บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 992: จันทรากระจ่างเหนือนภา ทอแสงนวลดุจม่านหมอก
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 992: จันทรากระจ่างเหนือนภา ทอแสงนวลดุจม่านหมอก
ตอนที่ 992: จันทรากระจ่างเหนือนภา ทอแสงนวลดุจม่านหมอก
…………………………………………………..
ตอนที่ 992: จันทรากระจ่างเหนือนภา ทอแสงนวลดุจม่านหมอก
ศิษย์อาจารย์ห้ำหั่น ช่างน่าขำนัก!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ลั่วก็รู้สึกเศร้าในใจ เขาอึดอัดจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด
ในความคิดของเขา อาจารย์ไม่เคยปฏิบัติต่อศิษย์คนใดอย่างเลวร้าย
ศิษย์น้องเจ็ด ‘เสวียนหนิง’ มีนิสัยโง่เง่า หลังจากเข้าร่วมสำนัก การฝึกฝนของเขารั้งท้ายเพื่อนร่วมสำนักไปแสนไกล และมักรู้สึกด้อยค่ากว่าใครเสมอ
ทว่าอาจารย์ก็บอกว่าเสวียนหนิงงุ่มง่ามได้ เพราะเขาคือผู้เบ่งบานช้า
สายน้ำไหลไม่ประชันความเร็ว มุ่งเน้นที่ความพลิ้วไหวต่อเนื่อง
การฝึกฝนวิถีก็ควรเป็นเช่นกัน
ศิษย์น้องห้า ‘หวังเชวี่ย’ มีชีวิตย่ำแย่และหนี้แค้น
อาจารย์คือผู้ที่ลอบช่วยเขาเสาะหาเบาะแสของศัตรู กรุยทางให้เขา และท้ายที่สุดก็ให้หวังเชวี่ยได้ล้างแค้นสมปรารถนา และคลายปมในใจทิ้ง
ศิษย์พี่รอง ‘จิ่งหัง’ มีบุคลิกอ่อนโยนสุภาพ ไม่ชอบการเข่นฆ่า ยามออกเดินทาง เขาก็ถูกพวกเจ้าเฒ่าจากพรรคมารรังแกโดยใช้ ‘การหารือเรื่องวิถีเต๋า’ มาบังหน้า
เมื่ออาจารย์ทราบข่าว เขาก็เดือดจัดและออกสงคราม อัดพวกมารเฒ่าเหล่านั้นจนร้องหาพ่อแม่ในพริบตา
นับแต่นั้นมา อาจารย์ก็มีฉายาใหม่ในเก้ามหาแดนดินว่า ‘มารคลั่งหวงศิษย์’
นอกจากจิ่งหัง เสวียนหนิงและหวังเชวี่ย ศิษย์คนใดเล่าจะไม่ได้ถูกอาจารย์ปฏิบัติด้วยเช่นลูก?
อย่าว่าแต่อื่นใด แค่ฮั่วเหยาผู้อาจารย์นำกลับสู่สำนักแต่ยังเด็ก ร่ำเรียนข้างกายเขามาผู้นี้ก็ไม่เคยถูกหมางเมิน!
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในถ้ำเสวียนจวิน
และยามนี้ หัวใจของเย่ลั่วซึ่งมองฮั่วเหยาคุกเข่าขอชีวิตอย่างหวาดกลัวรู้สึกปนเปนัก
ไร้ความเห็นใจ เขารู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายช่างน่าเวทนา!
“อาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว มิกล้าทำอีกแล้วขอรับ!”
ฮั่วเหยาร้องไห้อย่างขมขื่น
ซูอี้เงียบไปชั่วขณะ และกล่าวว่า “การมาภูมิมืดมิดของเขาในยามนี้ เจ้าทำเองหรือผีหมัวสั่ง?”
ฮั่วเหยาลังเลชั่วขณะ จึงตอบว่า “เป็น… คำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ”
ซูอี้ถามอีกครั้ง “ไฉนเจ้าจึงแน่ใจว่าข้าจะมายังพิภพยมราชฝังวิถี?”
