บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 965: ปราบมารต้องเริ่มที่ใจ
ตอนที่ 965: ปราบมารต้องเริ่มที่ใจ
ด้านข้างหงอิ๋ง ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน หนนี้หลิ่วฉางเซิงหาได้เดินทางคนเดียวไม่”
“หืม?” หงอิ๋งเอ่ย “มีผู้ใดอีก”
“ชายหนุ่มชุดเขียวหยกคนหนึ่ง สองวันก่อนเจ้าหนุ่มนั่นได้เข้ามาในเมืองรัตติกาลนิรันดร์พร้อมกับอสูรเพลิงสายฟ้า”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ท่านก็ทราบดี พัศดีสองคนที่เราส่งไปไล่ฆ่าอสูรเพลิงสายฟ้า จนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดรอดกลับมา”
หงอิ๋งขมวดคิ้ว “ชายหนุ่มผู้นั้นมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือ?”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างลังเล “เขามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลจริง ๆ เพราะเจ้าหนุ่มนั่นอ่อนแอมาก พลังอยู่แค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น หากเขาเป็นผู้ฆ่าพัศดีของเราทั้งสองคน จะไม่ฟังดูเพ้อเจ้อเกินไปหรือ”
หงอิ๋งพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “คนผู้นี้ใช่หรือไม่”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงฝนประสานกันกลางอากาศ ร่างเงาของชายหนุ่มชุดเขียวหยกผู้หนึ่งปรากฏออกมาในกิริยานั่งเกียจคร้านบนเก้าอี้หวาย พร้อมกอดแมวเหลืองตัวอ้วนตัวหนึ่งไว้ในอ้อมอก
ผู้เฒ่าสายตานิ่งงันและหดลงฉับพลัน “เขานั่นเอง!”
หงอิ๋งดีดนิ้ว แล้วม่านแสงก็หายไปทันที
เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เจ้าหนุ่มนี่ประหลาดมาก แม้พลังอ่อนแอ กระนั้นภูมิหลังของเขาก็ไม่ธรรมดายิ่ง”
เขายังจำได้ ตอนที่ได้พบชายหนุ่มชุดเขียวหยกที่ลานบ้านของยามบอกเวลา อีกฝ่ายถือตัวอยู่ระดับเดียวกับจ้าวเรือนจำที่เจ็ด สนทนากันสนุกสนาน
ภาพผิดปกตินี้เป็นที่สนใจของหงอิ๋งตั้งแต่บัดนั้น
“เจ้าไปติดต่อจ้าวเรือนจำที่เจ็ด บอกว่าหลิ่วฉางเซิงเตรียมออกจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์แล้ว ฝ่ายพวกเราก็ใกล้ต้องเริ่มปฏิบัติการ”
หงอิ๋งออกคำสั่ง
ในสายตาเขา จ้าวเรือนจำที่เจ็ดย่อมรู้ภูมิหลังของชายหนุ่มชุดเขียวหยก
นอกจากนี้ จ้าวเรือนจำที่เจ็ดรับปากไว้ว่าจะร่วมลงมือกับพวกเขา
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่ารีบร้อนจากไป
…
“พวกเจ้าฟังให้ดี ออกศึกกับข้าครานี้อาจมีอันตรายถึงชีวิต หากผู้ใดเกรงกลัว จงอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ตำหนิ”
ภายในตำหนักแห่งหนึ่ง หวังชงหลู อสูรเพลิงสายฟ้านั่งในท่าน่าเกรงขาม สายตาเยือกเย็นดุจมหาสมุทร ดุดันดั่งสายฟ้าฟาด
ตรงกลางตำหนัก สิบสามแม่ทัพปีศาจแห่งเขาเพลิงสายฟ้ามองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดยอมถอย
“ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีมรสุมใดที่พวกเราไม่เคยผ่าน ต่อให้ครานี้มีภยันตรายถึงชีวิต พวกเราก็ไม่เกรงกลัว!”
ชายหัวโล้นผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเข้มดังกังวาน
คนอื่น ๆ พากันพยักหน้า
อสูรเพลิงสายฟ้ามีสีหน้าปลาบปลื้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราออกเดินทางกันเถิด!”
เขาลุกขึ้น และก้าวยาว ๆ ออกไปด้านนอก
สิบสามแม่ทัพปีศาจตามหลังไปติด ๆ
…
“หลิ่วฉางเซิงออกจากเมืองวันนี้ อสูรเพลิงสายฟ้าก็จะไปเช่นกัน ดูท่า คงมีเรื่องคึกคักให้ดูเสียแล้ว…”
เย่ลั่วยืนไพล่มือไว้ข้างหลัง ขณะท่องไปตามตรอกซอยเจริญรุ่งเรืองของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ด้วยความสบายอารมณ์
“พอดีเลย ใช้โอกาสนี้ขอ ‘ซื้อ’ ศิลาเวียนไตรภพจากเจ้าหมอนั่นสักหน่อยแล้วกัน”
เย่ลั่วพึมพำ
…
นอกเมืองรัตติกาลนิรันดร์
ฟิ้ว!
