บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 989: อาจารย์!
ตอนที่ 989: อาจารย์!
…………………………………………………..
ตอนที่ 989: อาจารย์!
ทุกคนมองซูอี้ลากกู้จื้อหมิงหายไปไกลอย่างจนใจ
แม้ว่าการเผชิญหน้าครั้งก่อนจะจบลงในพริบตา แต่อำนาจต่อสู้ร้ายกาจของซูอี้ทำให้พวกเขา… ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิจากเก้ามหาแดนดินรู้สึกสิ้นหวังหวาดกลัว
ยามนี้ พวกเขายังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนตึงจากการรอดชีวิตจากภัยพิบัติ
“คนแซ่ซูผู้นี้เป็นใครกัน? น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
สีหน้าของซั่งกวนเจี๋ยซีดขาว
เขาคือศิษย์ของผีหมัว แต่ก็เป็นจักรพรรดิผู้หนึ่งด้วย และค่อนข้างมีชื่อเสียงในเก้ามหาแดนดิน
ทว่ายามนี้ ในใจของเขารู้สึกกลัวอย่างมิอาจเรียบเรียงเป็นวาจา
“ก่อนหน้านี้ เขาถามเราว่ารู้จักตัวตนของเขาหรือไม่ หรือตัวตนของคนแซ่ซูผู้นี้จะมีปริศนาอื่นอีก?”
หนีซวงพึมพำ
“ข้าจำได้แล้ว!”
ทันใดนั้น เฉิงเทียนคุนก็ตะโกน “พวกเจ้ายังจำภัยพิบัติประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้หรือไม่? หากไม่มีอุบัติเหตุใด มันก็น่าจะเกิดจากคนแซ่ซูผู้นี้แหละ! หาไม่ จู่ ๆ เขาจะเป็นจักรพรรดิได้เช่นไร?”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็อดอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไม่ได้
ก่อนหน้านี้ยามเกิดภัยพิบัติประหลาดขึ้นข้างนอก พวกเขาต่างเฝ้ามองอยู่ เพราะภัยพิบัตินี้ร้ายกาจเกินไปจนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และแค่บรรยากาศที่แผ่ออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังแล้ว
ดังนั้น พวกเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ ว่านั่นคงเป็นภัยพิบัติที่หาได้ยากแม้ในโลกบรรพกาล และอาจจะเป็นภัยพิบัติสานพันธะลึกล้ำที่เกิดขึ้นสัตว์ประหลาดเฒ่าสักคน!
ทว่า ไม่มีผู้ใดเลยที่คิดว่าภัยพิบัติประหลาดอันร้ายกาจนั้นจะเป็นภัยพิบัติของการก้าวสู่จักรพรรดิ!
“มิน่าเล่า พลังต่อสู้เขาจึงเหลือเชื่อนัก แค่รอดจากภัยพิบัติประหลาดเช่นนั้นได้ก็ผิดมนุษย์แล้ว!”
บางคนพึมพำกับตนเอง
…
เย่ลั่วขมวดคิ้วเมื่อเห็นยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั้งสี่คนปรากฏกายขึ้น
เขากล่าวอย่างสุขุม “พวกเจ้าก็คิดพัวพันกับถ้ำเสวียนจวินของข้าหรือ?”
“สหายเต๋า พวกเราล้วนทำตามคำสั่ง โปรดอย่าทำให้เรื่องยุ่งยากสำหรับเราเลย”
ฮั่วเหยากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ศิษย์น้อง เจ้าก็เห็นแล้วว่าหากเจ้าลงมือ ก็รังแต่จะทำร้ายตัวเอง ข้าบอกแล้วว่าเมื่อกลับสู่เก้ามหาแดนดิน ศิษย์พี่จะบอกทุกความจริงที่เจ้าต้องการ ไฉนจึงต้องอยากมาเผชิญหน้าข้าเสียเดี๋ยวนี้ด้วย?”
ชิ้ง!
เสียงดาบครวญดังลั่นกังวานก้อง
ดาบไม้สีดำทื่อ ๆ เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเย่ลั่ว
เขาใช้มือขวาถือดาบไม้อย่างนุ่มนวลด้วยสีหน้าเมินเฉย ปราณของเขาพลันเย็นเยียบดุร้าย อำนาจยิ่งใหญ่แผ่ซ่าน สายตาที่ถลึงตามองพวกฮั่วเหยาคมปลาบราวสายฟ้า “วันนี้ เว้นเสียแต่จะฆ่าข้าซะ จะไม่มีผู้ใดพ้นสายตาข้าไปได้!”
