บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 964: ความโชคดีเข้ามารัว ๆ
ตอนที่ 964: ความโชคดีเข้ามารัว ๆ
…………………………………………………..
ตอนที่ 964: ความโชคดีเข้ามารัว ๆ
สายตาของหงอิ๋งไล้ไปตามขาเรียวเล็กของยมบาลสาว กวาดผ่านต้นขาอวบอิ่ม เอวบางอรชร วนหนึ่งรอบตรงส่วนนูน แล้วจึงไต่ขึ้นไปตามคอระหง
จากนั้น เขาได้เห็นโฉมสะคราญซึ่งเปี่ยมด้วยความเย็นชาอำมหิต
ภายในนัยน์ตาเย้ายวนเรียวยาวคู่นั้น ฉายความแดงก่ำคลุ้มคลั่งจาง ๆ
หงอิ๋งใจสั่นขึ้นมา
เมื่อนานมาแล้ว เขาเคยได้ยินจากผู้เฒ่าในสำนักพูดเกี่ยวกับจ้าวเรือนจำที่เจ็ด ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจ้าวเรือนจำที่เจ็ดดูเหมือนเสน่ห์แพรวพราว แท้จริงแล้วโหดเหี้ยมถึงขีดสุด!
นางมีความอำมหิตจนถึงขั้นคลุ้มคลั่งในตัว ผู้ที่นางตราหน้าเป็นศัตรู มักพบจุดจบน่าอนาถ
ทว่า หงอิ๋งไม่ตื่นตระหนกแม้แต่นิดเดียว
เขารู้มานานแล้วว่า จ้าวเรือนจำที่เจ็ดตรงหน้าเป็นเพียงร่างแยก จวบจนตอนนี้… ตัวจริงยังถูกคุมขังในเมืองมรณะ!
“ท่านไม่ต้องโมโหไป แค่การฝึกบำเพ็ญคู่เท่านั้น มันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งท่านและข้าอย่างมหาศาล นอกจากนี้ วันใดท่านกลับไปที่สำนัก ก็ยังคงดำรงตำแหน่งจ้าวเรือนจำได้ต่อ ไยต้องปฏิเสธด้วยเล่า”
หงอิ๋งเอ่ยทั้งรอยยิ้ม ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ใกล้วอดวาย “เชื่อว่าท่านยังคงไม่ต้องการไปเป็นผู้บัญชาการสักการะซึ่งปราศจากอำนาจที่ถ้ำโลหิตหมิงหลิงกระมัง”
ในสายตาเขา ยมบาลผู้มีริมฝีปากสีแดงสดดั่งเปลวเพลิง ผิวขาวผ่องดั่งหิมะ เปรียบดั่งไฟลุกโชนที่จุดประกายตัณหาและความต้องการเอาชนะในใจเขาจนมอดไหม้
สตรีเช่นนี้ เป็นปีศาจร้ายที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง สุดยอดโฉมสะคราญที่ล่มมนุษย์ทั้งปวงได้!
ยมบาลสาวเงียบไป
นิ้วเรียวขาวผ่องของนางกำแน่น แต่เพียงแวบเดียวก็คลายออก
จากนั้น นางก็หัวเราะขึ้นมาฉับพลัน ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบยกยิ้ม “แค่ฝึกบำเพ็ญคู่เท่านั้น ข้าย่อมตกลง!”
หงอิ๋งตาวาวโรจน์ “จริงหรือ?”
เขาเหมือนไม่อยากเชื่อ
ยมบาลสาวยิ้มละไมพลางกล่าว “เจ้าฆ่าหลิ่วฉางเซิงได้เมื่อใด ข้าไม่รังเกียจให้เจ้าได้ลิ้มรสความอัศจรรย์ของร่างแยกนี้ของข้า”
เวลานี้ ตาคู่สวยของนางใสสกาวดั่งสายน้ำ เสน่ห์แพรวพราว
ความเย้ายวนแผ่ออกมาผ่านรอยยิ้มโดยไม่ตั้งใจ หงอิ๋งปากคอแห้งผาก เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากลงไปอึกหนึ่ง
หงอิ๋งสูดหายใจเข้าลึก ถึงจะข่มความปีติและตัณหาในใจลงได้ เขาก็ยังรู้สึกสะท้อนใจ “หากไม่ใช่มั่นใจว่าวาจานี้ออกจากปากท่าน ข้าอดสงสัยไม่ได้เลยว่านี่เป็นความฝันละมุนละไมของข้าหรือเปล่า”
ยมบาลหัวเราะ “ได้ประโยชน์แค่นี้ก็พอใจแล้วหรือ?”
