บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 963: ผู้บัญชาการสักการะ
ตอนที่ 963: ผู้บัญชาการสักการะ
เมื่อชาติก่อน ไม่นับลูกศิษย์ที่เขาจำชื่อได้อย่างพญาปักษา ซูอี้ก็มีศิษย์เอกทั้งหมดเก้าคน
ก่อนกลับชาติเกิดใหม่ เขาได้ตระเตรียมแผนรับมือไว้มากมาย
อย่างเช่นส่งเสวียนหนิงศิษย์คนที่เจ็ดไปรับการอบรมอยู่ข้างกายหลวงจีนเยี่ยนซินที่แดนบูรพาน้อย
หรือตั้งกลไกพิฆาตมากมายในถ้ำเสวียนจวิน ป้องกันมิให้หลังเขาจากไป ศัตรูฉวยโอกาสบุกโจมตี
และส่งมอบ ‘พลังตรวจจับเทวาเสวียนซู’ ในค่ายกลต้องห้ามของถ้ำเสวียนจินให้จิ่นขุย เป็นต้น
แต่สิ่งเดียวที่เขาคาดไม่ถึงคือ ผีหมัวจะสมคบคิดกับศัตรู
และยิ่งคิดไม่ถึงไปใหญ่ว่าศิษย์ลำดับที่สามของเขา ฮัวเหยาจะขโมยพลังตรวจจับเทวาเสวียนซู ทำให้กลไกพิฆาตทั้งหลายที่เขาตั้งไว้ในถ้ำเสวียนจวินหมดสิ้นประโยชน์
จนสุดท้าย ถ้ำเสวียนจวินในฐานะหนึ่งใน ‘สี่ขั้วมหาแดนดิน’ เริ่มแตกหักไปตาม ๆ กัน
ศิษย์ลำดับสุดท้ายชิงถังยึดครองถ้ำเสวียนจวิน และเป็นใหญ่ในใต้หล้า
ศิษย์คนโตผีหมัวอ้างชื่อของเขาซูเสวียนจวินก่อตั้งพันธมิตรเสวียนจวิน ซ่องสุมพรรคพวกกับสำนักหกมหาวิถีและกลุ่มอำนาจอื่น เพื่อเข้าต่อสู้กับชิงถัง
การต่อสู้นี้ยืดเยื้อมาจนบัดนี้
บางครั้ง ซูอี้เกิดความคิดขึ้นมาว่าตนหาได้เคยปฏิบัติไม่ดีต่อศิษย์พวกนี้
ไยหลังจากตัวเองกลับชาติเกิดใหม่ พวกเขาถึงกลายเป็นเช่นนี้
เพื่อชิงอำนาจหรือ?
หรือเพื่อสมบัติ?
หรือก่อนตัวเองกลับชาติมาเกิดก็มีคนที่คิดไม่ซื่อแล้ว
จวบจนวันนี้ซูอี้ยังคิดไม่ตก
แต่เขาแน่ใจว่าเบื้องลึกเบื้องหลังต้องมี ‘ความจริง’ ที่ตัวเองยังไม่ล่วงรู้แน่!
