บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 966: ควักตาตนเอง
ตอนที่ 966: ควักตาตนเอง
…………………………………………………..
ตอนที่ 966: ควักตาตนเอง
หนึ่งชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณ ไม่เพียงไร้ความกลัว แต่ยังข่มขู่ขอพบผู้ถืออำนาจแท้จริงด้วยหรือ?
หงอิ๋งแปลกใจเล็กน้อย และกล่าวกับยมบาลสาวที่อยู่ข้างกาย “ใต้เท้า ท่านคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่รู้ตาสีตาสาหรือกระไรขอรับ?”
ดวงตาทรงเสน่ห์ของยมบาลฉายประกายประหลาด ก่อนที่นางจะกล่าวว่า “เขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน เพียงแค่ว่าการฝึกฝนของเขาอ่อนแอไปหน่อย”
หงอิ๋งอดหัวเราะไม่ได้ ดวงตาทอประกายหยอกล้อ “ต่อให้เขาแข็งแกร่งดั้นฟ้า หรือมีภูมิหลังน่าตกใจเพียงไร ในสายตาเรา เขาก็แค่เมฆาเคลื่อนผ่าน”
กล่าวจบ เขาก็ยกมือขึ้นโบกไปมา “อย่าเสียเวลาอีกเลย มาจับตัวหลิ่วฉางเซิงกับเจ้าหนูนี่เสีย”
“รับคำสั่ง!”
มีคนเจ็ดคนอยู่เบื้องหลังหงอิ๋ง ประกอบด้วยห้าพัศดีและสองอัครสาวก
ยามนี้ พัศดีสองคนลุกขึ้นตามคำสั่งของหงอิ๋งทันที
ทั้งคู่ต่างมีวิถีเต๋าในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย และร่างของพวกเขาต่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังหายนะมหาวิถีน่าหวาดหวั่น
หนึ่งเป็นสตรีผมสั้นรวบมวยสูงในชุดกระโปรงหนังสัตว์ ผิวสีทองเหลือง คิ้วเฉียงดุจมีด มือขวาถือเคียวสีดำ
เมื่อลุกขึ้น อำนาจมหาศาลก็ก่อกวนสถานการณ์ เปลี่ยนโลกหล้าในฉับพลัน!
ทว่า โดยไม่รอให้พวกเขาเริ่มลงมือ…
ชิ้งงงง!
เสียงกระบี่ครวญสนั่นลั่นราวเทพมารคำรามจากไกล ๆ
ผู้มาสวมชุดนักรบ ศีรษะประดับมงกุฎสีม่วงทอง ร่างสูงใหญ่องอาจดุจราชันย์ ถือกระบี่หนาหนักในมือขวา
เสียงกระบี่ครวญยังไม่ทันจางหาย ร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเรือไร้อับปางจากอากาศธาตุ
ทันทีที่เขาปรากฏตัว ปราณฆ่าฟันรุนแรงก็แผ่ออกราวพายุที่พร้อมฉีกกระชากเวหาและพื้นที่โดยรอบเป็นจุณ!
จักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหา จ้านเป่ยฉี!
เจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์ผู้แข็งแกร่งที่สุด!
และน้อยคนนักในโลกที่รู้ว่าเขาเป็นศิษย์น้องของยมราชดาบคลั่ง!
“ศิษย์น้อง”
แววตาของหลิ่วฉางเซิงซับซ้อนมากขึ้น
จ้านเป่ยฉีหันหลังให้หลิ่วฉางเซิง วาจาของเขาเฉยเมย “ข้าบอกแล้วว่าเพื่อคลายความบาดหมางระหว่างเรา เจ้าจะมิตายด้วยมือผู้อื่น”
เสียงของเขาก็ทิ่มแทงไม่ต่างจากกระบี่
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และเขาก็เห็นได้ว่าศิษย์พี่น้อง จ้านเป่ยฉีและหลิ่วฉางเซิงยังไม่ได้ปล่อยวางความบาดหมางในอดีตไป
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเขารู้ว่าหลิ่วฉางเซิงอยู่ในอันตราย จ้านเป่ยฉีก็ลุกขึ้นลงมืออย่างเด็ดเดี่ยว
“เฮอะ มีมาให้ฆ่าอีกคนแล้ว”
หงอิ๋งหัวเราะ ดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ในฐานะยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ เขาย่อมมีท่าทีหยิ่งทะนงยามเผชิญหน้าจักรพรรดิของภูมิมืดมิดนี้
แม้ว่าเทียบกันแล้ว เขาจะยังอ่อนด้อยกว่าหลิ่วฉางเซิงและจ้านเป่ยฉีก็ตาม แต่เขาก็ดูจะไม่ได้มีสองบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นยักษ์แห่งโลกนี้ในสายตาเลยสักนิด!
