บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 99 ยืนนิ่งถือดาบ ท่าทีเมินเฉยเสมือนเทพเซียน
ขณะที่ผู้ดูแลวัยกลางคนกำลังจากไป
ซูอี้เหลือบมองสาวใช้ในโถงพลางบอกกล่าว “ให้คนของเจ้าออกไปด้วย ข้ามีเรื่องจะคุยกับสหายร่วมสำนักเป็นการส่วนตัว”
ผู้ดูแลวัยกลางคนโบกมือสั่ง ก่อนจะรีบออกไปพร้อมกับเหล่าสาวใช้
ซูอี้หันมองหวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวเฟิง และคนอื่น ก่อนกล่าวเตือนเสียงเบา “พวกเจ้าเพียงรับชม ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ในไม่ช้า เฉินจินหลงและกลุ่มของเขาก็เข้ามา
ผู้ดูแลวัยกลางคนปิดประตูลงเงียบงัน
“ซูอี้ เป็นเจ้าจริงด้วย!”
เมื่อเห็นซูอี้นั่งตำแหน่งด้านในสุด ดวงตาเฉินจินหลงเบิกกว้าง โชคลาภสุดท้ายในใจแตกสลายอย่างสมบูรณ์ ขณะใบหน้าแข็งค้าง
คนอื่นต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยวไม่แพ้กัน
“เฝิงเสี่ยวเฟิง!”
ใบหน้าเหนียนอวิ๋นเฉียวแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น ทั้งยังประหลาดใจ
ไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งที่เหยียนเฉิงหรงกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง!
นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ
ขยะคู่หนึ่งที่พวกเขาดูหมิ่นและเหยียดหยามมาโดยตลอด กลับมานั่งอยู่ในที่ที่พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเข้าร่วมได้!
ความแตกต่างนี้ยิ่งใหญ่นัก ใครจะยอมรับได้ในเวลาอันสั้น?
ร่างกายอวี๋เชี่ยนแข็งค้าง ใบหน้าอ่อนหวานและน่าทะนุถนอมเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ นางกล่าวถ้อยออกมาโดยไม่รู้ตัว “ศิษย์พี่เสี่ยวเฟิง ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่คนใดพาเจ้ามาที่นี่?”
ความขมขื่นและความเกลียดชังปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเฝิงเสี่ยวเฟิง เขากล่าวตอบอย่างเย็นชา “ข้าไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าแล้ว ทำไมข้าต้องตอบด้วย?”
ท่าทีอวี๋เชี่ยนชะงักงัน ก่อนลอบถอนหายใจ
คำพูดของนางพลันทำให้นึกถึงเฉินจินหลงและคนอื่น
เหลือบมองดูทั่ว แต่กลับพบว่าไม่มี ‘ผู้มีอำนาจ’ ในกลุ่มนี้เลย!
“ศิษย์น้องซูอี้ ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะนั่งทานอาหารที่นี่ได้”
เฉินจินหลงสะกดจิตใจให้มั่นคง พ่นลมหายใจด้วยอารมณ์และกล่าวยิ้ม “ว่าไปแล้ว เราไม่ได้เจอกันนานกว่าหนึ่งปี ครั้งเหยียนเฉิงหรงบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้ายังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง”
เหยียนเฉิงหรงไอแห้งก่อนกล่าวว่า “ซูอี้ เจ้าไม่เชิญข้านั่งลงหรือ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นวิธีตอบรับแขกตามมารยาทหรือไร”
หวงเฉียนจวินกล่าวถ้อยคำเยาะเย้ย “สหายน้อย เจ้าต้องการให้ข้าเตือนความจำถึงสิ่งที่เจ้ากล่าวไว้ที่หน้าประตูภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์หรือไม่?”
เหยียนเฉิงหรงพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
เฉินจินหลงรู้สึกขุ่นเคืองในใจ ทว่ายังคงยิ้มกล่าว “นี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่าพูดถึงมันเลย ข้ามาที่นี่เพียงแค่ต้องการพบเจอซูอี้และเฝิงเสี่ยวเฟิง ไม่ได้วางแผนจะอยู่นานแต่อย่างใด”
ซูอี้ยังคงนั่งนิ่งที่เดิม ขณะกำลังเล่นกับจอกหยกแกะสลักในมือ ท่าทีเฉยเมย ดวงตาเผยความไม่แยแส ทั้งยังไม่กล่าวคำใดเลย
แต่ท่าทางหยิ่งผยองนี้ ทำให้เฉินจินหลงและผู้อื่นเกิดความเคืองโกรธภายในใจ
เป็นพวกเขาที่มาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองก่อน แต่ซูอี้กลับไม่เผยท่าทีใด ซึ่งเป็นการดูหมิ่นกันเกินไป!
หากไม่ใช่เพราะความแปลกประหลาดของเหตุการณ์ค่ำคืนนี้ พวกเขาคงระเบิดโทสะไปแล้ว
เฉินจินหลงระงับความโกรธในใจและฝืนยิ้ม “ในเมื่อศิษย์น้องซูอี้ไม่ต้อนรับ พวกเราก็จะจากไป”
เขาพลันรู้สึกเสียใจ หากรู้ก่อนหน้า เขาควรเชื่อฟังคำของหลี่โม่อวิ๋นและไม่ผลีผลามบุกมา
คนอื่นเองต่างก็ไม่สบายใจและไม่ต้องการอยู่ที่นี่ต่อ
“หึ ทะนงตัวอะไรนักหนา ก็แค่ได้นั่งอยู่ที่นี่ เจ้ามันก็แค่ขยะสูญเสียการบ่มเพาะและไม่อาจฝึกฝนได้อีกตลอดชีวิต!” เหยียนเฉิงหรงอดไม่ได้พึมพำออกมา
เขาหันหลังกลับและกำลังเดินจากไปพร้อมกับพวกเฉินจินหลง
ซูอี้พลันกล่าวอย่างเฉยเมย “คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นอะไร?”
เฉินจินหลงหันหลังกลับ ถ้อยคำของซูอี้เปรียบดั่งสายฟ้า เขาจึงกล่าวตอบอย่างขุ่นมัว “ซูอี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
คนอื่นต่างรู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเฉินจินหลงกำลังจะระงับความโกรธไม่ได้ พวกเขาจึงหยุดเดินและหันกลับมามองซูอี้ด้วยท่าทีเคืองโกรธเช่นกัน
“ซูอี้ เหยียนเฉิงหรงพูดผิดตรงไหน เจ้าสูญเสียการบ่มเพาะ ทำไมจึงสามารถนั่งอยู่บนชั้นเก้า? ท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์!”
หญิงสาวผู้มีเสน่ห์ยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “อีกอย่าง เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา เพราะนี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์! แม้แต่คนใหญ่โตก็ไม่กล้าสร้างปัญหาที่นี่ได้!”
ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้กล่าวออก เฉินจินหลงและคนอื่นต่างเหิมเกริมอยู่ในใจ
ครั้งเห็นว่ามีคนไม่มากในงานเลี้ยง มันทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจอย่างไม่อาจอธิบายได้
ในเวลานี้ พวกเขาถูกถ้อยคำของหญิงสาวผู้มีเสน่ห์ย้ำเตือนว่า ท้ายที่สุดคนที่พวกเขาเผชิญอยู่ก็เป็นแค่ขยะ ความคิดของทุกคนจึงแปรเปลี่ยนเป็นเงียบงัน
ก่อนหน้า พวกเขาไม่กล้าผลีผลามเอ่ยวาจาวุ่นวาย แต่ตอนนี้ กลับเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ ราวกับเพิ่งได้รับความรู้สึกเหนือกว่ากลับมาในที่สุด
ผู้บ่มเพาะ จะเสียเปรียบขยะได้อย่างไร?