จวบจนบัดนี้ นอกจากศิษย์คนโตผีหมัว เขายังไม่แน่ใจว่าลูกศิษย์คนอื่นทรยศจริง ๆ หรือเปล่า
โดยเฉพาะชิงถัง…
เมื่อนึกถึงการกระทำต่าง ๆ ของศิษย์ลำดับที่เก้าที่เขารักใคร่เอ็นดูที่สุด ซูอี้ก็อดเศร้าหมองขึ้นมาไม่ได้
“ผิดที่เมื่อครั้งข้ากลับชาติเกิดใหม่ฉุกละหุกเกินไป มิได้เตรียมการไว้เพียงพอ…”
ซูอี้ถอนหายใจ
เมื่อครั้งกลับชาติเกิดใหม่ ปราศจากภยันตรายใด แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่มาก
เพราะเหตุนี้ ก่อนเขาเกิดใหม่ ต่อให้เริ่มวางแผนเตรียมการบ้างแล้ว แต่ลงท้ายก็ยังฉุกละหุกเกินไป
และน่ากลัวว่าลูกศิษย์ทั้งหลายเข้าใจว่าท่านอาจารย์อย่างเขาล่วงลับไปแล้วจริง ๆ ถึงได้ทำตามใจกันโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“เมื่อฝูงมังกรไร้ผู้นำ ย่อมกลายเป็นภัย ถ้ำเสวียนจวินเป็นขุมกำลังที่สหายเต๋าสร้างขึ้นด้วยตัวเอง เมื่อมีเจ้าอยู่ ฟ้าย่อมไม่ถล่ม เมื่อเจ้าไม่อยู่ ภัยย่อมคืบคลาน”
ภายในห้องโถง เสียงแหบแห้งของยามบอกเวลาดังขึ้น “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ใช่ว่าไม่เคยเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้มาก่อน เช่นดินแดนปรภพซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในภูมิมืดมิด ก็แตกแยกเพราะการล่วงลับของมหาเทพมืดมิดองค์สุดท้ายมิใช่หรือ”
“จนกาลนี้ เจ้าลองดูตระกูลโบราณที่เคยกุมอำนาจกรมหกวิถีแห่งดินแดนปรภพสิ ผู้ที่ข่มกันเองมีอยู่ถมเถไป”
เมื่อพูดมาถึงนี่ ยามบอกเวลาก็เสริมอีกประโยค “เรื่องราวในโลกหล้า เป็นเช่นนี้มาตลอด”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง คลี่ยิ้มพร้อมรำพันในใจ “เป็นเช่นนี้มาตลอด แล้วมันถูกต้องหรือ?”
“เอาแค่นี้พอ หลังจากนี้ข้าต้องพำนักที่นี่ชั่วคราว รุ่งเช้าของมะรืน ข้าจะไปจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์พร้อมกับหลิ่วฉางเซิง”
ชายหนุ่มสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะปล่อยแมวเหลืองในมือลงไป เขาทำความสะอาดเสื้อผ้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
เขาไม่เคยชื่นชอบการโศกเศร้าไปเรื่อยเปื่อย และจมอยู่กับอดีต
คนเราต้องมองไปข้างหน้า
การฝึกฝนมหาวิถีย่อมเป็นเช่นนี้ด้วย!
…
เมืองรัตติกาลนิรันดร์ปกคลุมอยู่ในความมืดมาตลอด ไม่แบ่งกลางวันกลางคืน
เพราะอย่างนั้น ยามบอกเวลาถึงมีตัวตนอยู่
ทุกหนึ่งชั่วยาม ประชากรที่กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในเมืองจะได้ยินเสียงตีฆ้อง
เป็นเสียงบอกเวลา
เตือนให้ประชากรในเมืองทราบถึงการล่วงผ่านของกาล
ภายในห้อง
ซูอี้นั่งขัดสมาธิ
เบื้องหน้าเขามีศิลาเวียนไตรภพยี่สิบก้อนที่เพิ่งหลอมรวมได้
ทุกก้อนเปล่งประกายเจ็ดสีสดใส เปี่ยมด้วยความสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ หมุนเวียนอยู่รอบ ๆ สะท้อนออกมาจนเจิดจ้าไปทั้งห้อง
“เมื่อมีสมบัติเหล่านี้ ข้าบรรลุเป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเมื่อใดย่อมขัดเกลาพลังลึกล้ำโดยกำเนิดอันบริสุทธิ์และแข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ในคราเดียว!”