การวางตนเย่อหยิ่งต่อหน้าผู้คนในภูมิมืดมิดนี้ กระทั่งเหล่าพัศดีก็เป็นเช่นกัน
ราวกับพวกเขาเป็นชนชั้นสูงที่เหลือบตาลงอย่างเป็นธรรมชาติยามปฏิบัติต่อผู้ต่ำชั้นกว่า
“แล้วหากเราเพิ่มเข้าไปเล่า?”
ทันใดนั้น เสียงลึกล้ำหนึ่งก็ดังก้อง
ไกลออกไปในอากาศพลันเกิดเสียงคำราม และกลุ่มตัวตนร้ายกาจก็ทะยานเข้ามา
เขาคืออสูรเพลิงสายฟ้าหวังชงหลู และสิบสามแม่ทัพปีศาจของเขา!
หลิ่วฉางเซิงสะดุ้งราวตกใจ และรำพันว่า “ข้าไม่ใช่บอกเจ้าหรือว่ามิให้เจ้ามาร่วมด้วย?”
หวังชงหลูกล่าวอย่างมีคุณธรรม “แต่ข้าไม่อยากติดหนี้เจ้าไปชั่วชีวิตนี่!”
ว่าพลาง เขาก็พาคนมาเสริมทัพ
สิบสามแม่ทัพปีศาจรวมตัวเบื้องหลังเขาราวดาราคล้อยตามจันทร์ ทำให้อสูรเพลิงสายฟ้าผู้นี้ดูเหนือธรรมดายิ่งขึ้นไปอีก
ทว่า เมื่อหวังชงหลูเห็นซูอี้ยืนอยู่ข้างหลิ่วฉางเซิง เขาก็คงจำความอดสูเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ และสีหน้าของเขาจึงดูไม่สบายใจเล็กน้อย
จนซูอี้ก็อดแหย่ไม่ได้ “เจ้ายังติดหนี้ชีวิตข้านะ หากรอบนี้เจ้าเผลอตายไป ใครเล่าจะชดใช้ให้แทนเจ้า?”
หวังชงหลูตะลึงไป
ชายหัวโล้นข้างกายเขาตวาดด่า “ไอ้หนู ระวังปากด้วย!”
แม่ทัพปีศาจตนอื่น ๆ ก็ดูมิสู้ดี
วาจาของไอ้หนูผู้นี้สามานย์นัก
หวังชงหลูโบกมือ “อย่าเข้าใจผิด สหายเต๋าผู้นี้เป็นผู้ช่วยชีวิตข้าจริง ๆ”
สิบสามแม่ทัพปีศาจตะลึงไปอย่างอดไม่ได้
ก่อนที่พวกเขาจะได้สนทนากันต่อ เสียงหัวเราะของหงอิ๋งก็ดังมาจากไกล ๆ “หายนะจะเกิดรอมร่อ แต่พวกเจ้ายังมาเพ้อเจ้อไร้สาระ ช่าง… ไม่รู้จักความตายเอาเสียเลย!”
ในน้ำเสียงเจือคำล้อเลียนไว้เต็มประดา
วาจาเหล่านั้นทำให้หลิ่วฉางเซิง จ้านเป่ยฉี หวังชงหลูและคนอื่น ๆ ต่างขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ทว่าก็ดูเคร่งขรึมมากกว่า
เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่ายอดฝีมือของสำนักสุดวิถีซึ่งอยู่ตรงข้ามน่ากลัวเพียงไร
ในที่สุด ซูอี้ก็รอไม่ไหว
เรื่องง่าย ๆ เพียงนี้ ไฉนต้องเสียเวลา?
“หลิ่วฉางเซิง ถึงกาลลงมือแล้วนะ”
เขาเอ่ยเตือน
ในน้ำเสียงเจือคำเร่งเร้า
ยามนี้ รอบข้างเงียบลงอย่างแปลกประหลาด
ไม่ว่าจะเป็นพวกหลิ่วฉางเซิงหรือพวกหงอิ๋งต่างตะลึงงัน เจ้าหนุ่มนี่มองเรื่องใหญ่เป็นละครหรือไร?
