บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 97 สนทนาครื้นเครง ห้วงจิตคิดแตกต่าง
ชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
โถงห้วงสมุทร
ตำแหน่งหน้าต่าง โจวจือหลีเพ่งมองออกไป สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
อีกด้านหนึ่ง ชิงจินเอ่ยถ้อยคำเกียจคร้าน “เห็นหรือไม่ ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องออกไป ขณะนี้ซูอี้เข้ามาได้แล้ว”
ครั้งเมื่อตอนซูอี้และคณะมาถึงภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ชิงจินที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็สังเกตเห็น
หลังจากนั้น โจวจือหลีใคร่รู้ราวถูกดึงดูด รับชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์อย่างตั้งใจจากหน้าต่างกว้าง
“เสี่ยวเอ้อต่ำต้อยเช่นนั้น แน่นอนย่อมไม่อาจล่วงรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของซูอี้ ข้าอุตส่าห์คิดจะใช้โอกาสนี้ ผูกสัมพันธ์เชื้อเชิญเขามาเพื่อพูดคุย แต่บทสรุป ข้ากลับไม่มีโอกาสออกหน้าแม้แต่ครึ่งคำ” โจวจือหลีถอนหายใจ
มู่จงถิงผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ ชายชราก็อยู่ที่นี่ด้วย
ขณะนั้นเอง เขาพลันกล่าวขึ้น “ข้าจำชายหนุ่มชุดเขียวคนนั้นได้ ก่อนที่องค์ชายหกและทุกคนจะเดินลงบันไดมา เขามองตรงมายังข้าจากระยะไกล และยังดูเหมือนจะมองทะลุตัวตนที่แท้จริงของข้าออก”
ได้ยินเช่นนี้โจวจือหลีก็ตกใจ
ชิงจินครุ่นคิด “เขาคงไม่ได้ล่วงรู้ถึงตัวตน แต่น่าจะมองระดับการบ่มเพาะของท่านออก”
ข้อสรุปในประโยคเดียว
มู่จงถิงอดสงสัยไม่ได้ “บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน? เหตุใดท่านทั้งสองจึงสนใจนัก?”
ชิงจินหวนนึกย้อนภาพของซูอี้บนเรือ นางจึงอดไม่ได้ที่จะเผยร่องรอยความหมองเศร้าและความสูญเสียในหัวใจอย่างไม่อาจอธิบาย ก่อนกล่าวถ้อย “ท่านมู่ควรเอ่ยถามองค์ชายหก”
นางยืนนิ่งข้างหน้าต่าง แขนสองข้างโอบรอบหน้าอก ขณะรับชมแสงไฟบ้านเรือนนับพันจากระยะไกล นัยน์ตาสวยคมดุจคมดาบ
“ท่านมู่ มานั่งคุยกันเถอะ”
โจวจือหลีดูสำราญใจ ใบหน้าประดับรอยยิ้มกล่าวออก
…
โถงธารคีรี
พรมแดงทอดยาว เทียนไขห้อยระย้าจากที่สูง ส่องสว่างทั่วบริเวณ
ภายในแจกันศิลาขนาดใหญ่สูงเท่าเอว ช่อดอกไม้บานสะพรั่งงามงด ม้วนภาพวาดขุนเขาและลำธารสูงสามจั้งแขวนบนผนัง เพิ่มพูนความสวยงามให้แก่ห้อง
โต๊ะไม้จันทน์ขนาดใหญ่จุแขกได้กว่ายี่สิบคนวางอยู่กลางห้อง ผักและผลไม้ตามฤดูกาล รวมถึงของหวานชั้นเลิศถูกตระเตรียมวางไว้เรียบร้อย
ข้างกำแพงโถงยังมีสาวใช้อีกห้าคนรออยู่
ครั้งเดินเข้ามายังโถงธารคีรี เฝิงเสี่ยวหรานและอาเฟยหันรีหันขวางระวังตัว ราวกับกลัวย่างเหยียบลงบนพรมแดง
แม้แต่เฝิงเสี่ยวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
เขาเกิดในครอบครัวยากไร้ แม้จะมีโอกาสได้เป็นศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ ทว่าเขาไม่เคยได้เข้าออกสถานที่หรูหราราคาแพงเช่นนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่า นี่คือชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์อันโด่งดังของมหานครอวิ๋นเหอ
หวงเฉียนจวินมองสำรวจพลางออกความเห็น “ไม่เลว ไม่เลว ดูหรูหรากว่าภัตตาคารรวมเซียนในเมืองกว่างหลิงมากโข!”
จากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตนเองทันใด “ก่อนหน้านี้ข้าเคยมาที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์หลายครั้งครา แต่ไม่เคยมีโอกาสมาทานอาหารที่ชั้นเก้าแม้แต่ครั้งเดียว”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นเผยยิ้มสดใส ถ้อยคำสุภาพเอ่ยขึ้น “นายน้อยโปรดให้อภัยภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ในความเลินเล่อที่แล้วมาด้วย แต่จากนี้ไป เมื่อใดที่นายน้อยมาหาความสำราญ เราขอรับปากจะดูแลนายน้อยเป็นอย่างดีชดเชยความพลาดพลั้งในอดีต”
หวงเฉียนจวินอดหัวเราะไม่ได้ ปกติแล้วเขาไม่เคยใส่ใจ ทว่าที่ได้รับความเพลิดเพลินอยู่ขณะนี้ เขาทราบดีแก่ใจว่าทุกสิ่งอย่างเป็นเพราะอำนาจอันเรืองรองของซูอี้
หากไร้ซึ่งซูอี้แล้ว หวงเฉียนจวินคงไม่อาจมีตัวตนอยู่ในสายตาของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นผู้ทรงอำนาจนี้
มีเพียงซูอี้ที่ยังสงบนิ่งดังเดิม เมินเฉยต่อการตกแต่งอันหรูหราและสง่างามของโถงใหญ่ ก่อนผลักรถเข็นของเฝิงเสี่ยวเฟิงไปยังหน้าโต๊ะอาหาร
ทั้งยังบอกกล่าวเฝิงเสี่ยวหรานและอาเฟยให้นั่งลง
จากนั้นเขาก็หันไปทางนายหญิงชุ่ยอวิ๋นและกล่าวคำ “สถานที่ของเจ้าไม่เลวทีเดียว เอาล่ะ นำอาหารมาตั้งโต๊ะได้แล้ว”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ตามดังคุณชายปรารถนา… เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว หากมีคำสั่งใดโปรดเรียกใช้เสี่ยวเอ้อเหล่านั้นได้เลยเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงกล่าว นางก็หันกลับเดินจากไป
กระทั่งประตูโถงใหญ่ปิดลง เฝิงเสี่ยวเฟิงและคนอื่นดูเหมือนจะลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งยังมีท่าทีผ่อนคลาย
ด้วยประสบการณ์การเติบโตอันย่ำแย่ตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขาจึงปรับตัวเข้ากับโอกาสเช่นนี้ได้ยากในเวลาอันสั้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เผยท่าทีตื่นตระหนกอย่างคนช่ำชองแบบหวงเฉียนจวิน
ตรงกันข้าม ซูอี้กลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
ในชีวิตแต่กาลก่อน เขาได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็นจักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในเก้ามหาแดนดินล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องมอบความบันเทิงชั้นเลิศแก่เขา
