บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 98 จิตใจสหายไร้สมดุล
ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามของเฉินจินหลง ก่อเกิดเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้องโถง
มีเพียงหลี่โม่อวิ๋นเท่านั้นที่ไม่อาจคิดเป็นเรื่องขบขัน
เป็นถึงแขกของหยวนลั่วซี เหตุใดจะเข้าประตูภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ไม่ได้?
อย่างไรก็ตาม… เขาเมินเฉยที่จะอธิบายสิ่งใด
ครั้งได้รับจดหมายจากหลี่เทียนหานผู้เป็นบิดา เขาก็ได้เรียนรู้บางสิ่งเช่นกัน
หลังจากที่ผู้อาวุโสสำนักดาบชิงเหอโจวฮวายชิว หนีเฮ่า และหนานอิ่งออกจากเมืองกว่างหลิง พวกเขาก็ไม่ได้หวนกลับมายังมหานครอวิ๋นเหอ
ข่าวคราวเรื่องซูอี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะและชนะงานประลองประตูมังกรไม่ได้ถูกส่งมาถึงสำนักดาบชิงเหอ
จนถึงตอนนี้ ไม่มีผู้ใดในสำนักดาบชิงเหอล่วงรู้ว่า ซูอี้ไม่ใช่ขยะไร้การบ่มเพาะอีกต่อไป!
“หากเป็นข้าเอง คงไม่ส่งข่าวกลับไป คนที่ถูกสำนักทอดทิ้งอย่างไร้ปรานีในอดีต ได้ฟื้นคืนการบ่มเพาะในอีกหนึ่งปีต่อมา หากทราบเรื่องราวนี้ ผู้อาวุโสใหญ่โตในสำนักจะรู้สึกอย่างไร?”
“เรียกได้ว่าสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ*[1]!”
หลี่โม่อวิ๋นลอบกล่าวในใจ ‘หนีเฮ่าและหนานอิ่ง แน่นอนว่าทั้งสองไม่มีวันทำสิ่งที่เพิ่มศักดิ์ศรีของผู้อื่นและทำลายความทะเยอทะยานของตนเอง’
ในเวลานี้ แก้มตอบยาวของเหนียนอวิ๋นเฉียวดูบูดบึ้ง เขาพ่นลมเย็นชาและกล่าวออก “ดูเหมือนว่าจะยังสั่งสอนเฝิงเสี่ยวเฟิงไม่เพียงพอ มันควรดีใจที่ไม่พบเจอข้าในคืนนี้ หาไม่แล้วข้าคงได้ถอดแขนมันออกด้วย!”
“ศิษย์พี่เหนียน อย่าไปพูดถึงเจ้าคนพิการนั่นให้รำคาญใจเลย” อวี๋เชี่ยนเอ่ยคำเบา คิ้วโก่งเผยความยุ่งยาก
“ข้าได้ยินจากสหายคนหนึ่งในเมืองกว่างหลิง กล่าวกันว่าไม่นานมานี้การบ่มเพาะของซูอี้ดูเหมือนจะฟื้นคืนแล้ว ทั้งยังได้รับรางวัลอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรของเมือง ไม่รู้เลยว่าจริงเท็จประการใด?” ชายหนุ่มกล่าวออกกะทันหัน
ทุกคนในโถงตะลึงงัน หันมองหลี่โม่อวิ๋นเป็นตาเดียว ทราบดีว่าเขามาจากเมืองกว่างหลิง
“นี่…”
หลี่โม่อวิ๋นเปลือกตากระตุก เขาส่ายศีรษะกล่าวตอบ “ข้าไม่ทราบเรื่องราว เพราะไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวช่วงนี้เลย จึงไม่อาจรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองกว่างหลิง”
เขาไม่ต้องการพูดถึงมัน
หากพูดไป ก็เหมือนยอมรับว่าซูอี้เก่งกาจ
“ลืมเสีย อย่าพูดถึงขยะนั่น ฉลองงานเลี้ยงต่อเถอะ” เฉินจินหลงโบกมือ
ทันทีที่พูด บุรุษสวมชุดสีเงินถือไหสุราผลักประตูเดินเข้ามา
ซุนชือ!!
ศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอกล่าวถ้อยคำพิศวงในทันใด “ตอนที่ข้าไปเอาสุราเมื่อครู่ ได้ยินเรื่องราวน่าสนใจ พวกเจ้าอยากรู้ไหม?”
“หืม? มีสิ่งใด?” เฉินจินหลงไถ่ถาม
ซุนชือกล่าวว่า “เมื่อครู่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมาด้านหน้าเป็นการส่วนตัว ทั้งยังนำผู้ดูแลทั้งแปดของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ออกมารับแขกกลุ่มหนึ่งที่หน้าประตู”
เฉินจินหลงประหลาดใจก่อนเอ่ยถาม “ใครกันจะมีอำนาจบาตรใหญ่ ทำให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมาต้อนรับด้วยตนเอง?”
ผู้อื่นต่างใคร่รู้เช่นกัน
“ว่ากันว่าเป็นกลุ่มหนุ่มสาวแปลกประหลาด”
ซุนชือกล่าว “ผู้นำกลุ่มสวมชุดสีเขียว อายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น ส่วนคนอื่นนั้นดูแปลกประหลาดยิ่ง”
“แปลกตรงไหน?”
เฉินจินหลงพูดอย่างหมดความอดทน “อย่าลีลานักเลย พูดออกมาเร็วเข้า”
ซุนชือกล่าวยิ้ม “คนหนึ่งพิการนั่งรถเข็น เด็กชายอีกคนสวมรองเท้าแตะฟาง มีโคลนเปรอะเปื้อนกางเกง และอีกคนเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก สวมชุดเก่าซอมซ่อ พวกเจ้าคิดว่าคนกลุ่มนี้แปลกไหมล่ะ?”
ทุกคนอดไม่ได้จะพยักหน้า นี่เป็นกลุ่มคนแปลกประหลาดอย่างแท้จริง
นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ คนจนจะมาที่นี่ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม นายหญิงชุ่ยอวิ๋นนำผู้ดูแลทั้งแปดออกมาต้อนรับด้วยตนเอง นี่ดูผิดวิสัยเกินไป
ใบหน้าเหยียนเฉิงหรงพลันแปรเปลี่ยน เหมือนว่าจะตระหนักถึงบางสิ่งได้ แต่เขาไม่อยากเชื่อ
“ศิษย์น้องเหยียน เจ้าเป็นอะไรไป?”
ทันใดนั้น หลี่โม่อวิ๋นแลเห็นความผิดปกติของเหยียนเฉิงหรง
“ไม่เป็นไร ข้าจะออกไปข้างนอกหน่อย”
เหยียนเฉิงหรงฝืนยิ้ม ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
ไม่นาน เขาพบเสี่ยวเอ้อคนหนึ่ง จึงเอ่ยถามคำเบาเกี่ยวกับกลุ่มคนที่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกไปต้อนรับ
กระทั่งเขาไถ่ถามจนกระจ่างจึงเดินกลับมา ยามเข้ามาในโถง ใบหน้าดูซีดเซียวราวคนป่วยไข้
ภาพแปลกตานี้ทำให้เฉินจินหลงขมวดคิ้ว กล่าวถ้อยคำไม่สบอารมณ์ “ศิษย์น้องเหยียน เป็นอะไรของเจ้า? หากรู้สึกไม่สบาย ก็กลับไปเสีย อย่าอยู่ทำลายความสุขของทุกคน!”
ทุกคนในห้องต่างเห็นท่าทีเหยียนเฉิงหรงที่ดูแปลกไป
เหยียนเฉิงหรงกระวนกระวายไม่อยู่สุข สายตากวาดมองฝูงชนและกล่าวอย่างขมขื่น “พี่เฉิน ไม่ใช่ว่าข้าไม่สบาย แต่เพิ่งมั่นใจถึงบางอย่าง และบางอย่างนี้เอง… ที่ทำข้าสับสนยิ่ง”
โดยไม่รอให้ถูกถาม เขาจึงกล่าวถ้อยสิ่งที่คิด “หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง กลุ่มคนที่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมาต้อนรับนั้น ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือกลุ่มของซูอี้ เฝิงเสี่ยวเฟิง และคนอื่น!”