หงอิ๋งผงะ “หรือท่านมีรางวัลอื่นประทานแก่ข้า”
ยมบาลสาวเอ่ยด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ยามเจ้าต่อกรกับหลิ่วฉางเซิงข้าจะคอยช่วย และร่วมเดินทางไปยังพิภพยมราชฝังวิถีกับเจ้า เพื่อเป็นกำลังให้เจ้า”
หงอิ๋งเอ่ยตอบด้วยความยินดี “ถ้าเป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่า!”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้เอาตามนี้ สายมากแล้ว ข้าต้องไปแล้ว”
นางลุกขึ้น
“ช้าก่อน”
หงอิ๋งตาเป็นประกาย “โปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาท ท่านพูดปากเปล่าไร้สักขีพยาน แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไร?”
ยมบาลสาวมองเขาอย่างมีความหมาย “หากข้าเปลี่ยนใจ เจ้าย่อมทำลายร่างแยกนี้ของข้าได้มิใช่หรือ”
หงอิ๋งเงียบไป ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าทำไม่ลงหรอก”
ยมบาลไม่พูดสิ่งใดอีก จากนั้นนางก็หมุนตัวจากไป
“เดินทางปลอดภัย”
หงอิ๋งลุกขึ้น ทว่าไม่ได้ออกไปส่ง
ทว่าสายตาเขากำลังจดจ้องแผ่นหลังของยมบาลสาวอย่างร้อนเร่า ชุดกระโปรงดั่งน้ำหมึกขับให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของขาเรียวยาวและสะโพกอวบอิ่มของนางได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
จวบจนร่างนั้นหายไป
ความละโมบในสายตาของหงอิ๋งถึงได้สลาย กลายเป็นเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง เขาพึมพำในใจ ‘ไม่ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ เจ้าถูกกำหนดแล้วว่าต้องมาเป็นเตาหลอมให้ข้า ศิโรราบอยู่ใต้ร่างของข้า!’
…
เคร้ง!
เสียงตีฆ้องบอกเวลายามจื่อ*[1] สะท้อนในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ เตือนผู้คนว่าเวลานี้เป็นช่วงดึกแล้ว
ตรอกซอยใต้แสงราตรียังคงคึกคักและมีแสงไฟสว่างไสว
ยมบาลเดินเรื่อยเปื่อยไปตามลำพัง ตลอดทาง ดวงหน้างดงามของนางเป็นที่ตกตะลึงของผู้อื่นมานักต่อนัก
เพียงแต่นางไม่ได้ใส่ใจพวกเขา
มีเพียงจิตสังหารสายหนึ่งที่หลอมรวมเข้าหากันเรื่อย ๆ ในใจ และแผ่กำจายออกมา ส่งผลให้สายตาของนางเย็นชาอำมหิตขึ้นไปอีก
ผู้ที่สบสายตานางโดยไม่ตั้งใจ ต่างตัวสั่นขวัญผวาอย่างอดไม่ได้ ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง
เสียงเซ็งแซ่ดังอยู่ตามตรอกซอย ฝูงชนสัญจรกันเป็นกลุ่ม
เมืองรัตติกาลนิรันดร์ในยามดึกเป็นเมืองที่ไม่หลับใหล แสงไฟสว่างอยู่เสมอ บรรยากาศครื้นเครงยิ่งไม่มีทางจางหาย
ขณะที่ก้าวเดิน สายตาของยมบาลสาวกวาดผ่านตรอกซอยคึกคัก พลันรู้ว่าเหว่ว้าขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
นางพึมพำ “คงหมายถึงข้ากระมัง…”
ความคึกคักในตรอกซอยเหล่านี้ทิ่มแทงสายตานางอย่างมาก
เดินไปเรื่อย ๆ ยมบาลสาวพลันชะงักฝีเท้ากึก
นางเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมาอยู่หน้าลานบ้านของยามบอกเวลาอีกคราโดยไม่รู้ตัว
นางยืนนิ่งในความมืดเนิ่นนาน
สุดท้ายก็หมุนตัวจากไป
นางคุ้นชินกับความเหงาและโดดเดี่ยวมานานแล้ว
จวบจนบัดนี้
…
คืนเดียวกัน
หอแอ่งกระทะ
“สหายเต๋า ขออภัยด้วย”
เย่ลั่วซึ่งมีผมเทาทั้งหัวมองผู้อาวุโสโม่ที่นอนหลับสนิทบนเตียง เขาปิดประตูให้ผู้อาวุโสโม่แผ่วเบา ก่อนจะจากไป
ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้เคล็ดวิชาลับแทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้อาวุโสโม่ จนสืบเจอความจริงที่ตนอยากได้
หากแต่ความจริงนี้กลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น
ที่แท้ ผู้ที่ชิงกวาดล้างศิลาเวียนไตรภพที่ตลาดมืดจนเกลี้ยงคือแมวเหลืองข้างกายยามบอกเวลา!
