะฟังว่าเขามาทำอะไรในครั้งนี้”
“ขอรับ”
แมวเหลืองรีบรับคำ
——
ในห้องโถงมีเพียงแค่โคมไฟเพียงดวงเดียว
ยามบอกเวลนั่งอยู่ท่ามกลางเงาสลัว โดยมีนกชุ่ยน้อยเกาะอยู่บนหัวไหล่
“คารวะผู้อาวุโส”
ชายหนุ่มผมสีเทาเดินขึ้นมาข้างหน้า จากนั้นเขาก็ผงกศีรษะเล็กน้อย
ผู้เฒ่ายิ้ม และกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้ามาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องอันใด?”
ผู้ชายผมสีเทานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงกล่าว “มีสองเรื่อง”
ผู้เฒ่ากล่าว “ถ้าเช่นนั้นบอกเรื่องแรกมาก่อน”
ชายหนุ่มผมสีเทาพยักหน้าพลางกล่าว “ข้ามาภูมิมืดมิดในครั้งนี้ ความเป็นจริงแล้วต้องการจะสอบถามผู้อาวุโสสักหน่อย ตอนที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินบุกตะลุยทะเลทุกข์ในครั้งนั้น เคยไปสถานที่ใดบ้าง”
ประกายในดวงตาขุ่นมัวของผู้เฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถอนใจพลางกล่าว “เด็กน้อย บัดนี้เจ้าถึงขั้นไม่ยอมแม้แต่จะเรียกปรมาจารย์เสวียนจวินว่าอาจารย์เลยเชียวหรือ?”
ชายหนุ่มผมสีเทาหรี่ตาลง ฉับพลันกล่าวทอดถอนใจ “ใคร ๆ ต่างก็ว่า ที่ทะเลทุกข์แห่งนี้ ไม่มีเรื่องใดที่ยามบอกเวลาของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ไม่รู้ ครั้งนี้ได้พบ สมตามคำร่ำลือจริง ๆ”
ผู้เฒ่าโบกมือ และกล่าวขึ้น “อย่าได้พูดคำยกยอที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้เลย เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ามาภูมิมืดมิดก็เคยมาหาข้าเพื่อสอบถามเรื่องนี้ แต่ข้าไม่ได้บอกเขา เจ้าก็เช่นกัน”
ผู้เฒ่ากล่าวเบา ๆ “หลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชน คนอื่นมีแต่จะดูแคลน”
ผู้ชายผมสีเทาขมวดคิ้ว ระลอกคลื่นในสายตาทำให้ผู้ที่เห็นรู้สึกสะท้านใจ “เรื่องของถ้ำเสวียนจวินของพวกเรา เกรงว่าผู้อาวุโสคงไม่รู้…”
ขณะที่เขากำลังจะพูด ผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นห้าม “บอกเรื่องที่สองมาดีกว่า”
ชายหนุ่มผมสีเทาแสดงสีหน้าโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็สะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ และกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าต้องการจะสอบถาม วันนี้ที่แท้แล้วเป็นใครกันที่ซื้อศิลาเวียนไตรภพทั้งหมดในตลาดมืด”
ผู้เฒ่ามองหน้าชายหนุ่มผมสีเทาสักครู่จึงกล่าว “ตลาดมืดมีกฎเกณฑ์ของตลาดมืด ข้าไม่อาจทำผิดกฎได้”
ชายหนุ่มผมสีเทาสูดหายใจลึก ๆ จากนั้นเผยรอยยิ้มออกมา เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นแข็งกระด้างไร้ความรู้สึก “หรือว่าผู้อาวุโสมีอคติต่อข้าเช่นนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ใช่ว่าทุกคนมาหาข้าแล้ว จะได้รับคำตอบเสียทุกคน”
ชายหนุ่มผมสีเทาส่ายหน้าพลางกล่าว “วันนี้ข้าไม่มีเรื่องใดจะถามอีกแล้ว ข้าเพียงแค่อยากจะบอกว่า ก่อนหน้านี้ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการจะเผยฐานะเท่านั้น จึงเรียกสมญานาม ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’ ของอาจารย์”
“นอกจากนี้ ก่อนที่อาจารย์ของข้าจะลาจากโลกนี้ไป ข้าไม่เคยทรยศต่อสำนักเลย แต่ผู้อาวุโสกลับบอกว่าข้าหลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชน เช่นนี้ไม่เกินไปหรอกหรือ?”
เขาโกรธมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้เฒ่ากล่าวพร้อมกับยิ้ม “เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าคงเข้าใจผิดไปเอง”
ชายหนุ่มผมสีเทาคิดสักครู่จึงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นผู้อาวุโสสามารถเห็นแก่อาจารย์ของข้า บอกคำตอบที่ข้าต้องการรู้ได้หรือไม่?”
สายตาของนกชุ่ยน้อยเปลี่ยนไป
ในสวน สายตาของแมวเหลืองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
มีเพียงซูอี้ที่เอนกายนอนบนเก้าอี้หวายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นิ่งเงียบไม่พูด
ผู้เฒ่ากล่าวเบา ๆ “บอกข้าถึงจุดประสงค์การมาทะเลทุกข์ของเจ้า แล้วข้าจะตอบคำถามแรกของเจ้า จำไว้ว่า ข้าต้องการฟังความจริง”
ชายหนุ่มผมสีเทานิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินคำเล่าลือบางอย่าง อาจารย์ของข้าอาจจะไม่ได้ลาจากโลกนี้ไป แต่เข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาภูมิมืดมิดตามคำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่”
สายตาของผู้เฒ่าเกิดประกาย “หากว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าติดต่อกับศิษย์ทั้งสี่ของผีหมัวได้แล้วเช่นนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มผมสีเทาพยักหน้าพลางกล่าว “ไม่ผิด พวกเขาบอกกับข้าเองว่า เมื่อนานมากแล้ว อาจารย์ของข้าเคยเข้าสู่พิภพยมราชฝังวิถี อีกทั้ง ภายในซากโบราณแห่งนี้น่าจะซุกซ่อนความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวัฏสงสาร”
ผู้เฒ่าถามอีก “หากว่าสุดท้ายเจ้าพบว่าอาจารย์ของเจ้ากลับสู่วัฏสงสารและกลับชาติมาเกิดใหม่จริง เจ้าจะทำเช่นใด?”
ชายหนุ่มผมสีเทานิ่งเงียบไปในทันใด
ฉับพลันเขาขมวดคิ้วพลางกล่าว “ผู้อาวุโส ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับท่านกระมัง?”
ผู้เฒ่ากล่าว “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะพูด ข้าก็จะไม่ฝืนใจ”
พูดจบ เขาก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ครุ่นคิดสักครู่จึงใช้จิตสัมผัสสลักข้อความลงในแผ่นหยก
สักพักใหญ่ ๆ แผ่นหยกลอยไปหาชายหนุ่มผมสีเทา “ภายในแผ่นหยกนี้ คือสถานที่ที่อาจารย์ของเจ้าเคยไปตอนที่เข้าสู่ทะเลทุกข์”
ชายหนุ่มผมสีเทาสีหน้าผ่อนคลายลงไปไม่น้อย “ขอบคุณผู้อาวุโส”
ผู้เฒ่ากล่าว “ก่อนจะไป ต้องการจะฟังข้าพูดสักประโยคหรือไม่?”
ชายหนุ่มผมสีเทารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เชิญกล่าวได้”
สายตาของผู้เฒ่าเคร่งเครียดขึ้นมาก “ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันหลังจึงคืนฝั่ง”
ชายหนุ่มผมสีเทานิ่งตะลึงไปชั่วครู่ราวกับเดาความหมายของผู้เฒ่าออก เขาได้แต่ส่ายหน้าพลางกล่าว “เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำเสวียนจวินในครั้งนั้น มีใครกี่คนบนโลกที่รู้?”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป
ผู้เฒ่าผู้ที่นั่งอยู่ในเงามืดมองดูจนฝ่ายตรงข้ามจากไปพลางถอนใจเบา ๆ
——
เมื่อชายหนุ่มผมสีเทาเดินออกมาจากห้องโถง เดิมตั้งใจว่าจะเดินกลับออกไปเลย แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดเขียวนั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณคนนั้นแล้ว เขากลับหยุดเดิน
คิดสักครู่ ชายหนุ่มคนนั้นก็ก้าวเดินมาข้างหน้า เขาจับจ้องดูใบหน้าของซูอี้ ยิ้มพลางกล่าว “สหาย เจ้าว่าแปลกหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ข้าเคยเห็นเจ้าเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกราวกับเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน”
ซูอี้ลืมตาขึ้นพินิจมองชายหนุ่มผมสีเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าว “ไม่น่าแปลกเลยสักนิด เช่นนี้เรียกว่าวาสนา”
“วาสนา?”
