บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 991: อ้อนวอน
ตอนที่ 991: อ้อนวอน
…………………………………………………..
ตอนที่ 991: อ้อนวอน
ตัวตนทั้งสี่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำลงมือด้วยกัน และเย่ลั่วก็อดแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้
ในขณะที่เขากำลังจะลงมือนั้นเอง น้ำเสียงเฉยเมยของซูอี้ก็ดังขึ้น “อย่าเข้ามาสอด”
ไม่นานหลังจากที่เขาเข้ามาในพิภพยมราชฝังวิถี เขาก็เข้ามายังถ้ำสวรรค์หกวิถี และพบชายชราตาบอดถูกขังอยู่พร้อมถูกทรมานสารพัด
และยังถูกยอดฝีมือทั้งสี่นี้ล้อมโจมตี
ยามนั้น ซูอี้สั่งสมจิตสังหารไว้ในใจ และตัดสินใจส่งศัตรูเหล่านี้สู่โลกหน้าด้วยมือตน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เย่ลั่วจะเข้ามายุ่งได้เช่นไร?
“ขอรับ!”
จากนั้นเย่ลั่วก็ถอยกลับไปเงียบ ๆ
ยอดฝีมือทั้งสี่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำล้วนถอนหายใจโล่งอก
เมื่อพวกเขาเริ่มลงมือ พวกเขาก็กังวลเช่นกันว่าเย่ลั่วอาจจะสังหารพวกเขาทันที
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าซูอี้จะออกปากห้ามไว้!
ไม่ว่าซูอี้จะไร้ความกลัวหรือมั่นใจเกินไปก็ตามที สำหรับยอดฝีมือทั้งสี่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแล้ว นี่คือสถานการณ์อันปลอดภัยที่สุดในการร่วมมือกับฮั่วเหยา
“ฆ่า!”
พวกเขาประสานการโจมตีไปยังซูอี้จากต่างทิศทาง
ตู้ม!
ชายชราชุดดำตวัดแส้นักพรตในมือขึ้นลง ส่งประกายแสงดาราโจมตีซูอี้จากเบื้องหลัง
ซูอี้ไม่ได้หันไปมอง เขาโบกแขนเสื้อราวมีตาหลัง
ปราณดาบเจิดจ้าสายหนึ่งทะยานออก ทำลายแสงดาวบนอากาศได้อย่างแสนง่าย ทำให้ร่างของชายชราชุดดำโซเซแทบร่วงทรุดลงพื้น อึดอัดเสียจนเกือบกระอักเลือด
แทบจะในยามเดียวกัน สตรีในอาภรณ์หลากสีสัน ชายในชุดหนังงูและชายหนุ่มผมขาวเองก็ลงมือโจมตี ต่างคนต่างทุ่มสุดตัวอย่างบ้าคลั่งสิ้นหวัง
ในฐานะตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ พวกเขาล้วนผ่านศึกนองเลือดเล็กใหญ่มามากมาย และย่อมรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้อันตรายเพียงไร
ฮั่วเหยาฉวยโอกาสนี้โจมตีสุดตัวเช่นกัน
ศึกระเบิดขึ้นโดยสมบูรณ์
ซูอี้รับมือการต่อสู้ห้ารุมหนึ่งนี้ด้วยมือเปล่า ไร้ความคิดจะใช้สมบัติโดยสิ้นเชิง
ทว่าพลังในกายของเขากลับดุร้ายทรงพลังขึ้นทุกขณะ ภาวะดาบรอบกายของเขาเจิดจ้าราวเทพเซียนแผลงฤทธิ์
และยามนี้เองที่เหล่าคู่ต่อสู้ต่างสัมผัสถึงความน่ากลัวของซูอี้!
การต่อสู้กับเขาเหมือนกับต่อสู้กับขุนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจสั่นคลอน ไร้กำลังต่อกร!
การต่อสู้เพิ่งเริ่มได้ไม่ถึงเก้าชั่วดีดนิ้ว เสียงกรีดร้องลั่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
เสียงนั้นเป็นของชายหนุ่มผมขาว ดาบเล่มหนาในมือของเขาถูกฟันขาดสองท่อน ปราณดาบไร้ใดเทียบทะลวงเป็นรูทะลักโลหิต
จากนั้น ร่างของเขาก็ระเบิดเปรี้ยงสูญสลาย!
แม้เขาจะถูกล้อมโจมตี แต่ซูอี้ก็ไม่เพลี้ยงพล้ำ และยังคงทำลายการประสานโจมตีของศัตรูทั้งหลาย อีกทั้งยังฉวยโอกาสสังหารคู่ต่อสู้ไปคนหนึ่งด้วย!