ฮั่วเหยากระซิบ “ศิษย์ได้เบาะแสบางอย่างจากผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพขอรับ”
“นอกจากนั้น ศิษย์ยังรู้จากเจ้าบรรพตเมืองท้อด้วยว่าอาจารย์เคยมายังพิภพยมราชฝังวิถีและติดอยู่ที่ซากโบราณฝังเทวะสามปีเต็ม ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าหากอาจารย์เวียนวัฏสงสารจริง ๆ เขาจะมาที่นี่หลังได้ยินข่าวการผุดขึ้นของพิภพยมราชฝังวิถึแน่นอนขอรับ”
“แล้วเจ้าบรรพตเมืองท้อเล่าอยู่หนใด?”
ฮั่วเหยาก้มหน้าตอบ “คนผู้นี้สงสัยว่าข้าจะมีเจตนาอื่น ไม่นานหลังจากที่เขามายังพิภพยมราชฝังวิถี เขาก็ฉวยโอกาสหนีหายเข้าไปในซากโบราณฝังเทวะ จวบจนยามนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยขอรับ”
ซูอี้เงียบไปอีกครั้ง
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็กล่าวว่า “ข้าจะให้ทางเลือกเจ้าสองทาง ทางแรกคือทิ้งการฝึกฝนไป เจ้าและข้าไม่ติดค้างสิ่งใดต่อกัน และจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
สีหน้าของฮั่วเหยาแปรเปลี่ยนมหันต์ ขณะกล่าวขึ้นอย่างลนลาน “อาจารย์ แล้วทางที่สองเล่าขอรับ?”
ซูอี้ไม่ทั้งเศร้าหรือยินดี เขานิ่งสนิท “ข้าจะทำลายเจ้าเอง”
ตู้ม!
ฮั่วเหยารู้สึกราวถูกอสนีบาตฟาด ร่างที่คุกเข่าอยู่สั่นเทิ้ม
เขาเคยเป็นยอดฝีมือในเก้ามหาแดนดิน สำราญในเกียรติภูมิมั่งคั่ง ไม่ว่าไปที่ใดล้วนได้เพียงคำสรรเสริญเยินยอ
ทว่าหากทำลายการฝึกฝนของเขา เขาย่อมต้องร่วงลงจากสวรรค์สู่คุกอเวจีไร้สิ้นสุด และทุกสิ่งที่เขาเคยมีในอดีตก็จะสูญสลายไป!
ใครเล่าจะทนความเปลี่ยนแปลงเพียงนั้นไหว?
ฮั่วเหยาพึมพำราวเสียสติ “การลงทัณฑ์เช่นนี้โหดร้ายกว่าฆ่าข้าเป็นสิบเท่ามิใช่หรือ? หากเป็นเช่นนี้ เป็นตายต่างกันเช่นไร?”
“ไม่สิ! ข้ายอมตายดีกว่ารับชะตาใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชน!”
เขาพลันเงยหน้าขึ้นมองซูอี้ ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่งรุนแรง “อาจารย์ ศิษย์ผู้นี้สำนึกแล้วจากใจ หากท่านมิคิดยกโทษ ไฉนต้องให้โอกาสศิษย์เปลี่ยนใจด้วย?”
น้ำเสียงของเขาเจือความบ้าคลั่ง
ซูอี้มองฮั่วเหยาอย่างเงียบงัน มิกล่าววาจาใด
ฮั่วเหยาดูจะสัมผัสความสุขุมที่ไม่อาจสั่นคลอนของซูอี้ได้ ทั่วร่างของเขาดูจะไร้เรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์ และหัวเราะลั่น “ช่างเถอะ ในเมื่ออาจารย์คิดฆ่าศิษย์ผู้นี้ ก็ลงมือเลย! ให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงความโหดเหี้ยมของท่านสิ!”
เย่ลั่วขมวดคิ้ว และอดกล่าวมิได้ว่า “อาจารย์ ให้ข้าส่งฮั่วเหยาไปโลกหน้าเถอะ!”