ทั่วท้องห้องเงียบสงัดในทันใด จนแทบได้ยินเสียงเข็มตกพื้น
ความสับสนพาดผ่านใบหน้าทุกคน
หลี่โม่อวิ๋นหัวใจดิ่งฮวบและหายใจติดขัด
ชัดเจนแล้ว ซูอี้ชายผู้นี้ใกล้ชิดกับหยวนลั่วซี!!
อย่างไรก็ตาม แม้จะยืมสัมพันธ์จากหยวนลั่วซี มันก็ไม่ควรทำให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมารับหน้าอย่างยิ่งใหญ่ ยังมีความลับอื่นใดอีกงั้นหรือ?
ยิ่งครุ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ใจของหลี่โม่อวิ๋นก็ยิ่งบีบคั้น จนแทบอยากอาเจียนเป็นเลือด
“เพียงซูอี้และคนเหล่านั้น จะทำให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นออกมาต้อนรับได้อย่างไร?”
เฉินจินหลงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น
ก่อนหน้าเขาเพิ่งกล่าวถ้อยคำเย้ยหยัน หาว่าซูอี้และพวกคงไม่สามารถผ่านเข้าประตูภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ได้ด้วยซ้ำ
ใครจะคาดคิด ทันทีที่เหยียนเฉิงหรงบอกกล่าวเรื่องราวนี้ มันเปรียบเหมือนการตบหน้าเขาอย่างแรง!!
เหยียนเฉิงหรงอธิบายอย่างรีบเร่ง “เป็นเพราะข้าคิดหาเหตุผลไม่ได้เช่นกัน จึงทำข้าอารมณ์เสียเช่นนี้ แต่ข้ารับรองได้เลยว่ากลุ่มคนเหล่านั้นต้องเป็นพวกซูอี้แน่”
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าเจอพวกเขาที่หน้าประตู เฝิงเสี่ยวเฟิงพิการทั้งสองขานั่งรถเข็นไม้มา ข้าแลเห็นเต็มสองตา ไม่มีทางผิดพลาด!”
ในทันใด บรรยากาศงานเลี้ยงหม่นหมองลงต่อเนื่อง ขณะที่ทุกคนต่างประหลาดใจ
“เป็นเรื่องจริงหรือ เราจะไปดูเพื่อให้ทราบกระจ่างดีหรือไม่? หากเป็นพวกซูอี้จริง ครั้งหนึ่งทั้งสองก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เช่นนั้นทำไมจึงไม่ไปทักทายพวกเขาหน่อยเล่า?”
ใบหน้าเหนียนอวิ๋นเฉียวดูน่าเกลียด ดวงตาทั้งสองเย็นชายิ่ง
“พวกเขาอยู่ที่ไหน?” แววตาเฉินจินหลงฉายแสงวูบไหว
“ชั้นเก้า โถงธารคีรี” เหยียนเฉิงหรงกล่าวตอบรวดเร็ว
ทันทีที่กล่าวถ้อย ทุกคนในห้องเกิดท่าทีกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น
แม้จะเป็นตัวตนของเฉินจินหลง เขาก็สามารถจัดงานเลี้ยงบนชั้นเจ็ดได้เท่านั้น!
นี่ถือเป็นการปรนนิบัติพิเศษที่เห็นแก่หน้าเฉินต้ากงบิดาของเขาแล้ว
แต่ซูอี้และผู้อื่นที่พวกเขาดูหมิ่น กลับกระโดดขึ้นไปถึงชั้นเก้า มองเห็นแสงไฟจากบ้านเรือนหลายพันหลังบนชั้นสูงสุดของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ทั้งยังเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงและการปรนนิบัติชั้นยอด!
การเปรียบเทียบดังกล่าว ย่อมนำพาจิตใจเกิดความไม่สมดุล
“ไป ขึ้นไปดูโถงธารคีรี!”
