บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 967: หนึ่งดาบชี้เป็นตาย
ตอนที่ 967: หนึ่งดาบชี้เป็นตาย
…………………………………………………..
ตอนที่ 967: หนึ่งดาบชี้เป็นตาย
สงครามดุเดือดสนั่นลั่น
หลิ่วฉางเซิงผู้บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วตกสู่สภาวการณ์อันตราย
สตรีผมสั้นมีวิถีเต๋าอยู่เพียงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย ทว่าประสบการณ์การต่อสู้ของนางโชกโชนนัก เคียวสีดำในมือนางกอปรกับพลังของกฎเกณฑ์วอนสวรรค์เป็นภัยคุกคามต่อหลิ่วฉางเซิงอย่างยิ่ง
จ้านเป่ยฉีเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ทว่า จ้านเป่ยฉีทำได้เพียงต่อกรสูสีกับคู่ต่อสู้ ยากจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในช่วงกาลสั้น ๆ อย่าว่าแต่ฆ่าเลย
เทียบกันแล้ว สถานการณ์ทางอสูรเพลิงสายฟ้าหวังชงหลูร้ายแรงที่สุด
ยอดฝีมือห้าคนจากหอเก้าสวรรค์ร่วมมือโจมตี แม้ว่าเขาและสิบสามแม่ทัพปีศาจจะมีจำนวนคนได้เปรียบ แต่ยามต่อสู้ พวกเขากลับเสียเปรียบสุดขีด
เหตุผลนั้นง่าย ๆ
เพราะบาดแผลของหวังชงหลูยังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์!
และการฝึกฝนของสิบสามแม่ทัพปีศาจข้างกายเขาล้วนแต่อยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ เมื่อเผชิญพัศดีในขอบเขตเดียวกันแต่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้ พวกเขาก็มิอาจเป็นคู่ต่อกรได้เลย!
ศึกดำเนินไปเพียงชั่วขณะ ทว่าสิบสามแม่ทัพปีศาจต่างเริ่มบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
หนึ่งในนั้นสาหัสจนเกือบไส้ทะลัก!
ยังไม่รวมว่าไกลออกไป ผู้ลงทัณฑ์ที่สี่หงอิ๋งซึ่งแข็งแกร่งกว่ายังไม่ได้ลงมือ
ศึกเช่นนี้แทบไร้หวังชนะ
มันยังทำให้ซูอี้ซึ่งดูอยู่อดรนทนมิได้เล็กน้อย จึงตัดสินใจลงมือ
เขาสัญญากับยามบอกเวลาไว้ว่าจะช่วยหลิ่วฉางเซิงคลี่คลายปัญหา และยังรับศิลาเวียนไตรภพจากยามบอกเวลามาแล้วด้วย
เขายังกังวลมากว่าหากลงมือช้ากว่านี้ หวังชงหลูผู้ติดค้างหนี้ชีวิตเขาคงไร้โอกาสได้ตอบแทนบุญคุณ
แน่นอน ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหอเก้าสวรรค์ถูกลิขิตไว้ในฐานะศัตรูแล้ว!
ทว่า ไม่ได้รอให้ซูอี้ลงมือ
จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ลอยเหนือสมุทรไม่ห่างจากซูอี้นัก
ผู้ที่มาเยือนมีร่างผอมและผมสีเทา เขาคือเย่ลั่ว
“เจ้าหนู เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของอีกฝ่าย หลิ่วฉางเซิงและคนอื่น ๆ ไร้โอกาสชนะเลย”
เย่ลั่วกล่าวยิ้ม ๆ ด้วยมาดเท่ “แต่ในเมื่อมีข้าอยู่ พวกเขาก็มีหวังมีชีวิตรอด เจ้าอยากให้ข้าช่วยพวกเขาหรือไม่?”
เมื่อเห็นศิษย์ตนมาเรียกตนว่า ‘เจ้าหนู’ อย่างแสนภาคภูมิ ซูอี้ก็อดกล่าวด้วยสีหน้าแปลก ๆ มิได้ “ไม่ล่ะ”
เย่ลั่ว “…”
ไม่ล่ะ!?
ไอ้หนูผู้นี้ไม่กลัวสักนิดหรือ?
เย่ลั่วข่มรอยยิ้มบนหน้า ขณะมองซูอี้และกล่าวอย่างจริงจัง “ขอเพียงเจ้าส่งศิลาเวียนไตรภพมาครึ่งหนึ่ง ข้าก็สัญญาจะเปิดทางให้เจ้าหนี ตกลงหรือไม่?”