“ลู่หูผู้นี้ก็เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจากคีรีดาบเก้าดารา หลังจากพิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิ เขาก็ทิ้งดาบและสร้างวิชาดาบขึ้น เป็นที่รู้จักในนามนักดาบอันดับหนึ่งแห่งคีรีดาบเก้าดารา”
เย่ลั่วลอบกล่าว “ทว่ากลับไร้กำลังในมืออาจารย์”
ความตายของชายหนุ่มผมขาวลู่หูสะเทือนใจคู่ต่อสู้คนอื่น แต่ละคนล้วนเปลี่ยนสีหน้าอย่างมหันต์ และการโจมตีก็ดุดันขึ้นทุกที
โดยเฉพาะชายชราชุดดำ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี เขาก็ไม่ลังเลจะใช้เคล็ดวิชาต้องห้าม
“ไป!”
เสียงคำรามจากปากของเขาดุจเทพ โลหิตพลุ่งพล่านสู่นภา แปรเปลี่ยนเป็นเทพมารสามเศียรหกกร
เคล็ดวิชาต้องห้ามแห่งบรรพวิถีพยัคฆ์มังกร… โทสะเทวมาร!
ลือกันว่าผู้ใช้วิชานี้จะต้องสังเวยเลือดและปราณของตน ต่อให้รอดชีวิตไปได้ ร่างวิถีของคนผู้นั้นก็จะพังทลาย ทำได้เพียงก่อร่างวิถีใหม่เท่านั้น
ตู้ม!
ร่างของเทพมารสูงร้อยจั้งย่างสามขุมเข้ามาหาซูอี้ บรรยากาศน่าหวาดหวั่นดั้นฟ้า แม้แต่เย่ลั่วก็ยังอดตกใจในอำนาจเช่นนี้ไม่ได้
เมื่อถามตนเองดู หากเขาเผชิญเคล็ดวิชาต้องห้ามเช่นนี้ในยามเผชิญหน้าศัตรูเมื่อครู่ เกรงว่าเขาคงทำได้เพียงหลบเลี่ยง
“กำราบ!”
ทว่าเขาเห็นว่าซูอี้พลันยื่นมือขวา ห้านิ้วประทับตราทะยานไปบนอากาศ
บนเวหาพลันบังเกิดดาราสีครามเขียวสามสิบหกดวง สร้างเป็นหมู่ดาวประหลาดตระการตา จากนั้นก็หมุนวนบนฟ้า
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็พบว่ามันดูเหมือนวังวนในจักรวาลพร่างดาว
ศาสตร์เทวะหลอมจักรวาล!
อำนาจเหนือธรรมชาติอันแข็งแกร่งของขุมกำลังเต๋าอันดับหนึ่งในเก้ามหาแดนดิน แดนลี้ลับขั้นเก้า ถูกประเมินโดยศาลาแต้มทองแห่งเก้ามหาแดนดินว่าเป็น ‘อำนาจวิเศษสยบเทพมารอันดับเก้า’!
ในอดีต เนื่องจากการฝึกฝนไม่สูงพอ ซูอี้จึงไม่อาจใช้เคล็ดวิชานี้ได้เลย
ทว่ายามนี้เมื่อเขาก้าวสู่วิถีลึกล้ำ วิถีเต๋าของเขาจึงถูกแปรร่างไปเป็นพลังมหาวิถีลึกล้ำ
และเหตุผลที่ใช้เคล็ดวิชานี้ ก็เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อปราบ ‘โทสะเทวมาร’ ของบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกรนั่นเอง!
จะว่าไปแล้ว ผู้สร้าง ‘ศาสตร์เทวะหลอมจักรวาล’ นี้ไม่ลังเลที่จะใช้เวลาเกือบหมื่นปีในการครุ่นคิดสร้างเคล็ดวิชานี้ขึ้นมาปราบ ‘โทสะเทวมาร’ เลย
ตู้ม!
หมู่ดาราซึ่งดูเหมือนหลุมดำท่ามกลางจักรวาลหมุนคว้าง ทำให้พื้นที่รอบข้างพังทลายลง ภาพหลอนของเทพมารที่พุ่งเข้าโจมตีราวถูกจักรปั่นทำลาย ร่างของพวกมันทยอยพังทลาย ก่อนจะสูญสิ้นราบคาบ
ท่ามกลางพิรุณแสง ชายชราชุดดำกระอักเลือดด้วยสีหน้าซีดขาว “ที่แท้ก็เป็นศาสตร์เทวะหลอมจักรวาล!”
เสียงยังไม่ทันเลือนหาย ร่างของชายชราชุดดำก็สลายเป็นเสี่ยงราวท่อนไม้ผุ วิญญาณของเขาถูกปราณดาบสลายในพิรุณแสง
อีกหนึ่งตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำถูกสังหาร!