เฉินจินหลงไม่อาจระงับความขุ่นเคืองในใจได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นและเดินออกไป
เห็นเช่นนั้น คนอื่นในห้องต่างลุกขึ้นตามไป
มีเพียงหลี่โม่อวิ๋นที่ยังคงนั่งนิ่งเฉย
“ศิษย์พี่หลี่ เหตุใดจึงไม่ลุกไปดูด้วยกัน?”
เฉินจินหลงหันกลับมามองหลี่โม่อวิ๋นพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ฟังคำแนะนำของข้า ที่นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ต้องมีเหตุผลบางประการที่ซูอี้จัดงานเลี้ยงที่ชั้นเก้าได้ เจ้าอย่าไปเลยดีกว่า” หลี่โม่อวิ๋นกล่าวอย่างเฉยเมย
“ศิษย์พี่หลี่ เราไปเพื่อเยี่ยมเยียนอดีตสหายร่วมสำนัก ไม่ได้ไปเพื่อสร้างปัญหา หากเจ้าไม่ไปก็ช่างปะไร!” เฉินจินหลงพ่นลมเย็นชาและจากไปพร้อมกับผู้อื่น
“โง่เขลา!” หลี่โม่อวิ๋นเยาะเย้ย
แต่อย่างไรเสีย เขาก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงที่ว่าซูอี้แข็งแกร่งขึ้น เขาคิดเพียงว่ามันเป็นแค่ความฝันและจะตื่นในไม่ช้า
“เอาเถอะ เรื่องราวนี้มันไม่แปลก เฉินจินหลงและคนอื่นยังไม่ทราบเรื่องการฟื้นตัวของซูอี้ แล้วจะคาดคิดได้อย่างไรว่าซูอี้เป็นแขกของคุณหนูตระกูลหยวน?”
“ในสายตาพวกเขา ซูอี้ยังคงเป็นเพียงขยะไร้การบ่มเพาะที่น่าเวทนา…” หลี่โม่อวิ๋นถอนหายใจ
ชั้นเก้า
โถงธารคีรี
ทันทีที่เฉินจินหลงและพรรคพวกมาถึง พวกเขาก็ถูกผู้ดูแลภัตตาคารที่ประจำอยู่นอกโถงหยุดไว้
“พวกท่านกำลังทำสิ่งใด?”
ผู้ดูแลเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม ทั้งยังมีประสบการณ์และสายตาโหดเหี้ยม
เมื่อเหลือบเห็นกลุ่มคน เขาจดจำตัวตนของเฉินจินหลงและนายน้อยคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้นถ้อยคำที่กล่าวออกมาจึงสุภาพ
“เรา…”
เฉินจินหลงพลันรู้สึกอึดอัด ผู้ดูแลส่วนตัวยืนประจำอยู่หน้าประตูคอยรับฟังคำสั่ง แม้แต่ตัวตนของผู้เป็นบิดา เกรงว่าก็ไม่อาจเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติเช่นนี้ได้!
เขาสูดหายใจเข้าลึก ปั้นยิ้มก่อนกล่าวว่า “เรามาเยี่ยมเยียนสหายร่วมสำนัก”
“ร่วมสำนัก?” ผู้ดูแลวัยกลางคนตกใจ
เฉินจินหลงระงับความคับข้องใจและกล่าวตอบ “ใช่ เราได้รับข่าวว่าสหายร่วมสำนักซูอี้และเฝิงเสี่ยวเฟิงกำลังจัดงานเลี้ยงในโถงธารคีรี ดังนั้นพวกเราจึงมาเยี่ยมเยียน”
“พวกท่านรอก่อน ข้าจะเข้าไปถาม แล้วจึงให้คำตอบภายหลัง ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับท่านผู้สูงศักดิ์ในโถงธารคีรีจะพยักหน้าตกลงหรือไม่” ผู้ดูแลวัยกลางคนกล่าว
เขาหันหลังกลับยืนหน้าประตูโถงธารคีรี จัดแจงเสื้อผ้าอย่างระมัดระวังและโค้งคำนับเล็กน้อย กระทั่งรอยยิ้มอันอบอุ่นและน่าเลื่อมใสปรากฏบนใบหน้า เขาจึงผลักประตูโถงธารคีรีเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า
หนึ่งในแปดผู้ดูแลแห่งภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ เขาสามารถเผชิญกับผู้มีอำนาจในเมืองโดยไม่ต้องถ่อมตนหรือสุภาพ ทั้งก้าวเดินหรือถอยหลังอย่างอิสระ
แต่ตอนนี้เขากลับดูนอบน้อมและระมัดระวังยิ่ง!