ซูอี้ไม่แม้แต่จะชายตามองเขา และตอบในครู่ต่อมา “ไม่ล่ะ”
“?”
การถูกปฏิเสธสองหนติดทำให้เย่ลั่วเกือบเคลือบแคลงในชีวิตตน
“เจ้าหนู ไม่ต้องใช้อารมณ์นักก็ได้ เห็นได้เลยว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าข้าคือใคร หากมิใช่ว่าข้าต้องการใช้ศิลาเวียนไตรภพด่วนล่ะก็ เรื่องบุญคุณความแค้นพวกนี้ ต่อให้จักรพรรดิมาคุกเข่าขอร้อง ข้าก็คร้านเกินกว่าจะสนใจนะ”
เย่ลั่วกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ “และยามนี้ ในเมื่อข้าเต็มใจช่วย เจ้าก็ควรรู้สึกโชคดีนะ”
เขาไหวไหล่และกล่าวอย่างมีชั้นเชิง “แน่นอน ข้าจะช่วยก็ต่อเมื่อเจ้าให้ศิลาเวียนไตรภพข้ามาแล้ว”
ซูอี้แค่นเสียงหึและส่ายหน้าน้อย ๆ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าทำเองก็ได้
เย่ลั่วกล้าฉวยโอกาสปล้นเขายามไฟไหม้ กล้าดีแท้!
เย่ลั่วตะลึงไปอีกครั้งพลางมองซูอี้อย่างเคลือบแคลง ก่อนจะหยอกล้อทันที “ท่าน… อยากแสดงความสามารถให้ข้าชมหรือไร?”
คำว่า ‘ท่าน’ นั้นดูประชดยิ่ง
ซูอี้มองเย่ลั่วอย่างลึกล้ำ ก่อนจะกล่าวว่า “เด็กน้อย ข้าถือว่านั่นคือคำขอร้องของเจ้านะ”
เย่ลั่ว “…”
ชิ้ง!
เสียงครวญดาบกังวานใส
ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นในมือของซูอี้
ทันใดนั้น สายตาของยมบาลและหงอิ๋งก็ถูกดึงหันมา
เมื่อเห็นว่าซูอี้กำลังจะลงมือ หงอิ๋งก็อดกล่าวอย่างนึกสนุกไม่ได้ “ข้าก็คิดว่าเขาจะเชิญผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมา ที่แท้ก็หาเรื่องตายลำพัง…”
เขารับรู้ว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น ชายหนุ่มผมสีเทาผู้นั้นเป็นตัวตนร้ายกาจมาก!
ริมฝีปากแดงของยมบาลสาวยกขึ้นเล็กน้อย “งั้นเจ้าคงต้องดูดี ๆ ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะตาบอดหรือไม่ แต่ต่อจากนี้ได้บอดแน่”
หงอิ๋งตกใจ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าวาจาของยมบาลมีบางสิ่งผิดปกติ
ทว่า ก่อนเขาจะทันได้เข้าใจ เขาก็เห็นว่าซูอี้หายไปจากเรือไร้อับปางแล้ว
ครู่ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวข้างกายหวังชงหลู
“เจ้าหนู หากเจ้าตายไป ข้าจะช่วยฝังศพตั้งป้ายให้เจ้า ส่วนสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้จะเป็นค่าทำศพนะ”
เย่ลั่วกล่าวเสียงดัง
เสียงของเขาสะท้านไปทั่วทิศ
หงอิ๋งกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวแล้ว ผู้ช่วยอันใดกัน ช่วยลดกำลังใจชัด ๆ!
ยมบาลสาวเองก็แย้มยิ้มที่ยากเข้าใจความหมายออกมา
และเมื่อเขาเห็นซูอี้โผล่มากะทันหัน คู่ต่อสู้ของหวังชงหลูก็หัวเราะร่า
เขาเป็นชายในชุดสีเงิน ท่าทางตุ้งติ้งดุจอิสตรี ต่อสู้กับหวังชงหลูพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “พวกเจ้าขาดคนแล้วจริง ๆ หรือ? ส่งเด็กมาตาย น่าอายจริงแท้!”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นใกล้ ๆ
ทั้งจ้านเป่ยฉีและหลิ่วฉางเซิงต่างขมวดคิ้ว
หวังชงหลูถอนหายใจโล่งอก มองชายชุดสีเงินด้วยแววตาเจือสงสาร
เขาเคยเห็นซูอี้ฆ่าพัศดีมากับตา และย่อมรู้ว่าซูอี้ที่ชายชุดสีเงินดูถูกเป็น ‘เด็ก’ ร้ายกาจเพียงไร
สีหน้าของซูอี้นิ่งเฉย ดวงตาดุจบ่อน้ำโบราณไร้การรบกวน มีเพียงประกายแสงเย็นเยียบลึก ๆ ภายในเท่านั้น
เคร้ง!