เมื่อเทียบกันแล้ว ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ย่อมไม่อาจทำให้เขาตื่นตา
เมื่อซูอี้และหวงเฉียนจวินเข้ามายังโต๊ะ เหล่าสาวใช้ที่รออยู่เริ่มรินน้ำชาและน้ำ ทุกนางล้วนมีหน้าตาสะสวยและคล่องแคล่ว บริการทุกคนอย่างพิถีพิถัน
แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อ เฝิงเสี่ยวเฟิงและอีกสองก็ไม่ถูกละเลย
ไม่นาน อาหารชั้นเลิศจึงถูกนำมาวางทีละอย่าง กลิ่นหอมเย้ายวนลอยกรุ่นในควันขาว พวกมันล้วนมีส่วนผสมคุณภาพชั้นยอดที่หายาก ซึ่งทำให้รสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไปราวฟ้าและเหว
ซูอี้ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปราณวิญญาณเจือจางลอยขึ้นมาจากอาหารแต่ละจาน ตระหนักรู้ในใจว่าส่วนผสมเหล่านี้น่าจะถูกแช่ในโอสถวิญญาณเพื่อให้มีปราณวิญญาณดังกล่าว
ในคราแรก เฝิงเสี่ยวเฟิงและผู้อื่นมีท่าทีระมัดระวัง แต่ไม่นานพวกเขาก็ผ่อนคลายและลงมือทานอย่างมีความสุข
เฝิงเสี่ยวหรานนั่งข้างซูอี้ นางไม่ลืมที่จะตักอาหารแก่เขา ครั้งเห็นจอกสุราว่างเปล่า นางก็ช่วยเทสุราเพื่อไม่ให้สาวใช้ด้านข้างเข้ามาวุ่นวาย
“สุรานี้ไม่เลว ฤทธิ์แรงมาก สมแล้วที่เป็นของสะสมส่วนตัวของนายหญิงชุ่ยอวิ๋น”
หวงเฉียนจวินชื่นชอบการดื่มสุราและกินเนื้อสัตว์มากที่สุด
มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เพลิดเพลินกับการปฏิบัติดูแลอย่างดีจากที่นี่ เขาจึงทานอาหารอย่างมีความสุข
“พี่หวง มื้อนี้เสียเงินเยอะไหม?” อาเฟยเคี้ยวเนื้อในปากพลางถามอย่างสงสัย
“เงิน?”
หวงเฉียนจวินส่ายศีรษะกล่าวตอบ “เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดก่อนมาที่นี่ได้ไหม ทุกสิ่งอย่างแก้ไขได้ด้วยเงิน ทว่าอาหารเบื้องหน้าเหล่านี้ ข้ากลับใช้เงินแก้ไขไม่ได้”
อาเฟยเบิกตากว้างโพล่งถามทันใด “แล้วสิ่งใดจะแก้ไขได้?”
“จำเป็นต้องมีสถานะสูงส่งและอำนาจมากพอ จึงจะสามารถแก้ไขได้” หวงเฉียนจวินกล่าวถ้อยคำใส่อารมณ์
ดูเหมือนอาเฟยจะเข้าใจ
และแม้แต่ซูอี้ยังต้องลอบเห็นด้วยในใจ โลกนี้บางครั้งการมีอำนาจก็ทำให้แก้ปัญหาได้ง่ายดายขึ้น
ดังที่เซียวเทียนเชวี่ยกล่าวไว้ครั้งที่มอบป้ายหยก การเดินทางย่อมพบเจอปัญหาเล็กน้อยที่ไม่คุ้มค่ากับการใช้กำลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เช่นเดียวกับคืนนี้ แม้ว่าดาบของเขาจะคมถึงขนาดพรากชีวิตปรมาจารย์วิถียุทธ์ได้ภายในดาบเดียว แต่เมื่อไร้สถานะสูงส่ง เสี่ยวเอ้อตัวเล็ก ๆ เช่นนั้นจะไว้หน้าเขาหรือไม่?