กล่าวอีกนัยคือ เขาคิดว่าตนได้เปรียบใหญ่หลวงและรอชมเรื่องสนุกไม่ไหวแล้วหรือไร?
มันให้ความรู้สึกพิกลเสมอ
ไกลออกไป หงอิ๋งก็หัวเราะยาว ๆ ออกมาและกล่าวว่า “ช่างเถอะ เราสนองความต้องการเด็กนั่น ลงมือส่งพวกเขาสู่โลกหน้าด้วยกันเถอะ!”
“รับทราบ!”
เหล่าพัศดีตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาทั้งหมดมีเจ็ดคน ผู้ที่อ่อนแอที่สุดมีวิถีเต๋าในขั้นต้นขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
จิตสังหารน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายดุจคลื่น
“หลิ่วฉางเซิง ส่งชีวิตมา!”
เสียงของสตรีผมสั้นในชุดหนังสัตว์ยังไม่ทันจาง ร่างของนางก็เปลี่ยนเป็นแสงทะยานเข้าใส่หลิ่วฉางเซิงอย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
นางยกเคียวสีดำในมือขึ้นราวเดือนแรมสีทมิฬ ทะลวงเวหาฟาดฟันรุนแรง ปราณหายนะมหาวิถีอันคมกริบไร้ใดเทียบตัดผ่าห้วงสมุทร
“ข้าจะจัดการผู้ฝึกกระบี่ผู้นั้นเอง!”
ชายร่างผอมแห้งในชุดดำผู้ถือดาบสั้นคู่สีเงินแสยะยิ้ม ร่างของเขาวูบไหวทะยานเข้าใส่จ้านเป่ยฉี
ขณะเดียวกัน ยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์อีกห้าคนก็พุ่งเข้าใส่พวกหวังชงหลู
บ้างใช้เคล็ดวิชา บ้างใช้สมบัติ ปราณจากร่างของพวกเขาถล่มนภาทลายแดนดิน
ไม่ใช่เพราะพวกเขามีการฝึกฝนสูงส่ง แต่เพราะอำนาจกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่พวกเขาบรรลุนั้นร้ายกาจยิ่งนัก
หลิ่วฉางเซิง จ้านเป่ยฉีและคนอื่น ๆ ต่างไม่อยู่เฉย และไม่รีรอที่จะลงมือในพลัน
เคร้ง!
วจีแห่งดาบสะท้อนก้องดุจมังกรฟ้า และดาบขาวดุจหิมะเล่มหนึ่งก็ตกลงบนมือของหลิ่วฉางเซิง
ยมราชดาบคลั่งผู้ลือนามทั่วหล้าแปรเปลี่ยนบรรยากาศรอบกาย แววตาคู่นั้นอหังการผยองอำนาจ แข็งแกร่งดุดันดุจทะเล ร่างเปี่ยมภาวะดาบทะลวงนภาปฐพี!
“ไม่เลวเลย แม้อารมณ์จะถูกกระทบผิดปกติ แต่ก็มิกระทบต่อวิชาดาบ”
ซูอี้ลอบพยักหน้า
ตู้ม!
จ้านเป่ยฉีเองก็ลงมือ
ร่างของเขาทะยานโจมตีราวอสนีบาตฟาด
กระบี่หนาหนักในมือของเขาระเบิดปราณร้ายกาจ และก่อนจะทันได้ฟาดฟัน อากาศรอบข้างก็ถูกปราณเหล่านั้นบดขยี้ ทำให้รอบข้างปั่นป่วนราวเดือดพล่าน
อำนาจของจักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหาถูกเผยออกอย่างชัดแจ้ง
“ไม่ผิดแน่ วิถีกระบี่ของคนผู้นี้ถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นจาก ‘ยอดฝีมือ’ ทะลวงเขตแดนของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้”
ซูอี้แปลกใจเล็กน้อย
เทียบกับหลิ่วฉางเซิงแล้ว ชายหนุ่มแปลกใจกับวิถีเต๋าอันรุ่งโรจน์ของจ้านเป่ยฉีเล็กน้อย
ตู้ม!!
ศึกบังเกิด
ทั่วนภาปั่นป่วน ตะวันจันทราอับแสง
ทั่วสมุทรในรัศมีพันจั้งอลหม่านราวใกล้พังทลาย
นี่คือศึกระหว่างตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ!
ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วฉางเซิงหรือจ้านเป่ยฉี ในภูมิมืดมิดทุกวันนี้ พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นตัวตนสูงสุดแล้ว
อำนาจของตัวตนเหล่านี้สามารถขยี้ขุนเขาทลายเวหาได้ และความยิ่งใหญ่นั้นก็ยากจินตนาการ
กระทั่งอสูรเพลิงสายฟ้า หวังชงหลูก็ไม่ใช่ย่อย
ทว่า คู่ต่อกรในครานี้ของพวกเขาพิเศษเกินไป เพราะคนเหล่านี้คือศิษย์หอเก้าสวรรค์จากห้วงลึกในจักรวาลพร่างดาว แต่ละคนต่างสำเร็จหายนะมหาวิถีกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ แข็งแกร่งเกินคาดเดา
ในสถานการณ์นี้ แทบไร้ผู้ใดต่อกรพวกเขาได้
กระทั่งศึกข้ามเขตแดน พัศดีในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำยังสามารถทำให้ตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอย่างหวังชงหลูบาดเจ็บสาหัสได้!
ศึกนี้เกินพอจะสร้างความตะลึงแก่โลกหล้า สร้างความปั่นป่วนในภูมิมืดมิดได้
ทว่าช่างน่าแปลก หลังสงครามบังเกิด ไม่มีผู้ใดสนใจซูอี้ผู้ยืนบนเรือไร้อับปางเลย
บางทีอาจเป็นเพราะการฝึกฝนของเขาอ่อนแอเกินไป จึงถูกเมินทันทีก็เป็นได้…
นี่ทำให้ซูอี้ตะลึงอึ้ง เขา… ดูไร้พิษภัยต่อมนุษย์และสัตว์เพียงนั้นหรือ!?
ไกลออกไป ยมบาลเห็นภาพทั้งหมดชัดเจน และริมฝีปากสีกุหลาบของนางก็ยิ้มแปลก ๆ
ซูเสวียนจวินผู้นี้ถูกเมิน!!
ฮะ ช่างน่าสนุกนัก!
“ฮะ ๆ”
ดูเหมือนหงอิ๋งจะสังเกตเห็นสายตาของยมบาลสาวที่มองไปยังซูอี้ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ สีหน้าเปี่ยมความเย้าหยอก “สิ่งที่หยามเกียรติกันที่สุดมิใช่ถูกศัตรูดูแคลน แต่เป็นการไร้คุณสมบัติให้ผู้อื่นดูแคลน!”
ยมบาลกล่าวช้า ๆ ด้วยแววตาพิลึก “ก็จริง แต่ในความคิดข้า เจ้าควรระวังมากกว่านี้ คนผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา อย่างน้อย… ในสนามรบนี้ ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะต่อกรเขาได้”
หงอิ๋งตะลึง ดูสงสัยว่าตนหูฝาดหรือไม่ เขากล่าวขึ้นอย่างอึ้ง ๆ “ใต้เท้า ท่านพูดถึงเจ้าหนูในขอบเขตวงล้อวิญญาณนั่นอยู่จริง ๆ หรือขอรับ?”
ยมบาลกะพริบตา “ไม่เชื่อหรือ?”
หงอิ๋งขมวดคิ้ว จากนั้นจึงพูดยิ้ม ๆ “ใต้เท้าล้อข้าเล่นอยู่หรือขอรับ? เช่นนี้แล้วกัน หากเขาแข็งแกร่งเยี่ยงท่านว่า ข้ายอมควักตาตนเองเลย!”
ยมบาลสาวยิ้มทรงเสน่ห์ ยิ้มชวนลุ่มหลงพลางกล่าวทีเล่นทีจริง “เจ้าพูดเองนะ หากเจ้าไม่ควักตาทีหลัง ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ทำให้หัวใจของหงอิ๋งเต้นไม่เป็นส่ำ โลหิตร้อนระอุ จากนั้นเขาก็อดถามไม่ได้ “หาไม่ ใต้เท้าจะชดเชยเช่นใดหรือ?”
สายตาของเขาดูกระลิ้มกระเหลี่ย จ้องวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าอกอันภาคภูมิของยมบาลสาว หารู้ไม่ว่าลึก ๆ ในดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาเฉยเมย
หงอิ๋งเลียปากเล็กน้อย เขากำลังจะหยอกล้อยมบาลสาวอีกสักนิดหน่อย ก่อนที่จะเห็นว่ายมบาลกำลังจ้องสนามรบไกลออกไป และใบหน้างามดุจหยกปรากฏความแปลกใจ แล้วนางก็พึมพำเบา ๆ ว่า
“ข้าไม่คาดเลยว่าจะยังมีคนกล้าเข้ามาเสริมแรงอีก”
……….