เรือไร้อับปางปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ร่างของซูอี้เคลื่อนมาอยู่ที่หัวเรือ “เจ้ามาขับเรือลำนี้”
หลิ่วฉางเซิงผงะ
เขาไม่ได้โดนผู้อื่นสั่งการเช่นนี้มานานมากแล้ว มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณอีกด้วย
แต่เมื่อนึกถึงคำกำชับของยามบอกเวลา หลิ่วฉางเซิงก็ระงับความไม่สบอารมณ์ไว้ และก้าวมาอยู่บนเรือไร้อับปาง “ไปที่ใด”
“พิภพยมราชฝังวิถี”
ซูอี้นั่งอย่างสบายอารมณ์ ขณะหยิบกาสุราออกมาหนึ่งกา
ก่อนจากเมืองรัตติกาลนิรันตร์มาคราวนี้ เขาขนเหล้าเก่าที่หมักเก็บไว้นานหลายปีของยามบอกเวลามานับสิบกา เพียงพอให้เขาดื่มไปสักระยะ
หลิ่วฉางเซิงหาได้เอ่ยวาจาใด จากนั้นเขาก็ขับเรือไร้อับปางข้ามผ่านอากาศไป
เมื่อพ้นจากเขตทะเลของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ ท้องฟ้าที่เคยมืดสนิทดั่งน้ำหมึกพลันสว่างจ้าขึ้นมา ท้องฟ้าแจ่มใสกว้างไกลจนชวนกระปรี้กระเปร่า
ครั้นใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมิดมานาน จู่ ๆ เมื่อได้พบแสงสว่างเข้า ซูอี้ก็รู้สึกเหมือนทะลุเข้ามาอีกโลกหนึ่ง
“สหายน้อย หากไม่มีข้อผิดพลาด อีกไม่นานกองกำลังจากสำนักสุดวิถีจะไล่ตามเข้ามา ก่อนเหตุการณ์นั้น เจ้ากับข้ามาคุยกันหน่อยได้หรือไม่”
หลิ่วฉางเซิงปริปากทำลายความเงียบ
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่คิดมาก “คุยเรื่องใด”
นัยน์ตาของหลิ่วฉางเซิงลึกล้ำดั่งมหาสมุทร “ข้าไม่ขอปิดบังเจ้า ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าเคยบาดเจ็บสาหัส จวบจนตอนนี้ยังไม่หายดี ใช้พลังได้อย่างมากเจ็ดส่วน และด้วยพลังรบของข้าในตอนนี้ต่อให้สู้ด้วยชีวิต น่ากลัวว่ายังจะมิใช่คู่มือของเหล่าผู้แกร่งสำนักสุดวิถี”
ซูอี้ตอบอืมมาหนึ่งคำ เอ่ยอย่างไม่แปลกใจ “ข้อนี้ข้ารู้นานแล้ว”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่สะทกสะท้านของซูอี้แล้ว หลิ่วฉางเซิงก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ต่อให้ศิษย์น้องของข้า จ้านเป่ยฉีออกโรง อย่างมากก็ช่วยให้พวกเรามีโอกาสรอดขึ้นมาอีกเสี้ยวเดียวเท่านั้น หากอยากเอาชนะอีกฝ่าย ความหวังนั้นริบหรี่มาก”
พูดมาถึงท้ายสุด เสียงเขาทุ้มต่ำลงนิดหน่อย
ผู้แข็งแกร่งจากสำนักสุดวิถีใช่ว่ามีพลังน่ากลัว แต่พวกเขาควบคุมพลังหายนะมหาวิถีที่อยู่ระดับต้องห้าม
และเป็นจุดที่หลิ่วฉางเซิงหวาดหวั่นที่สุด
ซูอี้ดื่มเหล้าหนึ่งอึก พร้อมกับกล่าวว่า “แม้ว่าฝีมือวิถีกระบี่ของจ้านเป่ยฉีจะเก่งกาจก็จริง แต่หากต้องการต่อกรกับกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่ควบคุมโดยผู้ลงทัณฑ์คงไม่น่าดูเท่าไร”
“ผู้ลงทัณฑ์? กฎเกณฑ์วอนสวรรค์?”