เหนียนอวิ๋นเฉียวเยาะเย้ย หันมองเฝิงเสี่ยวเฟิงด้วยสายตาเกลียดชัง ถ้อยคำเหยียดหยามกล่าวออก
“ทุกคนดูนั่น หากศิษย์น้องเฝิงของเรากอดขาผู้มีอำนาจจริง เหตุใดเสื้อผ้าที่สวมใส่จึงทรุดโทรมนัก?”
“แล้วดูนั่น รถเข็นไม้เก่าคร่ำคร่าเต็มไปด้วยดินโคลน ภาพจำชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยานคนนั้นไปอยู่ที่ใดเสีย?”
กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาอดไม่ได้จะหัวเราะเสียงดัง
คนอื่นที่ได้ยินตกใจในคราแรก ดวงตาพวกเขาฉายแววประหลาดใจในทันใด
ใช่แล้ว หากซูอี้และคนอื่นในโถงมีอำนาจใหญ่โต แล้วทำไมเฝิงเสี่ยวเฟิงจึงสวมเสื้อผ้าเก่าชำรุดขนาดนี้ รูปลักษณ์เขาไม่ต่างจากขอทานข้างถนนเลยมิใช่หรือ?
นอกจากนี้ไม่ได้มีแค่เฝิงเสี่ยวเฟิง เด็กชายด้านข้างก็มีใบหน้าซีดเหลือง ร่างกายผอมบาง ดวงตาพร่ามัวด้วยความประหม่า ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าขาของเขาเปื้อนโคลน!
การค้นพบนี้คลายความสงสัยของเฉินจินหลงไปมาก ดวงตาทั้งสองเผยความขบขัน พอใจ และตื่นเต้น
“เจ้าหมายถึง เมื่อครู่เราเกือบโดนขยะสองคนนี้หลอกลวงงั้นหรือ?” ใครบางคนกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง
เหยียนเฉิงหรงกล่าวด้วยเจตนามุ่งร้าย “ไม่ พวกมันเป็นขยะไม่ผิดเพี้ยน แต่มันก็เป็นความจริงว่าที่นี่คือชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ดังนั้นคำถามคือทำไมพวกมันถึงปรากฏตัวที่นี่ได้?”
เฉินจินหลงกล่าวออก “ซูอี้ เจ้าต้องการให้คำอธิบายเราหรือไม่?”
ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันและสายตาดูถูก เขาเพียงรู้สึกว่าตนเองเก่งกล้ากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งความกังวลและหวาดเกรงก่อนหน้าหายไปสิ้น
ซูอี้ยังคงเฉยเมย เพียงรินสุราลงจอกหยกและกระดกจนหมด ก่อนลุกขึ้นเดินตรงไปหาเฉินจินหลง
ดวงตาของเขาลุ่มลึกและไม่สะทกสะท้าน
แต่เมื่อเห็นซูอี้เดินตรงมา เฉินจินหลงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งยังสับสนว่าซูอี้คิดทำสิ่งใด
ครั้งสบตากับดวงตาไร้อารมณ์ของซูอี้ ความเย็นเยือกแผ่ลงไปถึงหัวใจ กระทั่งขนทั่วร่างกายลุกตั้งชูชัน
ขณะนั้น ดูเหมือนเขาเพิ่งจะตระหนักถึงอันตรายร้ายแรงที่กำลังคืบคลานเข้ามา ด้วยสัญชาตญาณ เขาชักดาบออกจากฝักชี้ตรงไปที่ซูอี้และกล่าวถ้อยคำเคร่งขรึม
“หยุด…!”
แต่ก่อนจะกล่าวจบ เขาเห็นนิ้วชี้ของซูอี้ดีดปลายดาบของตนเองแผ่วเบา
เคร้ง!
ดาบยาวแตกออกเป็นเสี่ยงง่ายดายราวกับชามกระเบื้อง พร้อมชิ้นส่วนดาบกระเด็นออกไปทั่วทุกทิศ!
ข้อมือของเฉินจินหลงที่ถือดาบหักพับ มันถูกหักด้วยแรงของการดีดที่ดูคล้ายธรรมดา!