เขาสะบัดข้อมือ คมดาบสีเขียวครามของดาบนิลกาฬบริสุทธิ์พลันเฉิดฉายรัศมีเลือนราง และซูอี้ก็ออกแรงแทงดาบสู่อากาศ
ท่าทีนั้นดูเรียบง่ายธรรมดา
ทว่าดาบนี้กลับพบช่องโหว่ระหว่างศึกของชายชุดสีเงินอย่างแสนง่ายดาย ที่ใดที่คมดาบกวาดผ่าน พลันเกิดรอยแตกดุจอสนีบาตลากยาวเป็นทาง การป้องกันของชายชุดสีเงินพังทลายราวสร้างจากกระดาษ
ฉึก!
คมดาบอันไม่อาจหยุดยั้งแทงเข้าปากของชายชุดสีเงินโดยเฉียบพลัน มันทะลวงลึกจนโผล่ออกมาที่ด้านหลังศีรษะ โลหิตกระฉูดสูงหลายจั้ง
“อื้อ ๆ…”
ชายชุดสีเงินเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงและพยายามพูดบางอย่าง ทว่าปากของเขามีดาบเสียบทะลุ ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้
จากนั้นหัวของเขาก็ระเบิด ตามมาด้วยร่างกายที่แหลกละเอียด
มันเกิดขึ้นจากพลังที่ฉาบอยู่บนคมดาบ ขยี้ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาสลายในพริบตา!!
เพียงหนึ่งพริบตา หนึ่งดาบก็สังหารพัศดีไปหนึ่งคน!
เหตุกะทันหันนี้ทำให้ผู้มองทั้งหลายพลันเงียบไป
คนทุกผู้ที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอดตะลึงไม่ได้
“ไฉนจึง…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหงอิ๋งแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
ก่อนหน้านี้เขากำลังหัวเราะ เต็มไปด้วยความดูแคลนล้อเลียน
ทว่าภาพนองเลือดนี้เหมือนจะเป็นการตบหัวเขาจากข้างหลัง เกินคาดโดยสิ้นเชิง
เย่ลั่ว “?”
เขาเองก็ตะลึงจนไม่อยากเชื่อเช่นกัน
นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณทำได้หรือ?
“ช่างเป็นดาบที่น่ากลัวนัก มันทำลายการป้องกันของจักรพรรดิและทะลวงกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้!!”
ดวงตาของหลิ่วฉางเซิงทอประกาย
ในฐานะนักดาบ เขามองปราดเดียวก็เห็นว่าทั้งพลัง ความเร็วและอำนาจในดาบเล่มนั้นแทบไร้ที่ติ
ราวจันทร์เพ็ญเหนือทะเลคราม ดุจธรรมชาติสรรค์สร้าง
แน่นอนว่า ประเด็นอยู่ที่พลังอันอัดแน่นอยู่ในดาบ!
เหมือนเช่นที่ดาบมรณะเล่มนี้ก่อฉากนองเลือดเมื่อครู่!
“ยอดไปเลย มิน่าเล่าเขาจึงเป็นแขกพิเศษสุดของยามบอกเวลาได้…”
จ้านเป่ยฉีตะลึง
เขายังคงจำได้แม่นว่า เมื่อครั้งไปเยือนสวนของยามบอกเวลาเมื่อไม่กี่วันก่อน ชายหนุ่มผู้นี้ได้สร้างปรากฏการณ์เหลือเชื่อมาสารพัด ไม่เพียงกล้าเรียกนกกระเต็นมาร่ำสุรา กระทั่งเจ้าแมวเหลืองที่ร้ายกาจดุจเทพปีศาจยังทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ยามนี้ ดาบอันน่าตื่นตาของซูอี้ทำให้จ้านเป่ยฉีเข้าใจเสียที ว่าเหตุใดชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจึงกลายเป็นแขกพิเศษสุดของยามบอกเวลาไปได้!