หลิ่วฉางเซิงตะลึง “สหายน้อยช่วยอธิบายโดยละเอียดได้หรือไม่”
ซูอี้มิได้ปิดบัง เขาอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ของหอเก้าสวรรค์พอสังเขป
“ที่แท้ พวกเขามาจากส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาว…”
สีหน้าหลิ่วฉางเซิงวูบไหว นอกจากทึ่งแล้วยังตะลึงอีกด้วย
เขาเพิ่งรู้ว่าพลังหายนะมหาวิถีที่อยู่ระดับต้องห้ามนั้นมีนามว่ากฎเกณฑ์วอนสวรรค์!
ชั่วขณะนั้น สายตาที่หลิ่วฉางเซิงมองซูอี้ก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนมีพลังเพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่ความลับที่เขาล่วงรู้เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อยิ่ง!
หลิ่วฉางเซิงครุ่นคิด ก่อนจะถาม “แล้วสหายน้อยคิดว่าพวกเราควรรับมือภยันตรายครั้งนี้อย่างไรดี”
ซูอี้ตอบโดยไม่ต้องคิด “รอจนถึงคราที่ต้องลงมือจริง ๆ เจ้ากับจ้านเป่ยฉีตรึงศัตรูไว้ ข้าเป็นคนลงมือปลิดชีพเป็นพอ”
ต่อให้หลิ่วฉางเซิงผ่านการฆ่าฟันมานับครั้งไม่ถ้วน กำชัยเหนือศัตรูไปตั้งไม่รู้เท่าใด แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้เขายังต้องอึ้งอย่างอดไม่ได้ “ง่าย… แค่นั้นเลยหรือ”
ซูอี้พยักหน้า “ใช่ ง่ายแบบนั้นเลย”
หลิ่วฉางเซิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
พลังของเขาอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นสมบูรณ์ยังเคยบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของสำนักสุดวิถี เขาจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณจะทำลายกองกำลังของสำนักสุดวิถีได้อย่างไร
มิหนำซ้ำ จากวาจาของชายหนุ่มผู้นี้ ตัวเขาและจ้านเป่ยฉีมีหน้าที่แค่ผนึกกำลังตรึงศัตรูไว้ก็เพียงพอ…
หากไม่ใช่เพราะยามบอกเวลา หลิ่วฉางเซิงคงดูแคลนเหยียดหยามว่าซูอี้เป็นจอมหลอกหลวงผู้โอหังไร้สมองไปนานแล้ว
“ข้าว่า สหายน้อยอย่าชะล่าใจดีกว่า”
ขบคิดนิดหน่อย หลิ่วฉางเซิงก็เอ่ยขึ้น “บางทีสหายเต๋าอาจมีไพ่ตายก้นหีบสุดแกร่งที่ผู้อื่นไม่รู้ หรือบางทีเจ้าอาจมีวิธีการน่าเหลือเชื่ออื่น แต่หากเปิดฉากการต่อสู้ สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ซูอี้ก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะแทรกขึ้น “ฟังที่ข้าบอกก็พอ”
หลิ่วฉางเซิง “…”
โดนทัดทานตั้งแต่ยังพูดไม่จบ จึงส่งผลให้เขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
แต่สุดท้ายเขาก็กลั้นไว้ได้ และไม่พูดสิ่งใดอีก
ซูอี้สะท้อนใจ
เท่าที่เขาจำได้ ยมราชดาบคลั่งหลิ่วฉางเซิงเรียกได้ว่าเป็น ‘คนร่วมเส้นทาง’!
คนผู้นี้มีหัวใจแห่งดาบอันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า นิสัยดื้อรั้นไม่ยอมอยู่ในกฎเกณฑ์ ความฝักใฝ่ในวิถีดาบประหลาดเป็นเอกลักษณ์ บุกเบิกเส้นทางมหาวิถีดาบที่แท้จริง
หากอยู่ที่เก้ามหาดินแดน เรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นนำในวิถีดาบ!