“เจ้า…”
เฉินจินหลงคำรามด้วยความเจ็บปวด แต่ขณะที่กำลังจะถอยหนี มือขวาของซูอี้ก็กดลงบนไหล่ของเขาแผ่วเบา
ตูม!
เสมือนมีทั้งขุนเขากดทับลงมา เข่าของเฉินจินหลงอ่อนฮวบและทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้นพรมสีแดงเกิดเสียงสั่นสะเทือน
ดาบหัก!
ข้อมือหัก!
ถูกกดทับจนคุกเข่า!
ทั้งหมดเกิดขึ้นและจบลงในพริบตา
ทั่วห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัด
เหนียนอวิ๋นเฉียว เหยียนเฉิงหรง และทุกคนต่างแข็งค้างตกใจ
เฉินจินหลงเป็นศิษย์สายในสำนักดาบชิงเหอ แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ด้วยระดับการบ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตขั้นที่สี่ ‘ขัดเกลากระดูก’ เขาจึงอยู่ห่างจากขอบเขตรวบรวมลมปราณเพียงขั้นเดียวเท่านั้น!
แต่ตอนนี้เขาเปรียบเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ถูกซูอี้จัดการอย่างง่ายดาย!
ใครบ้างจะไม่แปลกใจกับสิ่งนี้?
เฝิงเสี่ยวเฟิงอดไม่ได้จะสูดหายใจเข้าลึก เขาเพิ่งได้เห็นพลังที่ฟื้นตัวของซูอี้ในวันนี้
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า แม้แต่ศิษย์สายในสำนักฝีมือดีที่สุดอย่างเฉินจินหลงจะยังต้านทานไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้า!
ดวงตาลุ่มลึกและใสดุจผลึกของเฝิงเสี่ยวเหรินเบิกกว้าง ขณะจ้องมองร่างสูงของซูอี้ด้วยความชื่นชมและหลงใหล
มีเพียงหวงเฉียนจวินเท่านั้นที่ยิ้มเยาะ ในฐานะผู้ติดตามที่ใกล้ชิดซูอี้ที่สุด เขาย่อมเข้าใจมากกว่าคนอื่น
ในความเห็นเขา ด้วยวีรกรรมอันเลวทรามที่พวกคนเหล่านี้เคยทำไว้ วันนี้พวกมันย่อมชะตาขาดแน่นอน
เมื่อเห็นเฉินจินหลงพยายามลุกขึ้น ซูอี้เพียงเหลือบมองหางตาและเอ่ยคำ “หากกล้าลุกขึ้นมา ข้าจะบั่นหัวเจ้าทันที”
ถ้อยคำเพียงแผ่วเบา แต่กลับแฝงไปด้วยจิตสังหารอันเย็นเยือก ทำให้เฉินจินหลงแข็งค้างด้วยความหนาวเหน็บเย็นจับใจ
“ซูอี้ นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ เจ้ากล้าดีอย่างไร มาสร้างปัญหาที่นี่ ไม่กลัวตายงั้นรึ!?”
เหยียนเฉิงหรงตะโกนดัง ท่าทีของทุกคนแปรเปลี่ยนไปมาก
เวลานี้ใครบ้างจะไม่เข้าใจ เรื่องราวของซูอี้ที่ถูกมองว่าเป็นขยะแปรเปลี่ยนไปแล้ว เขาได้ฟื้นคืนการบ่มเพาะและกลายเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามยิ่ง!
ความจริงเรื่องนี้เหมือนกระแทกศีรษะพวกเขาอย่างแรง ทำให้ยากที่จะยอมรับชั่วขณะหนึ่ง
เพียะ เพียะ เพียะ!