“ดื้อดึงนัก!!”
ฮั่วเหยาสบถอย่างเกรี้ยวกราด “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงปล่อยเจ้าไว้ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ก่อน? เพราะนิสัยดื้อดึงของเจ้านี่อย่างไร!”
สีหน้าของเย่ลั่วเฉยชามากกว่าเก่า และกระซิบเบา ๆ “ข้าแค่ไม่อยากทำให้อาจารย์ผิดหวังอีก”
เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ตั้งมั่นชัดเจน!
แววตาของฮั่วเหยาฉายจิตสังหาร “เจ้าทำข้าผิดหวังจริง ๆ!!”
เสียงเกรี้ยวกราดของเขายังคงไม่จางหาย ฮั่วเหยาก็ลงมือโจมตีแล้ว
ตู้ม!
อาภรณ์สะบัดพลิ้ว กฎเกณฑ์แห่งอัคคีทะยานสู่เวหา
ขณะเดียวกัน ยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั้งสี่ต่างมองหน้ากันและลงมืออย่างพร้อมเพรียง
ชายชราชุดดำใช้แส้นักพรตสีขาวหิมะฉายแสงดาวพร่างพราย
สตรีในชุดหลากสีสันฟาดแส้ที่อยู่ในมือออกไป
ชายร่างกำยำผู้มีผมและหนวดเครางอดุจง้าว ฟาดง้าวสีดำซึ่งห่อหุ้มด้วยอสนีบาตทมิฬด้วยแรงมหาศาล และส่งกระแสอัสนีโปรยปรายเยี่ยงน้ำตก
ส่วนชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีขาวราวหิมะ เขานำดาบเล่มหนาคมกริบออกมาหนึ่งเล่ม จากนั้นทะยานไปเบื้องหน้าและฟาดฟันลงอย่างแรง
ตู้ม!
ทันใดนั้น แสงสว่างก็ระเบิดขึ้นท่ามกลางถ้ำยักษ์ ปราณฆ่าฟันแผ่ขยายบ้าคลั่ง
เมื่อเผชิญหน้าการล้อมโจมตีเช่นนี้ สีหน้าของเย่ลั่วก็จริงจังขึ้น จากนั้นเขาก็ตวัดดาบไม้ในมือโดยไม่ลังเล
สงครามบังเกิด
เย่ลั่วนั้นแข็งแกร่ง!
วิชาดาบของเขาคมกริบงดงาม อ่อนช้อยดุจสายน้ำ รวดเร็วเยี่ยงอัสนี ทุกปราณดาบล้วนผนึกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ สว่างไสวราวตะวันแผดเผา
โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้พลังต่อสู้อย่างเต็มที่ วิชาดาบของเขาดั้นเมฆา เหนือชั้นกว่าผู้ใดในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
อันที่จริง ในเก้ามหาแดนดิน เย่ลั่วนั้นนับว่าเป็นจักรพรรดิในวิถีดาบผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ทำให้ตัวตนบรรพกาลผู้อยู่มานับปีไม่ถ้วนรู้สึกละอาย
ชายชราผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ใน ‘ศาลาแต้มทอง’ ว่าวิชาดาบของเย่ลั่วคืออำนาจสามส่วนของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน อาจารย์ของเขา!
นี่คือชื่อเสียงอันหาได้ยาก
เพราะถึงอย่างไร ทุกคนบนโลกก็ต่างทราบว่าวิชาดาบของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน อาจารย์ของเย่ลั่วนั้นร้ายกาจเพียงใด การมีอำนาจสามส่วนของเขากล่าวได้ว่าวิชาดาบของเย่ลั่วร้ายกาจมากแล้ว!
และในการประมือครั้งนี้ ยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั้งหลายต่างทุ่มสุดตัว พวกเขาล้วนสัมผัสถึงแรงกดดันอย่างไม่เคยสัมผัส สีหน้าล้วนจริงจังอย่างไม่อาจหาที่ใดได้
พวกเขาต่างแน่ใจมากว่าหากฮั่วเหยามิได้ช่วยถ่วงไว้ พวกเขาทั้งสี่คงได้ปลิดปลิวด้วยน้ำมือเย่ลั่วไปแล้ว!
“เร็วเข้า รีบสู้รีบตัดสิน! อย่าเสียเวลา!”