แต่บัดนี้ อาจเพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังของสำนักสุดวิถี ทั้งเนื้อทั้งตัวของหลิ่วฉางเซิงจึงแผ่กลิ่นอายซึมกะทือ วาจาหวาดระแวงทุกสิ่ง หมดสิ้นความยโสดื้อรั้นที่เคยมี
ซูอี้หาได้เอ่ยสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลิ่วฉางเซิงมีพลังถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นสมบูรณ์ อยู่มาไม่รู้นานเท่าไร ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดชี้แนะตักเตือน
จะเดินออกจากสภาพจิตใจซึ่งคอยฉุดรั้งเขาอยู่ได้หรือไม่นั้น หวังพึ่งได้เพียงตัวเขาเองเท่านั้น
“ปราบมารต้องเริ่มที่ใจ ควบคุมสรรพสิ่งเริ่มจากควบคุมอารมณ์ตน ในฐานะนักดาบ หากไม่สามารถทลายมารในใจได้ ก็เหมือนถูกจองจำในกรงขัง ไม่มีวันหลุดพ้น ในกาลที่ผ่านมา คนแล้วคนเล่าใช้เวลาชั่วชีวิตยังไม่อาจทลายกรงขังนี้ได้”
ซูอี้พูดกับตัวเอง ราวกับมาจากประสบการณ์ตรง
หลิ่วฉางเซิงอึ้งไปนิดหน่อย และเขาก็เงียบไม่พูดจาอยู่นาน
‘ปราบมารต้องเริ่มที่ใจ ควบคุมสรรพสิ่งเริ่มจากควบคุมอารมณ์ตน… พูดน่ะง่าย แต่ให้ทำนั้นยากยิ่ง…’
หลิ่วฉางเซิงรำพันในใจ
ความรู้ผ่านตำราล้วนตื้นเขิน ความรู้ลึกซึ้งต้องได้จากการปฏิบัติ
หลักการน่ะผู้ใดไม่รู้บ้าง
แต่กรงขังแห่งจิตใจนั้น ไม่ว่าผู้ใดสัมผัสเข้าย่อมต้องสับสนกันทั้งนั้น!
เรือไร้อับปางแล่นไปบนทะเลทุกข์ ฝ่าเกลียวคลื่นด้วยความเร็วสูง
เมืองรัตติกาลนิรันดร์ที่อยู่ด้านหลังพ้นการมองเห็นไปนานแล้ว
เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ
เวลานั้น เสียงเนิบนาบเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเหนือผิวทะเล
“หลิ่วฉางเซิง ข้าคอยเจ้าอยู่นานแล้ว”
เสียงนั้นดุดันดั่งพยัคฆ์มังกร สะท้อนก้องไปทั่วแผ่นฟ้าผืนทะเล ชั่วขณะนั้น เกลียวคลื่นดุดันถูกข่มลงไป รัศมีรอบ ๆ ตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมอันมีจิตสังหารรุนแรง
“พวกเขามาแล้ว”
หลิ่วฉางเซิงเอ่ยเสียงเบา หน้าตาฉายแววหนักอึ้ง
ซูอี้แหงนสายตามอง
และได้เห็นว่าบนผิวทะเลไกล ๆ มีคนกลุ่มหนึ่งทยอยปรากฏตัว
ผู้ที่ยืนนำอยู่ในชุดสีดำ ดวงหน้าหล่อเหลาดั่งบุรุษวัยเยาว์ เขาก็คือผู้ลงทัณฑ์ที่สี่ หงอิ๋ง
ด้านหลังหงอิ๋งมีผู้ติดตามอีกเจ็ดคน ทั้งชายและหญิง รูปลักษณ์แตกต่างกันไป พลังมหาวิถีหลั่งไหลอยู่รอบตัวทั้งหมด
สิ่งที่ซูอี้ประหลาดใจคือ ยมบาลผู้เลอโฉมยืนตระหง่านอยู่ข้างกายหงอิ๋ง!
“สหายเต๋า เราพบกันอีกแล้ว”
ยมบาลขยับริมฝีปากแดงสด ขณะมองซูอี้ด้วยรอยยิ้มหวาน
นางอยู่ในชุดกระโปรงสีหมึก ขาเรียวยาวขาวนวล บุคลิกสูงส่งทระนง งดงามสะท้านปฐพี
หลิ่งฉางเซิงใจสะท้าน พลังปราณในตัวสตรีนางนี้สยองยิ่ง กระทั่งเขายังรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ร่างกายตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
ซูอี้ยืนอยู่ที่หัวเรือ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือถือกาสุรา เขาเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด “เจ้าตั้งใจร่วมมือกับพวกเขาต่อกรกับข้าอย่างนั้นหรือ”
ยมบาลสาวอยู่ในท่วงท่างามสง่า นางคลี่ยิ้มบาง “หากสหายเต๋ายินดีศิโรราบต่อข้า ข้าก็ไม่รังเกียจเมตตาปรานีเจ้าสักครั้ง”
หงอิ๋งที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเช่นกัน “เห็นแก่ท่านยมบาล พวกข้าย่อมเหลือทางรอดให้เจ้าหนุ่มนี่ได้ แต่หนนี้หลิ่วฉางเซิงต้องตาย!”
เขาเน้นคำว่า ‘ตาย’ ดังกึกก้องประหนึ่งสายฟ้าฟาด สะเทือนจิตใจ
หลิ่วฉางเซิงใจกระตุกวูบ
เขาพลันเห็นซูอี้เก็บกาสุรา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ผู้ใดตาย ผู้ใดรอด มาวัดกันที่ฝีมือแล้วกัน”