รับชมภาพนี้ในสายตา เฉินจินหลงและผู้อื่นเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งเคืองโกรธ ทั้งประหลาดใจ
ภายในโถงธารคีรี
ขณะดื่ม ซูอี้สั่งหวงเฉียนจวิน “หลังทานอาหารเย็น เจ้าไปหาซื้อที่ดินแห่งหนึ่ง ขอเพียงอย่างเดียว ต้องเงียบสงบ”
หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับครั้งแล้วครั้งเล่า พลางตบหน้าอกกล่าวหนักแน่น “พี่ซู เรื่องเล็กน้อยนี้ไว้ใจข้าเถอะ รับรองว่าจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”
“นี่คือเงินหนึ่งแสนตำลึง เจ้ารับไป” ซูอี้หยิบตั๋วเงินสิบฉบับจากจี้หยกสีดำและยื่นให้
“ขอรับ”
หวงเฉียนจวินหลักแหลมและไม่คิดปฏิเสธ เขาทราบดีว่านี่ไม่ใช่เงินของตน แต่เป็นเงินที่เขาต้องนำไปจัดการสิ่งต่าง ๆ แทนซูอี้…
เฝิงเสี่ยวเฟิงเบิกตาโพลงและเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ซูอี้ เจ้าร่ำรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
เฟิงเสี่ยวเหรินและอาเฟยต่างตกตะลึง เงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง?
สำหรับพวกเขา มันเป็นจำนวนเงินที่แทบจินตนาการไม่ได้
“เงินทองของนอกกาย มันไม่สำคัญกับข้าอีกต่อไป”
ซูอี้ไม่ได้กล่าวคำอธิบายสิ่งใด “อย่างไรก็ตาม หากมีสิ่งใดแก้ไขได้ด้วยเงิน ข้าก็ไม่เคยขาดแคลน”
ทันใดนั้นเขาจดจำสิ่งที่หยวนลั่วซีเคยกล่าวไว้ “โยนเงิน? ข้าก็ทำได้”
ขณะเดียวกัน ผู้ดูแลวัยกลางคนก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าประดับยิ้ม
เขาปิดประตูแผ่วเบา ก่อนหันกลับมาทักทายซูอี้อย่างเคารพ
“ขออภัยอย่างสูงที่รบกวนทุกท่าน นายน้อยเฉินจินหลงและพวกพ้องอ้างตนว่าเป็นสหายร่วมสำนักกับท่าน ทั้งยังมีเจตนาเพื่อเยี่ยมเยียน แต่หากท่านไม่ต้องการพบ ข้าจะบอกกล่าวให้พวกเขาจากไป”
เฉินจินหลง!
ซูอี้เลิกคิ้วสูง
เฝิงเสี่ยวเฟิงเอ่ยเสียงค่อย “ศิษย์พี่ซูอี้ เหนียนอวิ๋นเฉียว เหยียนเฉิงหรง และผู้อื่นในสำนักดาบชิงเหอต่างสนิทสนมกับชายผู้นี้มากที่สุด กล่าวอีกนัย พวกเขารวมกลุ่มกัน และเฉินจินหลงนี้เปรียบดังผู้นำกลุ่ม”
ซูอี้พยักหน้ารับ เขาหัวเราะอย่างฉับพลันและกล่าวออก “ข้ากำลังจะไปพบพวกเขาอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะมาถึงหน้าประตูด้วยตนเองก่อน”
เขามองผู้ดูแลวัยกลางคนและกล่าวตอบไป “ให้พวกเขาเข้ามา!”
[1] สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ อุปมาถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว มิอาจหวนคืน หรือ สิ่งที่กระทำ คำพูด ที่ทำไปแล้วยากจะแก้ไข