“นักพรตสุ่ยหรงจะไม่มีทางตายตาหลับ”
ดวงตาของเย่ลั่วดูพิกล
ในบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกร สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือ ‘ศาสตร์เทวะหลอมจักรวาล’
หากไม่ใช่เพราะพ่ายต่อแดนลี้ลับขั้นเก้า พวกนักพรตเฒ่าในบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกรคงทำลาย ‘ศาสตร์เทวะหลอมจักรวาล’ ไปนานแล้ว
หากถูกกดดันจากเคล็ดวิชานี้ เคล็ดวิชาต้องห้ามอันแข็งแกร่งที่สุดของบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกร ‘โทสะเทวมาร’ ก็กลายเป็นเครื่องประดับไปอย่างสมบูรณ์!
ตู้ม!
ในขณะที่เย่ลั่วทอดถอนใจอยู่นั้นเอง เสียงระเบิดเลือนลั่นก็ดังขึ้น
ในสนามรบ ง้าวสีดำของชายในชุดหนังงูหักเป็นเสี่ยง ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยปราณดาบเจิดจ้าไร้ใดเทียบ สับร่างของเขาเป็นเศษเลือดเนื้อโดยพลัน
หมอกโลหิตกระเซ็นสาด ย้อมนภาแดงฉาน
ยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำตายอนาถอีกหนึ่งคน!
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ชายชราชุดดำเพิ่งตาย แต่ชายในชุดหนังสัตว์ก็ถูกซูอี้สังหารในพริบตาเสียแล้ว!
ฉากการนองเลือดนี้ปลุกเร้าให้สตรีในชุดหลากสีกรีดร้องอย่างหวาดกลัว ร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงหลากสีทะยานสู่วังวนที่อยู่ไกลออกไป
วิชาโลหิตมารทลายจำกัด!
เคล็ดวิชาของสำนักอสูรดั้นเมฆา เมื่อถูกใช้จะแตกแขนงนับร้อยพัน ทำให้ผู้ต่อกรปัดป้องได้ยาก
ดวงตาลึกล้ำของซูอี้ฉายประกายเหลือบเงิน ราวกับมีดวงจันทร์ลอยกระจ่างในดวงตาของเขา
เขามองเห็นความผิดพลาดในพริบตา ทะลวงภาพหลอน พบตัวสตรีในชุดกระโปรงหลากสี
วูบ!
แทบจะในขณะเดียวกัน ปราณดาบยาวประมาณหนึ่งจั้งสายหนึ่งก็ปรากฏจากอากาศธาตุ เปล่งแสงเรืองรองดุจคมมีดผ่าสวรรค์และทะยานผ่านร่างของสตรีในชุดกระโปรงหลากสี
“นี่มัน ‘เนตรจันทราวิญญาณแท้’ ของเชื้อสายเซี่ยจื้อ…”
ดวงตาคู่งามของหญิงสาวเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ “ข้าได้ยินว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินรอบรู้ทุกสิ่ง เก่งกล้าสามารถในหมื่นวิถีแห่งสวรรค์ ยามนี้เมื่อได้พบพาน สมคำร่ำลือจริงแท้…”
เสียงอันไม่ยินยอมยังไม่ขาดหาย ร่างของนางก็ถูกฉีกกระชากตายทันที
เรื่องทั้งหมดนี้ช่างน่ากลัวแท้
ไม่ว่าจะเป็นชายชราชุดดำจากบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกรหรือสตรีชุดหลากสีจากสำนักอสูรดั้นเมฆา เคล็ดวิชาต้องห้ามที่ทั้งสองใช้ล้วนกล่าวได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดในเก้ามหาแดนดิน
โดยปกติแล้ว อย่าว่าแต่คนในขอบเขตเดียวกันเลย กระทั่งคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่ายังไม่อาจหยุดพวกเขาได้
แต่เมื่อคู่ต่อสู้ครั้งนี้คือซูอี้ ทุกสิ่งก็ต่างออกไป
เขาคือซูเสวียนจวินผู้ซึ่งเคยเป็นหนึ่งเหนือเก้ามหาแดนดิน และถูกยกย่องสมญาเป็น ‘ปรมาจารย์หมื่นวิถี’!
เคล็ดวิชาที่เขาบรรลุมากพอจะหยุดเคล็ดวิชาต้องห้ามเช่นนี้ได้!
ณ จุดนี้ สี่ยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจากสำนักเทพอัสนีเขียว สำนักอสูรดั้นเมฆา บรรพตวิถีพยัคฆ์มังกรและคีรีดาบเก้าดาราล้วนดับดิ้น
มันไม่อาจกล่าวว่าเป็นการต่อสู้มือเปล่าอย่างดุเดือดได้อีกต่อไป เพราะแม้ซูอี้จะต่อสู้แบบหนึ่งต่อห้า แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด และเมื่อสังหารศัตรูก็เป็นไปอย่างเฉียบขาดแม่นยำ!