ชายหนุ่มผมสีเทายิ้ม “น่าสนใจ ขอถามสหายว่ามีชื่อเสียงเรียงนามอันใด?”
ซูอี้ลูบขนของแมวเหลืองเบา ๆ ตอบไม่ใส่ใจ “วันข้างหน้าเจ้าก็จะรู้เอง”
“เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอวันนั้นมาถึง”
ชายหนุ่มผมสีเทาพูดจบก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่แล้ว อย่าหาว่าข้าพูดมากเลย หวังชงหลูอสูรเพลิงสายฟ้าถูกคนของสำนักสุดวิถีจับตามอง เจ้าจะต้องระวังตัวหน่อยอย่าพัวพันกับเขามาก มิเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป
ก็แค่ชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น อายุมากสุดไม่เกิดสิบแปดปี ระดับการฝึกตนก็เพียงแค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น เพียงแค่มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างลึกลับก็เท่านั้น
ไม่ถึงกับต้องให้เขาใส่ใจเป็นพิเศษ
เพียงแต่ เมื่อชายหนุ่มผมสีเทาเดินออกจากสวนไปแล้ว พลันได้ยินเสียงของซูอี้ดังขึ้นจากข้างหลัง
“ระวังตัวเองก่อนเถอะ”
เพียงแค่ไม่กี่คำ ทว่าความหมายที่แอบแฝงนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มผมสีเทาถึงกับขมวดคิ้ว “สหายกล่าวเช่นนี้หมายความเช่นใด?”
ซูอี้ไม่สนใจอีก และก้มหน้าเล่นกับแมวต่อ
เห็นเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มผมสีเทาพันหัวเราะขึ้นมาแล้วหมุนตัวเดินจากไป
จนกระทั่งเดินออกมาจากบ้านสวนหลังนั้นแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มผมสีเทาจึงค่อย ๆ จางหายไป ภายในดวงตาผุดประกายน่ากลัวขึ้นมา
‘เจ้าหนุ่ม คิดจะกลั่นแกล้งข้า อย่าให้ข้าจับเจ้าได้ก็แล้วกัน’
เขาพึมพำในใจ
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคิดไม่ตกจริง ๆ ก็คือท่าทีของยามบอกเวลา
เหตุใดตาเฒ่าที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนจึงมองว่าตนเองเป็นคนทรยศที่หลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชน?
แล้วเหตุใดก่อนที่ตนเองจะกลับจึงกล่าวว่า ‘ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันหลังจึงคืนฝั่ง’?
‘ยามบอกเวลาคนนี้จะต้องรู้หลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์อย่างแน่นอน แต่เสียดาย เขามีพลังที่ล้ำลึกยากจะหยั่งถึง อีกทั้งเมืองรัตติกาลนิรันดร์แห่งนี้ก็เป็นถิ่นของเขา ข้าจึงไม่อาจบีบให้เขาพูดความจริงออกมาได้’
ชายหนุ่มผมสีเทาแอบคิดในใจ
เขาได้แต่ส่ายหน้าและไม่คิดอะไรอีก หมุนตัวเดินจากไป
เขาตั้งใจจะสืบต่อไปว่าที่แท้แล้วใครเป็นคนกว้านซื้อศิลาเวียนไตรภพกันแน่ ไม่จัดการกับเรื่องนี้ เขายังคงรู้สึกค้างคาใจ
ในสวน
แสงโคมไฟสลัว ๆ สะท้อนลงบนใบหน้าหล่อเหลาของซูอี้ ทำให้สีหน้าที่ราบเรียบแลดูลึกลับขึ้นมา
แมวเหลืองรู้สึกหวาดเกรงและกดดันขึ้นมาอย่างประหลาด
มันมักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าใต้เท้าซูในเวลานี้อันตรายมาก!