มุมปากซูอี้ยกยิ้มลำพอง
เขาสะบัดแขนเสื้อ เก็บศิลาเวียนไตรภพทั้งยี่สิบก้อนกลับเข้าไป
จากนั้น เขาก็หยิบศิลาถ้ำเทพเบิกทวารที่เหลือเพียงสามก้อนและศิลานิลกาฬประชันโลหิตที่เหลือเพียงหนึ่งก้อนออกมา ก่อนจะเริ่มดูดกลืนหลอมละลายพลังภายในนั้น
ศิลาถ้ำเทพเบิกทวารขัดเกลาจิตวิญญาณได้ และยังช่วยหล่อหลอมอวตารความตั้งมั่นให้กับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้อีกด้วย
ส่วนศิลานิลกาฬประชันโลหิตช่วยขัดเกลาร่างเต๋า และช่วยขัดเกลาพลังลมปราณราวไม่มีวันเสื่อมสลายให้ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้ เมื่อลมปราณไม่เสื่อมสลาย วิญญาณย่อมไม่ดับสิ้น
สมบัติล้ำค่าระดับนี้เพียงพอให้สัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตจักรพรรดิหมายตา ต่อให้คนที่อยู่ใต้ขอบเขตจักรพรรดิได้ไปก็ไม่อาจใช้ได้โดยง่าย
ทว่าบัดนี้ สมบัติเช่นนี้กลับถูกซูอี้นำมาขัดเกลาจิตวิญญาณและความแข็งแกร่งทางกาย!
โดยเฉพาะศิลาถ้ำเทพเบิกทวารที่ขัดเกลาส่งเสริมพลังของจิตวิญญาณได้ สำหรับซูอี้ถือเป็นประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้
ทุกครั้งที่ใช้พลังจากดาบเก้าคุมขัง สิ่งที่ผลาญที่สุดก็คือพลังจิตวิญญาณ!
“หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด รุ่งเช้าของวันมะรืน พลังวิถีของข้าคงบรรลุขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์ ถึงครานั้น พลังฝึกฝน พลังจิตวิญญาณ และร่างเต๋าล้วนฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์”
“หลังจากนี้ ขอเพียงบรรลุ ‘มหาวิถีเอกกะ’ จนถึงขั้นสมบูรณ์ ก็สามารถพิสูจน์เต๋าบรรลุเป็นจักรพรรดิได้!”
ซูอี้ครุ่นคิดไปพลาง พร้อมกับจมดิ่งกับการฝึกสมาธิเชิงลึก
…..
ขณะเดียวกัน
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองรัตติกาลนิรันดร์
“เชิญท่านดื่มชา”
หงอิ๋ง ผู้ลงทัณฑ์ลำดับสี่ ผู้อยู่ในชุดสีดำยกชาเข้าไป
แล้วเขาถึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ห่างออกไปไม่ไกล สายตาทอดมองสตรีพราวเสน่ห์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม แฝงไว้ซึ่งความยำเกรงราง ๆ
“กาลก่อน ข้าปฏิบัติตามโองการของที่ปรึกษาสูงสุด เข้ามาสืบเสาะความลับของการเวียนวัฏสงสารที่ภูมิมืดมิด หาได้เคยคิด ในกาลเวลาอันแสนยาวนานนี้ จะถูกจองจำอยู่ในเมืองมรณะ”
ยมบาลสาวมีท่าทางเอื่อยเฉื่อย นัยน์ตาสุกสกาว “พวกเจ้านี่สิ เพิ่งมาอยู่ในภูมิมืดมิดได้เพียงเก้าปี ก็สืบเสาะจนรู้แล้วว่าใน ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ คล้ายว่าจะมีความลับแห่งการเวียนวัฏสงสารอยู่ ไม่เบาจริง ๆ”