ในเวลานี้ พลังอำนาจป้ายหยกที่ได้รับมาจากเซียวเทียนเชวี่ยนั้นมีประโยชน์อย่างแท้จริง
…
ชั้นเจ็ดของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
โถงประดับอาภรณ์
วันนี้เหนียนอวิ๋นเฉียวมาถึงพร้อมกับหญิงสาวคนสนิท แต่ด้วยความสามารถของเขา เขาจึงได้เพียงนั่งลงยังที่นั่งปลายสุดโต๊ะ
เพราะเจ้าภาพงานเลี้ยงนี้เป็นถึงตัวตนอันทรงพลังที่สุดในหมู่ศิษย์สายในแห่งสำนักดาบชิงเหอ
เฉินจินหลง!
เฉินต้ากง บิดาของเขาเป็นหนึ่งในตัวตนอหังการแห่งมหานครอวิ๋นเหอ กลุ่มลำน้ำนิรันดร์ภายใต้คำสั่งของเขามีสมาชิกหลายพันคน ทั้งยังควบคุมธุรกิจขนส่งทางน้ำครึ่งหนึ่งในเขตปกครองอวิ๋นเหอ
เฉินต้ากงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ว่าฉินเหวินเยวียน กล่าวกันว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานตั้งแต่ยังเยาว์
เมื่อมีฉินเหวินเยวียนเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ กลุ่มลำน้ำนิรันดร์ภายใต้เฉินต้ากงก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งโดยธรรมชาติ
ในฐานะที่เฉินจินหลงเป็นบุตรชายของเฉินต้ากง ดังนั้นเหล่าทายาทตระกูลทั่วไปจึงย่อมต้องหวาดเกรงและพูดจาสุภาพอยู่สามส่วน
นอกจากเฉินจินหลงที่อยู่ที่นี่แล้ว หนุ่มสาวมากมายที่นั่งอยู่ที่นี่บางคนเป็นคนดังที่ผู้คนรู้จักกันดี
อย่างเหนียนอวิ๋นเฉียว หนึ่งในศิษย์สายนอกสำนัก แม้จะมาจากตระกูลเหนียน กระนั้นก็ไม่อาจเทียบเทียมกับเหยียนเฉิงหรงเมื่อพูดถึงสถานะตัวตน
อย่างหลี่โม่อวิ๋นจากตระกูลหลี่ ตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองกว่างหลิง หนึ่งในบุคคลทรงพลังในหมู่ศิษย์สายในของสำนัก หากพูดถึงการบ่มเพาะ แม้แต่เฉินจินหลงก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย
งานเลี้ยงครึกครื้นมาก ส่วนใหญ่เป็นเฉินจินหลงที่พูดคุยเสียงดัง ขณะที่คนอื่นหัวเราะดังกังวาน
แม้แต่ดวงตาของหญิงสาวในโถงยังมักหันจับจ้องไปที่เฉินจินหรงด้วยแววตาหวั่นไหว
ในที่สุด เหยียนเฉิงหรงก็คว้าโอกาสเป็นฝ่ายกล่าวบ้าง เขากระแอมก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าพบเจอผู้ใดระหว่างขึ้นมาที่นี่เมื่อครู่นี้?”
“ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์มีคนใหญ่โตเข้าออกทุกวัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ากำลังพูดถึงใคร อย่าลีลานักเลย พวกเรารอฟังอยู่”
เหนียนอวิ๋นเฉียวกล่าวยิ้ม
เขาสวมชุดสีน้ำเงิน ข้างแก้มตอบยาว รอบตาดำคล้ำ บ่งบอกสัญญาณความอ่อนแอบางประการ
“ใช่ รีบพูดมาเถอะ”
อวี๋เชี่ยนที่นั่งถัดจากเหนียนอวิ๋นเฉียวรบเร้าเช่นกัน
ใบหน้างามประณีต ผิวขาวบางดุจหิมะ ดวงตากลมโตหวานหยาดเยิ้ม ท่าทีดูน่ารัก
เมื่อตระหนักว่าทุกสายตาจับจ้องมอง เหยียนเฉิงหรงลอบพึงพอใจ คำตอบที่เฝ้ารอถูกกล่าวออก
“เป็นซูอี้และเฝิงเสี่ยวเฟิง สองพี่น้องเจ้าปัญหา”
ทันใดนั้น บรรยากาศอันครึกครื้นพลันเงียบสงัด ท่าทีของทุกคนแปรเปลี่ยนไป
แสงเย็นเยือกวาบผ่านดวงตาเหนียนอวิ๋นเฉียว
ใบหน้างามของอวี๋เชี่ยนแข็งค้างเล็กน้อย ใจบีบรัดน่าอึดอัด
หลี่โม่อวิ๋นราวกับมีสายฟ้าผ่ากลางใจ มือถือที่จอกกำแน่นในทันใด
ซูอี้!