ก่อนที่เหยียนเฉิงหรงจะกล่าวสิ่งใดต่อ เขาถูกตบหน้าอย่างแรงจุดเดิมถึงสามครั้ง กระทั่งทรุดลงนั่งบนพื้น แก้มซ้ายยุบและแดงก่ำ เลือดไหลรินออกจากจมูกและปาก พร้อมส่งเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือด
ขณะที่ปากคิดเอ่ยคำออก คมดาบก็แตะลงบนคอแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองซูอี้ที่กำลังถือดาบ แลเห็นเพียงดวงตาไม่แยแส “หากเจ้าไม่กลัวตาย เช่นนั้นจงเอ่ยปากอีกสักคำ”
เหยียนเฉิงหรงร่างกายสั่นสะท้านพลางปิดปากแน่น
“ป…ไป ไปเรียกคนมา!”
เหนียนอวิ๋นเฉียวตะโกนเสียงสั่น เท้ายกขึ้นเพื่อถอยหนี
“ข้าอนุญาตให้เจ้าไปแล้วหรือ?” ด้วยเสียงอันเย็นชา ดาบสุดแดนดินในมือซูอี้ฟาดฟันออกไปในทันใด
ฉัวะ! ฉัวะ!
เข่าเหนียนอวิ๋นเฉียวเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนต้องทรุดตัวลงพื้น ผิวหนังหุ้มเข่าถูกตัดออกลึกถึงกระดูก สายโลหิตไหลทะลักทั่วทุกหนแห่ง
“อ๊าก!”
อวี๋เชี่ยนที่ติดตามเหนียนอวิ๋นเฉียวมาที่นี่ตกใจมากจนหน้าซีด นางกรีดร้องดังและยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยร่างกายแข็งค้าง ไม่กล้าขยับตัวอีก
รับชมภาพเช่นนี้ คนอื่นต่างก็ไม่กล้าขยับตัวอีกต่อไป ใบหน้าซีดเซียวไร้สีด้วยความตกใจ
“ซูอี้ เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเจ้า เหตุใดถึงทำกับเราแบบนี้?”
หญิงสาวผู้มีเสน่ห์คนหนึ่งกล่าวถ้อยขณะร่างกายสั่นเทา
นางเป็นหญิงสาวที่เยาะเย้ยเขาก่อนหน้า โดยบอกว่าที่นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ แม้ซูอี้จะกอดขาใครเข้ามา เขาก็ไม่กล้าสร้างปัญหาในที่แห่งนี้
แต่ตอนนี้ นางหวาดกลัวจนหัวใจแทบแตกสลาย ดวงตาเปี่ยมล้มด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง?”
ซูอี้กล่าวเฉยเมย “เจ้าต้องจ่ายราคาสำหรับวาจาที่เจ้าเพิ่งเอ่ย”
ดาบสุดแดนดินในมือถูกยกขึ้น หันส่วนใบดาบซึ่งเปรียบเหมือนแส้เหล็กฟาดทุบลงบนใบหน้าหญิงสาวผู้นั้นอย่างดุเดือด
เปรี้ยง!
โหนกแก้มหญิงสาวถูกฟาดแตกพร้อมฟันหลุดร่วง นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มตัวลงพื้นอย่างแรงขณะใบหน้าอาบเลือด ความเจ็บปวดนั้นมากเสียจนไม่สามารถลุกขึ้นได้
หวงเฉียนจวินในระยะไกลอดไม่ได้จะสูดหายใจลึก พี่ซูโหดเหี้ยมนัก! ไม่แม้แต่จะเห็นใจละเว้นหญิงสาวหน้าตาดี!
“ซูอี้ เจ้าต้องการอะไรกันแน่!?”
เฉินจินหลงที่กำลังคุกเข่าบนพื้นคำรามดัง ความแค้นเคืองปรากฏบนใบหน้า
เหลือบมองเหยียนเฉิงหรง เหนียนอวิ๋นเฉียว และคนอื่นล้วนขุ่นเคือง
ภายในโถงธารคีรี กลิ่นคาวเลือดลอยอวลชวนคลื่นเหียน จนผู้คนแทบหายใจไม่ออก
ทุกสายตาจับจ้องไปยังซูอี้เพียงผู้เดียว
เสื้อคลุมของชายหนุ่มเขียวดั่งหยก ขณะยืนนิ่งถือดาบ
ท่าทีเมินเฉยเสมือนเทพเซียน!!