“มิน่า ตาเฒ่านั่นถึงไม่ยอมบอกข้า…”
สายตาของเขาไหวระริก “เพียงแต่ เหตุใดยามบอกเวลาต้องรวบรวมศิลาเวียนไตรภพด้วย?”
“ด้วยพลังวิถีของเขา หากต้องการศิลาเวียนไตรภพ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาคงเสาะหาจนได้จำนวนเพียงพอไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวันนี้”
เย่ลั่วหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อครั้งเยี่ยมเยือนยามบอกเวลาในวันนี้
จากนั้น เขาพลันนึกถึงชายหนุ่มชุดเขียวหยกผู้กอดแมวเหลืองไว้ใต้ต้นไม้
“หรือจะเตรียมไว้เพื่อหมอนั่น?”
เย่ลั่วพึมพำ
ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณ ย่อมต้องเตรียมการสำหรับการบรรลุขอบเขตจักรพรรดิ
และเย่ลั่วก็จำได้แม่นว่าเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่เขาใช้ศิลาเวียนไตรภพเพื่อบรรลุขอบเขตสงัดลึกล้ำ ท่านอาจารย์เคยรำพึงว่าสมบัติล้ำค่าของโลกอย่างศิลาเวียนไตรภพมีเพียงตอนที่บรรลุขอบเขตจักรพรรดิแล้วเท่านั้น จึงจะแสดงประสิทธิภาพสูงสุด ในการสร้างเสริมความแข็งแกร่งของรากฐานขอบเขตจักรพรรดิตั้งแต่ยุคโบราณจนกาลนี้!
“ดูท่า หมอนั่นจะได้ศิลาเวียนไตรภพเหล่านั้นไปแน่นอน!”
เย่ลั่วคลี่ยิ้ม
เช่นนี้ก็ง่าย ขอเพียงหาโอกาสไป ‘สนทนาพาที’ กับหมอนั่น เชื่อว่าเก็บเกี่ยวได้อีกหลายสิ่งแน่!
“สั่งสมศิลาเวียนไตรภพจำนวนมากขนาดนี้ จะใช้คนเดียวหมดหรือ ตัวเองแค่ไป ‘ซื้อ’ จากเขานิดหน่อย ย่อมไม่เป็นการเกินไป”
เย่ลั่วพูดกับตัวเอง
รุ่งเช้าสองวันให้หลัง
ตอนซูอี้เดินออกจากห้อง เขาก็ได้พบหลิ่วฉางเซิง
ผู้ติดอันดับ ‘หกผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิมืดมิด’ ตัวตนระดับตำนานผู้ถูกขนานนามว่า ‘อยู่เหนือนักดาบทั้งปวง’ ทว่าสภาพเขาดูธรรมดายิ่ง
เขามีรูปร่างผอมบาง โคนผมเผยให้เห็นสีขาว อาภรณ์ตามตัวเป็นผ้าดิบ ไม่โดดเด่นแต่อย่างใด
ทว่าหลังของเขาตรงดั่งดาบ ขณะที่สายตากลอกไปมาประหนึ่งมีอาทิตย์จันทราลอยละล่องอยู่ในนั้น ลึกล้ำดั่งทุ่งดารา
“ยามบอกเวลาสั่งให้เจ้า… ออกจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์ไปกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นซูอี้ หลิ่วฉางเซิงก็ชะงักไปนิดหน่อย ราวกับไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดยามบอกเวลาถึงให้ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นนี้ร่วมทางกับตัวเอง
“ข้าให้เขาบอกเจ้าเช่นนี้”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่คิดมาก
หลิ่วฉางเซิง “…”
วาจานี้ไม่โอหังแต่อย่างใด กระนั้นหากทบทวนความหมายดี ๆ มันคือความโอหังอย่างที่สุดเลยต่างหาก
หลิ่วฉางเซิงยังไม่เคยได้ยินว่าในโลกนี้มีผู้ใดสั่งยามบอกเวลาได้!
ชั่วขณะนั้น ความข้องใจก็ได้ผุดขึ้นในใจเขามากมาย
พลังของชายหนุ่มผู้นี้อยู่แค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น น่ากลัวว่ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบรรดาคนจากสำนักสุดวิถี
แต่ยามบอกเวลากลับบอกให้เขาออกจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์กับตัวเอง นั่นหมายความว่าบางทีพลังของชายหนุ่มคนนี้อาจอ่อนแอ แต่อาจมีวิธีอื่นต่อกรกับภยันตรายจากสำนักสุดวิถี!