ชายผู้นี้มาถึงมหานครอวิ๋นเหอแล้วหรือ??
เมื่อวานซืน เขาได้รับจดหลายลับจากหลี่เทียนหานผู้เป็นบิดา เนื้อความอธิบายรายละเอียดไว้ว่า หยวนลั่วซีคุณหนูตระกูลหยวนปฏิบัติต่อซูอี้ดั่งแขกผู้ทรงเกียรติภายในงานเลี้ยงของภัตตาคารรวมเซียน
ตอนท้ายของจดหมาย เขาเตือนหลี่โม่อวิ๋นอย่างเข้มงวดถึงที่สุด… ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ห้ามเป็นศัตรูกับซูอี้เด็ดขาด ในฐานะทายาทตระกูลหลี่ ตัวเขาห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว!
หลังจากอ่านจดหมาย หลี่โม่อวิ๋นหดหู่ใจจนแทบอาเจียนเป็นเลือด
ในคืนงานประลองประตูมังกร เขาวางแผนซุ่มโจมตีเพื่อลอบฆ่าซูอี้
ไหนเลยจะคาดคิด ซูอี้ได้รับอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองจนเลื่องลือไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำต้าฉาง
มากเสียจนเขาต้องล้มเลิกแผนการ และภายใต้คำสั่งของผู้เป็นบิดา เขาจึงถูกบังคับให้ออกจากเมืองกว่างหลิงในคืนนั้น
แล้วไม่กี่วันต่อมา ซูอี้ก็กลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของหยวนลั่วซี!
ข่าวนี้ทำให้หลี่โม่อวิ๋นแทบเสียสติ
หยวนลั่วซี!
ไข่มุกล้ำค่าแห่งตระกูลหยวน หนึ่งในสี่มหาอำนาจแห่งมหานครอวิ๋นเหอ ตัวตนอันสูงส่งของนาง ยังเหนือชั้นกว่ามากแม้เทียบกับทุกคนที่นี่รวมกัน!
วันนี้เป็นวันที่แปดเดือนสอง ซูอี้มาถึงมหานครอวิ๋นเหอแล้ว…
ในเวลานี้ หน้าอกหลี่โม่อวิ๋นบีบรัดแน่น ราวกับตกอยู่ในภวังค์ที่แลเห็นเงาปกคลุมผืนฟ้าและแสงอาทิตย์ ส่งผลให้จิตใจมืดมัวในบัดดล
ชายคนนี้จะเป็นศัตรูในชีวิตเขาใช่หรือไม่?
หลี่โม่อวิ๋นหายใจเข้าลึก ระงับความหงุดหงิดและความหดหู่ในหัวใจ
ในเวลานี้ ในฐานะเจ้าภาพงานเลี้ยง เฉินจินหลงอดหัวเราะไม่ได้ก่อนกล่าวถ้อยคำ
“คนหนึ่งเป็นคนพิการ คนหนึ่งเป็นขยะไร้การบ่มเพาะ แต่กลับต้องการจัดงานเลี้ยงในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์แห่งนี้? ฮ่า ๆ น่าขันสิ้นดี เกรงว่าแม้แต่ผ่านประตูหน้า พวกมันก็คงทำไม่ได้หรอก!”