หงอิ๋งมีสีหน้าถ่อมตน จากนั้นเขาก็เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ท่านชมเกินไปแล้ว พวกข้าเพียงแต่สบโอกาสเท่านั้น หากไม่ใช่ว่ามีเรือยมโลกสีดำโผล่มาจนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ผู้คนในใต้หล้านี้จะรู้ได้อย่างไรว่าในพื้นที่ต้องห้ามอย่างพิภพยมราชฝังวิถีจะมีสิ่งที่เราตามหา”
ยมบาลพยักหน้าอย่างใจไม่อยู่กับตัว ทันใดนั้น นางก็เอ่ยขึ้น “ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ข้าจากไป เชื่อว่าคงเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายกับสำนัก”
สายตาหงอิ๋งเปลี่ยนไปนิดหน่อย “สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเปลี่ยนผัน ไม่ว่าเรื่องในหาได้เคยอยู่ยงกระพันโดยไม่เปลี่ยนแปลง เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายกับหอเก้าสวรรค์ของเราก็จริง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็เป็นเพียงคนในสำนักเท่านั้น”
“ในภูมิดาราวอนสวรรค์ หอเก้าสวรรค์ของเรายังเป็นตัวตนสูงสุดในสายตาประชาชน ส่วนภายในสำนัก ผู้บวงสรวงสรรค์ทั้งสามยังอยู่มาตลอด เพียงแต่จ้าวเรือนจำทั้งเจ็ด ผู้ลงทัณฑ์ทั้งสิบแปดมีใบหน้าใหม่ ๆ โผล่มาบ้าง”
เมื่อฟังมาถึงนี่ สายตาของยมบาลสาวก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย
เมื่อมีใบหน้าใหม่ ๆ เข้ามาเป็นจ้าวเรือนจำ หรือผู้ลงทัณฑ์ นั่นหมายความว่าจ้าวเรือนจำหรือผู้ลงทัณฑ์รุ่นก่อนได้วอดวายไปแล้ว หรืออาจเพราะความสามารถถูกล้ำหน้าจนโดนแทนที่!
“ตำแหน่งของข้า…. ถูกแทนที่เช่นกันใช่หรือไม่”
นางเอ่ยถามในที่สุด
หงอิ๋งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉับพลันนั้น เขาก็เงยขึ้นสบตากับดวงตาของยมบาล “หลายปีก่อน ผู้บวงสรวงค์ลำดับที่หนึ่งเคยกล่าวว่าตำแหน่งของท่านที่ว่างอยู่ จะเก็บไว้ให้ข้าเสมอ”
“เจ้ารึ?”
ยมบาลสาวแปลกใจเล็กน้อย จากสายตาของหงอิ๋ง นางเห็นความปรารถนาที่ไม่อาจระงับ
ชายหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “ก่อนข้ามาภูมิมืดมิดคราวนี้ ผู้บวงสรวงค์ลำดับที่หนึ่งได้ให้วาจาไว้แล้วว่า ขอเพียงครั้งนี้ข้านำเบาะแสของการเวียนวัฏสงสารกลับไปได้สักเล็กน้อย เมื่อข้ากลับถึงสำนัก เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ข้าบรรลุพันธะลึกล้ำ!”
เมื่อพูดมาถึงนี่ แววตาของเขาก็วาวโรจน์ดั่งคบเพลิง “และถึงตอนนั้น ข้าจะแทนที่ตำแหน่งของท่านที่ว่างอยู่ กลายเป็นจ้าวเรือนจำที่เจ็ด!”
ยมบาลโดนสายตาเร่าร้อนของเขาจ้องจนไม่สบายตัวเท่าใด นางขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้พลางกล่าว “แต่ตอนนี้เจ้าเพิ่งมีพลังขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางเท่านั้น ส่วนข้า… อีกไม่นานก็หลุดจากการจองจำได้แล้ว”
ความหมายหรือก็คือ มีข้าอยู่ เจ้ายังไม่มีสิทธิ์แทนที่ตำแหน่งของข้า!