“คราก่อนดาบไม่ขยับ แต่สามปราณดาบก็ฆ่ายอดฝีมือจากสำนักสุดวิถีได้ ครานี้ขยับดาบ และศัตรูก็ไม่อาจต้านทานแม้เพียงหนึ่งกระบวน…”
แม้ว่าหวังชงหลูจะเคยเห็นซูอี้สำแดงเดชมาก่อน แต่เขาก็ยังอดสูดหายใจเฮือกมิได้
สิบสามแม่ทัพปีศาจเองก็ดูจังงัง
ก่อนที่ใครจะทันได้ไหวตัว ร่างของซูอี้ก็หายวับไปในอากาศธาตุแล้ว
ขอเพียงเขาเริ่มลงมือ ซูอี้จะเสียเวลาเปล่าได้เช่นไร?
ขวับ!
เขาปรากฏใกล้ ๆ พัศดีผู้หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไหล
เขาเป็นชายร่างกำยำ ถือขวานยักษ์ในมือ ดูดุร้ายทรงพลัง เมื่อเขาตระหนักว่าซูอี้เล็งสังหารเขา เขาก็ฟาดขวานยักษ์ออกไปสุดแรงโดยไม่ลังเล
ซูอี้ไม่แม้แต่จะมอง จากนั้นเขาก็ตวัดดาบนิลกาฬบริสุทธิ์อย่างเรียบง่าย
ฉับ!
ร่างของยักษ์ใหญ่ถูกแบ่งครึ่งทั้งเป็น
ทันทีที่น้ำตกโลหิตทะลักไหล ร่างที่ถูกแยกครึ่งระเบิดกลางอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านปลิดปลิว
อึกหนึ่งดาบ และพัศดีอีกคนก็ถูกบั่นหัว!!
ผู้คนที่นี่ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ใช้ชีวิตมานับปีไม่ถ้วน คุ้นชินกับการเผชิญกระแสพายุ คลื่นใหญ่ภัยมหันต์ทั้งหลาย ทว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังตะลึงหนังหัวชายิบ
นี่มิใช่ศึกสงคราม แต่เป็นการประหัตประหารฝ่ายเดียวชัด ๆ!
หนึ่งดาบหนึ่งศพ ตรงไปตรงมา!
พัศดีผู้ควบคุมกฎเกณฑ์วอนสวรรค์และมีการฝึกฝนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเพียงพอจะเป็นภัยมหันต์ต่อตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ทว่ากลับไร้ทางสู้ราวไก่ตัวหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ ณ ขณะนี้!
มันช่างเหลือเชื่อ
ไม่มีผู้ใดจินตนาการได้ว่าชายหนุ่มจากขอบเขตวงล้อวิญญาณซึ่งถูกเมินมาก่อนหน้านี้จะกลายเป็นตัวแปรใหญ่ที่สุดของสงคราม ทันทีที่เขาปรากฏในสนาม เขาก็เผยคมดาบอันไม่อาจต้านทาน!
ริมฝีปากของเย่ลั่วกระตุก สีหน้านิ่งค้าง
เขาจำวาจาที่ตนล้อเลียนอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ได้ ใบหน้าพลันรู้สึกร้อนผ่าวราวถูกตบ
“นับแต่ฝึกฝนมา ไม่คาดเลยว่าข้าเย่ลั่วจะถูกเจ้าหนูผู้หนึ่งตบหน้าเสียได้…”
เย่ลั่วหัวเราะเยาะตนเอง
“บักซบ! อำนาจของเจ้านี่ดูจะสามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้!!”
ในที่สุดหงอิ๋งก็เข้าใจได้เสียที ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงคล้ำเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทันใดนั้น เขาพลันสังเกตว่าเจ้าเรือนจำที่เจ็ดข้างกายเขาดูผ่อนคลายสุด ๆ มาแต่ต้นจนจบ
“ใต้เท้ารู้อยู่แล้วหรือ?”
หงอิ๋งอดถามไม่ได้
ยมบาลสาวกล่าวด้วยแววตาเจือสงสาร “เจ้าไม่ได้โง่เกินไปนักหรอก แค่เข้าใจช้าไปเท่านั้น…”
เสียงยังไม่ทันจาง
จู่ ๆ เสียงกรีดร้องก็ลั่นสะท้านภพ
ปรากฏว่าในชั่วกาลเพียงพริบตา หัวของพัศดีคนที่สามก็ขาดกระเด็น!
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
0
……….