ถ้าอย่างนั้นปัญหาคือ ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใด แล้วขุมกำลังที่เขาพึ่งพิงอยู่น่ากลัวปานใด ถึงได้ไม่เกรงกลัวสำนักสุดวิถีเลย?
ตัวเขาหลิ่วฉางเซิงเป็นยอดผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีดาบผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูมิมืดมิด แต่ก็ยังโดนอำนาจจากสำนักสุดวิถีไล่ต้อนจนได้แต่ซ่อนตัวลี้ภัยอยู่ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์!
พูดแบบไม่เกินจริง พลังมหัศจรรย์ที่สำนักสุดวิถีครอบครองอยู่สามารถทำอันตรายแก่ขุมกำลังชั้นนำทุกกลุ่มในภูมิมืดมิดได้!
ต่อให้ชายหนุ่มตรงหน้าดู ‘ไม่ค่อยไหว’ แต่เขาเชื่อว่ายามบอกเวลาไม่มีทางให้ร้ายตัวเองแน่
ในเมื่อยามบอกเวลาจัดแจงไว้เช่นนี้ ย่อมมีความหมายของเขา
สหายน้อย?
ซูอี้ยิ้ม ทว่าสุดท้ายก็มิได้ถือสาคำเรียกนี้ “ก่อนไป ข้าต้องการแน่ใจเรื่องหนึ่ง”
“สหายน้อยว่ามาได้เลย”
“ที่จ้านเป่ยฉีมายังเมืองรัตติกาลนิรันดร์ครานี้ ตกลงว่าเพื่อฆ่าเจ้าหรือเพื่อช่วยเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิ่วฉางเซิงก็ผงะไป นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายน่าเกรงขาม “วาจานี้ของสหายน้อยหมายความว่าอย่างไร”
ซูอี้ตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ตกลงแล้วเป็นศัตรูหรือพวกพ้อง ควรจำแนกให้ชัดเจนก่อน”
หลิ่วฉางเซิงพอดูออกแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าอาจล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจ้านเป่ยฉีอยู่แล้ว!
เงียบไปครู่หนึ่ง หลิ่วฉางเซิงก็กล่าวขึ้นมา “เขาไม่ยอมนิ่งดูดายปล่อยให้ผู้อื่นมาฆ่าข้าหรอก”
ซูอี้พยักหน้า “ไปกันเถิด”
พูดจบ เขาก็มุ่งตรงออกไปนอกลานบ้าน
หลิ่วฉางเซิงขมวดคิ้ว และอดหันมองเข้าไปข้างในห้องโถงมิได้
ราวกับเดาได้ว่าเขาจะถามสิ่งใด เสียงแหบแห้งชราภาพของยามบอกเวลาก็ดังออกจากข้างในห้องโถง
“เรื่องบางเรื่อง ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย สหายเต๋าหลิ่วจะเข้าใจเอง”
หลิ่วฉางเซิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาประสานมือพลางกล่าว “ช่วงที่ผ่านมา ขอขอบคุณท่านอาวุโสที่คอยดูแล”
พูดจบ เขาเองก็หมุนตัวจากไป
ตามตรอกซอยของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ หลังจากหลิ่วฉางเซิงผู้คอยติดตามอยู่ด้านหลังซูอี้ปรากฏตัว ก็มีคนจำได้ในไม่ช้า จนกลายเป็นที่ฮือฮา
ยมราชดาบคลั่ง หลิ่วฉางเซิงผู้ใดเล่าจะไม่รู้จัก?
นี่คือสุดยอดขอบเขตจักรพรรดิที่กระทืบเท้าสะท้านพิภพภูมิมืดมิดได้เชียว!
ตำนานแห่งวิถีดาบ!
การปรากฏตัวของเขา ยากจะไม่เป็นที่จับตามอง
“เจ้าคนแซ่หลิ่วกล้าโผล่มาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หรือว่ายามบอกเวลาจะยอมแพ้ และไม่ต้องการแทรกแซงหนี้แค้นระหว่างเรากับหลิ่วฉางเซิงแล้วหรือ?”
หงอิ๋งก็ได้ข่าวนี้เช่นกัน
นอกจากความประหลาดใจแล้ว เขากระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ตบมือหัวเราะ “ช่วงนี้มีความโชคดีเข้ามารัว ๆ จริง ๆ!”
[1] ยามจื่อ (子) คือ 23.00 – 24.59 น.
……….