ฮั่วเหยาตะโกน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน
เขาโจมตีสุดแรงโดยไม่ยั้งมือ
นี่นำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลต่อเย่ลั่ว
เขาย่อมรู้รายละเอียดศิษย์พี่สามฮั่วเหยาของเขาดีที่สุด
ฮั่วเหยาเพิ่งพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิได้เมื่อห้าร้อยปีก่อน แต่เขาในยามนี้มีประสบการณ์อันโชกโชนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแล้ว
การพัฒนานี้มาจากการสั่งสมและอดทนตระเตรียมตลอดหกหมื่นปีของฮั่วเหยา เมื่อเขาพิสูจน์เต๋าสำเร็จ ศักยภาพและพลังทั้งหมดที่สะสมเก็บกดมาตลอดของเขาก็ระเบิดออก เดาได้เลยว่าร้ายกาจเพียงไร
ที่สำคัญกว่านั้นคือ หลังจากก้าวสู่วิถีแห่งจักรพรรดิ ยิ่งฝึกฝนนานยิ่งแข็งแกร่ง
มันพึ่งความมุมานะ ความกล้า พื้นหลัง และความเข้าใจกับการควบคุมกฎเกณฑ์มหาวิถี
ในด้านเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฮั่วเหยาเลิศเลอที่สุด!
แม้กระทั่งเย่ลั่วเองก็ยังต้องยอมรับว่าหากอาจารย์ไม่ได้ผนึกพลังของฮั่วเหยาไว้แต่แรก ด้วยรากฐานและความสามารถของฮั่วเหยา แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์น้องหญิงเล็ก เขาก็คงไม่ได้ด้อยไปกว่าทั้งสองนัก
แน่นอนว่าเย่ลั่วก็รู้ว่าหากไม่ใช่เพราะอาจารย์ผนึกพลังของฮั่วเหยาไว้แต่แรก อีกฝ่ายคงถูกความโกรธในใจครอบงำ ยากจะเป็นจักรพรรดิยิ่งกว่าเดิม!
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ฮั่วเหยาทุกวันนี้อาจมีภูมิหลังแย่กว่าคนอื่นสักหน่อย แต่พอเป็นเรื่องของพลังต่อสู้ เขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเย่ลั่วอีกต่อไป
และยามนี้ ฮั่วเหยาและสี่ยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำต่างพยายามเต็มที่เพื่อปราบเย่ลั่วในทันที
แม้จะไม่ถึงกับปราบราบคาบ สถานการณ์ก็เริ่มอันตรายขึ้นแล้ว
“ศิษย์น้อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าแพ้แน่ ไฉนจึงยังดื้อดึงต่อ?”
ฮั่วเหยาตะโกน
ในใจของเขาลอบกังวล เขาย่อมรู้ดีว่าเย่ลั่วรับมือยาก
“ข้าบอกแล้ว เว้นแต่จะฆ่าข้าเสีย เจ้าจะไม่มีวันหนีได้!”
ดวงตาของเย่ลั่วเย็นชาตั้งมั่น
ฮั่วเหยาโกรธจนหน้าเขียว จิตสังหารพลุ่งพล่าน “หากสมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์เหล่านั้นไม่ได้ถูกอาจารย์ชิงไป เจ้าคงโดนอัดน่วมกับพื้นไปแล้ว!”
หากไม่พูดก็แล้วไป ทว่าเมื่อพูดออกมา เย่ลั่วก็กล่าวเสียงแข็งด้วยสีหน้าเจือโทสะ “สมบัติของเจ้าอะไรกัน? สมบัติเหล่านั้นเป็นของอาจารย์ต่างหาก!”
“อีกอย่าง เนิ่นนานก่อนหน้านี้ เจ้าไม่เคยบอกข้าเลยว่าเป็นเจ้าที่ชิงสมบัติของอาจารย์ไป!”
กล่าวถึงจุดนี้ แววตาของเย่ลั่วก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เขาคิดเสมอว่านอกจากดาบเมฆาแดงและกระสวยพรางสวรรค์ที่อยู่กับฮั่วเหยา สมบัติชิ้นอื่นอย่างโคมไฟเก้ามังกรกับเกราะสวรรค์แสงเงินต่างถูกศิษย์น้องหญิงเล็กฮุบไว้ผู้เดียว
เขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่าในมือฮั่วเหยายังมีสมบัติของอาจารย์อยู่มากมาย!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตลอดมานี้ เขาเองที่ถูกหลอก!
เย่ลั่วจะไม่เคืองแค้นได้เช่นไร?
เขากระทั่งคิดว่าในมือของศิษย์พี่ใหญ่ผีหมัวก็ต้องมีสมบัติมากมายที่ขโมยมาจากอาจารย์ด้วย!