กล่าวให้กระชับคือ เป็นการบดขยี้ฝ่ายเดียวของซูอี้!
หากภาพนี้ประจักษ์แก่สายตาของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิในโลกหล้า คงชวนกรามร่วงแน่แท้
เพราะถึงอย่างไร ตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำนั้นถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดแห่งโลกา พวกเขาแต่ละคนถูกมองเป็นยักษ์ แข็งแกร่งพอจะทำให้โลกหล้าสั่นไหว ทำให้ผู้ฝึกตนนับร้อยล้านสะท้านสั่น
ทว่ามันไม่ได้ดูแปลกสำหรับเย่ลั่ว
เพราะในใจเขา อาจารย์ไร้เทียมทาน!
ต่อให้เขาเวียนวัฏสงสารกลับมาฝึกฝนใหม่อีกครั้ง เขาก็ไม่อาจเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเหล่านั้น!
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศ
เหลือเพียงฮั่วเหยาที่ยังรั้นต่อสู้ลำพัง
เพียงแต่ว่า เมื่อเทียบกับคราแรก สภาพของฮั่วเหยาเละเทะเกินเทียบ
ผมเผ้ากระเซิง ร่างโชกเลือดและบาดแผล ใบหน้าฉายแววหวาดกลัวลนลาน
เมื่อเห็นซูอี้พร้อมลงมืออีกครั้ง ฮั่วเหยาก็ดูสิ้นหวังโดยสมบูรณ์ “อาจารย์ ท่านพาข้าไปจากแหล่งกำเนิดไฟนั่น ท่านอุ้มข้าด้วยมือเดียว แล้วเคยบอกว่ามองข้าเหมือนเป็นลูกท่าน ยามนี้… ท่านจะฆ่าศิษย์ผู้นี้จริง ๆ หรือ?”
ตู้ม!
ฝ่ามือที่ซูอี้ฟาดออกไปพลันแปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดัน ผลักฮั่วเหยาให้คุกเข่าลงกับพื้นทันที ร่างของเขากระตุกด้วยเจ็บปวดรุนแรง
ทว่าเขาไม่ใส่ใจ และอ้อนวอนด้วยเสียงอันสั่นเครือ “อาจารย์ ศิษย์ผู้นี้สำนึกผิดแล้ว ไม่ว่าท่านจะลงโทษศิษย์ผู้นี้เช่นไร ศิษย์พร้อมน้อมรับทุกสิ่ง แต่โปรดไว้ชีวิตข้า อย่าฆ่าข้าเลย ได้หรือไม่?”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก โลหิตเปรอะเปื้อนเรือนผมยาวลู่ลงที่แก้ม เขาคุกเข่ามองขึ้นมายังซูอี้ น้ำตาหลั่งริน ไม่อาจบอกได้ว่าจากความสำนึกหรือความกลัว
เมื่อเริ่มแรก ฮั่วเหยานั้นช่างลำพอง ดูหมิ่นดูแคลนเขา
ทว่าครานี้เขากลับอ่อนน้อมราวนักโทษ ร่ำไห้คร่ำครวญวอนขอชีวิต
เมื่อเย่ลั่วซึ่งอยู่ห่างออกไปเห็นเช่นนี้ หัวใจของเขาพลันซับซ้อนยิ่ง มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นเช่นไร
สีหน้าของซูอี้เมินเฉยเยี่ยงกาลก่อน เขามองลงไปยังฮั่วเหยาผู้คุกเข่าอยู่ตรงหน้า และกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเหตุใดข้าจึงอยากเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่?”
ก่อนฮั่วเหยาทันได้ตอบ ซูอี้ก็กล่าวกับตนเอง “เพราะวิถีของข้าในอดีตชาติมีข้อบกพร่องมากมาย ดังนั้นจึงทิ้งทุกเกียรติภูมิและความสำเร็จในอดีตชาติ และเลือกเริ่มใหม่แต่ต้น”
“คราก่อนที่ข้าผนึกการฝึกฝนของเจ้า เป็นเพราะข้าไม่อาจทนให้เจ้าทำผิดซ้ำข้า ไม่อยากให้เจ้าสูญเสียทุกสิ่งในยามเลื่อนขอบเขตสู่สานพันธะลึกล้ำ”
“แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าสุดท้าย เป็นข้าเสียเองที่ทำร้ายเจ้า ไม่เพียงมิอาจกำจัดมารในใจเจ้าได้ แต่กลับทำให้เจ้าเกลียดข้าถึงกระดูกและคิดคดทรยศ!”
“ศิษย์อาจารย์ห้ำหั่น ช่างน่าขำนัก!”
กล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าเฉยชาของซูอี้ก็ปรากฏสีหน้าเยาะเย้ยตนเองอย่างลึกล้ำ
……….