หงอิ๋งคลี่ยิ้มมั่นใจ “ขอเรียนท่านโดยตรง เมื่อนานมาแล้ว ผู้บวงสรวงสวรรค์ทั้งสามท่านได้คุยกันแล้วว่า หากวันใดท่านมีชีวิตรอดกลับไปถึงสำนักได้ จะจัดแจงหาตำแหน่งหน้าที่ใหม่ให้ท่าน”
ยมบาลสาวถามอย่างสนใจ “ตำแหน่งใดหรือ”
สายตาของหงอิ๋งประหลาดใจ “ ‘ผู้บัญชาการสักการะ’ อันดับหนึ่งถึงเก้าแห่งถ้ำโลหิตหมิงหลิงทั้งเก้า ท่านเลือกได้ตามใจชอบ”
ผู้บัญชาการสักการะแห่งถ้ำโลหิตหมิงหลิง!
ดวงหน้างดงามของยมบาลอึมครึมลงในบัดดล นัยน์ตาพราวเสน่ห์พลันเย็นยะเยือกขึ้นมา
ตาแก่ทั้งสามคนนั่น ไร้เยื่อใยเสียจริง!
ในหอเก้าสวรรค์ ผู้บัญชาการสักการะต้องคอยควบคุมดูแลถ้ำโลหิตหมิงหลิง เพื่อทำหน้าบัญชาการเกี่ยวกับการสักการะ
ดูเหมือนตำแหน่งสูงส่งมากด้วยอำนาจ แท้จริงแล้วหาได้มีอิสระไม่ จำต้องใช้เวลาชั่วชีวิตคอยเฝ้าอารักขาถ้ำโลหิตหมิงหลิงแสนอันตราย
ในหอเก้าสวรรค์ ฐานะของผู้บัญชาการสักการะสูงกว่าผู้ลงทัณฑ์เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ทว่าน้อยหน้ากว่าจ้าวเรือนจำมาก!
การจัดแจงเช่นนี้ จะไม่ให้ยมบาลใจเสียได้อย่างไร
ห่างออกไปไม่ไกล หงอิ๋งพินิจสีหน้าที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บนใบหน้าสะสวยของยมบาลสาว แล้วเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นฉับพลัน “แน่นอนว่า หากท่านรับปากข้าหนึ่งเรื่อง ข้าย่อมคืนตำแหน่ง ‘จ้าวเรือนจำที่เจ็ด’ ให้ด้วยสองมือ!”
ยมบาลร้องอืมมาหนึ่งคำ “ว่ามาสิ”
หงอิ๋งเอนกายไปด้านหน้าเล็กน้อย สายตากวาดไปทั่วเรือนร่างผอมบางเย้ายวนของยมบาลอย่างไม่ยำเกรง ไม่ปิดบังความเร่าร้อนและความละโมบในใจอีกต่อไป “ข้าอยากให้ท่านตกลงฝึกบำเพ็ญคู่กับข้า ช่วยให้ข้าบรรลุ”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ฝึกบำเพ็ญคู่’ ลำคอของเขาก็แห้งผาก
สตรีที่ครอบครอง ‘ร่างมาตุรงค์’ ไม่ใช่เพียงรูปโฉมเท่านั้นที่ชวนลุ่มหลง แต่ยังเป็นเตาหลอมที่ไม่ว่าผู้ยิ่งใหญ่ระดับไหนต่างหมายปอง!
ดั่งเช่นยมบาล ผู้มีรูปโฉมงามล่มเมืองปานนั้น ท่วงท่าสูงส่งเย่อหยิ่งดั่งผู้พิพากษา เป็นผลให้หงอิ๋งแทบอยากจะฉีกเสื้อผ้านางออกแล้วจัดการให้เรียบเสียตรงนี้ กระหน่ำให้สมใจอยาก
ผู้ฟังอึ้งไปราวกับไม่อยากเชื่อ
นางเห็นความละโมบและความเร่าร้อนจากสีหน้าหงอิ๋ง หลังจากได้ยินวาจาที่ยังสะท้อนอยู่ตำหนัก จิตสังหารพลันแล่นเข้ามาในใจอย่างไม่อาจยับยั้ง
เป็นเพียงผู้ลงทัณฑ์เท่านั้น บังอาจคิดเอาเปรียบตัวเองอย่างนั้นหรือ ช่าง… รนหาที่ตายเสียจริง!