“สหายเต๋า หากว่าก่อนหน้านี้เจ้าเอ่ยขอ ข้าก็จะช่วยเจ้ารั้งเขาเอาไว้”
เสียงของยามบอกเวลาดังออกมาจากด้านในห้องโถง “แต่ดูเหมือนเจ้าไม่คิดจะทำเช่นนี้”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ก่อนเรื่องเมื่อครั้งนั้นจะกระจ่าง ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด มิเช่นนั้น จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“แหวกหญ้าให้งูตื่น?”
ซูอี้เอ่ยออกมา “รวมไปถึงชิงถังด้วย”
ครั้งนั้น หลังจากที่เขากลับมาเกิดใหม่แล้ว จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นมากมาย มาคิด ๆ ดูในตอนนี้ ทั้งหมดนี้มีเงื่อนงำอยู่มากมาย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ต้องการให้ศิษย์เหล่านั้นรู้ว่าเขากลับชาติมาเกิดแล้ว
ยามบอกเวลานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าว่า คนเมื่อสักครู่ไม่น่าจะใช่พวกหลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชนหรอก”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ชายหนุ่มผมสีเทาเมื่อก่อนหน้านี้มีนามว่าเย่ลั่ว เป็นศิษย์สายตรงคนที่หกของเขาในครั้งนั้น!
ที่มหาแดนดิน เย่ลั่วอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนผีหมัว และไม่ได้มีพรสวรรค์ร้ายกาจเหมือนดังชิงถัง แต่เขาเป็นต้นกล้าวิถีดาบที่หาได้ยากคนหนึ่ง
นิสัยของเขาดูเหมือนจะเป็นคนเหลาะแหละไม่แน่นอน แต่ความจริงแล้วหนักแน่นประดุจเหล็ก เด็ดขาดรวดเร็ว
ตอนนั้น ซูอี้มอบศิลาเวียนไตรภพที่เก็บรวบรวมได้จากทะเลทุกข์ให้แก่เย่ลั่ว ตอนที่เย่ลั่วกำลังบรรลุขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ศิลาเวียนไตรภพสร้างความมหัศจรรย์ให้อย่างไม่คาดคิด
เพียงแต่ซูอี้คาดไม่ถึงว่า วันนี้จะได้มาเจอกับผู้สืบทอดของตนเองคนนี้อีกครั้งในถิ่นของยามบอกเวลา อีกทั้ง หนึ่งในจุดประสงค์การมาของฝ่ายตรงข้ามก็เพื่อรวบรวมศิลาเวียนไตรภพ
‘เสวียนหนิงกล่าวไม่ผิด เย่ลั่วเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับพันธมิตรเสวียนจวิน อยู่ฝ่ายเดียวกับผีหมัว’
ซูอี้แอบคิดในใจ
เมื่อครั้งอยู่ที่มหาทวีปคังชิง เขาก็รู้จากปากของเสวียนหนิงศิษย์คนที่เจ็ดมาแล้วว่าศิษย์สามของตนเองฮัวเหยา ศิษย์สี่จิ่นขุย กับศิษย์หกเย่ลั่วเข้าร่วมพันธมิตรเสวียนจวิน ซึ่งมีศิษย์เอกผีหมัวเป็นผู้บุกเบิก!
——
หมายเหตุจากผู้เขียน: ก่อนหน้านี้เคยเขียนไว้ว่าศิษย์สี่ของซูอี้มีนามว่า ‘ผอซัว’ แต่ถูก ‘ผอซัว’ ร่างวิญญาณต้นหมื่นวิถีของตระกูลชุยนำไปใช้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงแก้ไขเป็น ‘จิ่นขุย’ เพื่อจะได้ไม่กระทบต่อเนื้อเรื่อง