“เพ้อเจ้อ! สมบัติเหล่านี้ ศิษย์พี่และข้าชิงกลับมาจากนังสารเลวชิงถังต่างหาก!”
ฮั่วเหยาตะโกนลั่น
ขณะกล่าว เขาและอีกสี่คนก็เร่งการโจมตี พยายามปราบเย่ลั่วให้อยู่หมัด
คิ้วของเย่ลั่วขมวด
และยามนี้เอง เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“จริงหรือ?”
วาจานั้นแผ่วเบา ทว่ากลับรุนแรงดุจอสนีบาต ทำให้ฮั่วเหยาหน้าเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์
และแทบจะพร้อมกับเสียงนั้น…
ตู้ม!
ปราณดาบอันไร้ใดเปรียบทะยานสู่เวหา เจิดจ้าพรรณราย กลบนภาบังตะวัน
หนึ่งปราณดาบนี้ ศึกดุเดือดที่กำลังเกิดก็ชะงักงัน!
ฮั่วเหยาและกำลังเสริมทั้งสี่สัมผัสได้ถึงอันตราย จึงหลีกถอยไปไกลทันที
เย่ลั่วไม่ได้ถอยหนี
เพราะเขาสังเกตเห็นแล้วว่าดาบนี้ไม่ได้เล็งมาที่เขา
จากนั้น ทุกสายตาก็หันไปมองไกลออกไป
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างสูงร่างหนึ่งปรากฏขึ้น อาภรณ์เขียวดุจหยก ท่าทีเฉยเมยไม่ยึดติดกับผู้ใด
เขาคือซูอี้
มือของเขายังคงคว้าร่างที่หวาดกลัวของกู้จื้อหมิงไว้
“อาจารย์!”
หัวใจของฮั่วเหยาร่วงสู่ก้นเหว สีหน้าดูน่าเกลียดจนดูแทบไม่ได้
“อาจารย์!”
เย่ลั่วเผยความตื่นเต้นปรีดา
ส่วนสี่ตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ แต่ละคนต่างอึ้งราวถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าเปลี่ยนผัน
ร่างเวียนวัฏสงสารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!!
นับแต่ยามที่ฮั่วเหยาบาดเจ็บกลับมา พวกเขาก็ปักใจเชื่อในตัวตนของซูอี้แล้ว
ทว่าพวกเขาไม่คาดเลยว่ายามพบหน้าอีกครั้ง ซูอี้จะเป็นจักรพรรดิไปแล้ว!
อำนาจของปราณดาบเมื่อครู่ทำให้ตัวตนโบราณในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเหล่านี้สัมผัสถึงอันตรายใหญ่หลวง!
“เจ้าหลบไปยืนดูเถอะ”
ซูอี้เหลือบมองเย่ลั่ว
เย่ลั่วพยักหน้ารับคำสั่ง
เขาเองก็เห็นว่าอาจารย์ได้พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิแล้ว!
เมื่อเขาคิดถึงภัยพิบัติที่เหมือนสวรรค์สั่งตายก่อนหน้านี้ เขาก็อดนึกถึงอาจารย์ตนไม่ได้ และเย่ลั่วก็อดรู้สึกตะลึงจังงังระคนตื่นเต้นสุดขีดมิได้เช่นกัน
แน่นอน เขาก็รู้ว่าเพราะฮั่วเหยาก็รู้ถึงความประหลาดของภัยพิบัตินี้เช่นกัน อีกฝ่ายจึงอยากหนี และเลือกที่จะสู้กับเขาเพราะเหตุนี้
โชคดีที่อาจารย์มาแล้ว!
ไกลออกไป ฮั่วเหยาสูดหายใจลึก พยายามสงบตนเองลง “อาจารย์ ท่านคิดจะใช้อำนาจจักรพรรดิหมาด ๆ ของท่านมาประชันกับศิษย์ท่านจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้โยนกู้จื้อหมิงออกไป จากนั้นก็กล่าวกับฮั่วเหยาว่า “ไม่ต้องลองเชิง ข้าจะไม่ใช้สมบัติภายนอกใด ๆ มาฆ่าเจ้าหรอก”
วาจานั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งดูแคลน!
ยามนี้ ดวงตาของเย่ลั่วดูเหม่อลอยไปชั่วขณะ ราวหวนสู่อดีตและได้พบอาจารย์ที่ตนรู้จักและชื่นชมที่สุดอีกครั้ง
กิริยาของเขาดุจเซียน ท่าทีดุจเทพ!
……….