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยโทสะอันมิอาจบรรยาย
คนทรยศขายอาจารย์ทำลายสำนัก สารเลวผู้แสนหยิ่งผยองผู้คิดทำร้ายอาจารย์เมื่อครู่ และในที่สุดยังกล้ามาใส่ความอาจารย์ว่าโหดเหี้ยม บ้าบอน่าขำเพียงไร?
“อย่าสอด”
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ และข่มความผิดหวังอันอัดแน่นในอกไว้
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป
ห้านิ้วและฝ่ามือประทับตรา กดลงเหนือศีรษะฮั่วเหยา
ตู้ม!
พริบตานั้น วิถีเต๋าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำของฮั่วเหยาก็แตกสลายหายไป
มองเห็นได้ชัดเจนว่ารูปลักษณ์หล่อเหลาของฮั่วเหยาพลันดูแก่ลงอย่างรวดเร็ว ผิวของเขาเสียความเปล่งปลั่งและเหี่ยวย่นลง
“การฝึกฝน! การฝึกฝนของข้า!!”
ฮั่วเหยาสติแตก จนแผดเสียงกรีดร้องสุดคอ “ซูเสวียนจวิน เจ้าช่างโหดร้ายนัก! ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากำลังระบายความแค้น จงใจทรมานข้า ทำให้ชีวิตข้าแย่ยิ่งกว่าเดิมสินะ!!”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “จากที่เจ้าว่า ความเกลียดชังของเจ้าที่มีต่อข้าแปรเปลี่ยนเป็นมาร และหากเป็นเช่นนี้จริง ก็ลืมทุกสิ่งในอดีตไปเสียเถอะ”
นิ้วชี้ของเขาแตะหว่างคิ้วของฮั่วเหยา
คาถาลอกวิญญาณ!
เคล็ดวิชาจิตวิญญาณอันเป็นหนึ่งในมรดกสูงสุดของโถงหลงลืม ‘คัมภีร์ฝันร้ายสลักจิต’ ซึ่งสามารถลบความทรงจำและควบคุมวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้!
เนิ่นนานผ่านไป
ซูอี้เก็บนิ้วชี้ของเขา
ฮั่วเหยาสลบหมดสติกับพื้น
“อาจารย์ ไฉนจึงไม่ส่งเขาจากไปเสียเล่า?”
เย่ลั่วอดถามมิได้
“ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นศึกระหว่างศิษย์อาจารย์ และเป็นข้าเองที่เลี้ยงดูเขา ต่อให้ผิดหวังในตัวเขา ก็ยังยากจะฆ่าเขาได้”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ
เย่ลั่วเงียบไป หัวใจของเขากำลังปั่นป่วน
พวกเขาล้วนใจสลายกับการทรยศของฮั่วเหยา แต่อาจารย์กลับไม่ทำลายชีวิตเขา เย่ลั่วจะไม่รู้สึกตื้นตันได้เช่นไร?
“ข้าลบทุกความทรงจำเกี่ยวกับข้าในวิญญาณของเขาแล้ว และจากนี้ไป ก็ให้เขาไปตามทางของตนเสีย”
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างสุขุม “ในภายหน้า ข้าไม่มีศิษย์ผู้นี้อีกต่อไป”
กล่าวจบ เขาก็สั่งเย่ลั่วให้พาฮั่วเหยาออกไปจากทะเลทุกข์ ปล่อยเขาสู่โลกแห่งปุถุชน
เย่ลั่วพยักหน้ารับคำสั่ง
เคร้ง!
ซูอี้เก็บดาบเมฆาแดงกลับ ก่อนจะหันมองกู้จื้อหมิงซึ่งอยู่ไกลออกไป
ศิษย์ของผีหมัวผู้นี้ตกใจกลัวเสียจนลนลานทำอันใดไม่ถูก เมื่อสังเกตเห็นสายตาของซูอี้ เขาก็รีบโขกหัวกับพื้น อ้อนวอนตะกุกตะกัก “วอนบรรพชนเมตตา ไว้ชีวิตศิษย์ผู้น้อยด้วยขอรับ!”
“เจ้าเดาตัวตนของข้าไว้แล้ว ใช่หรือไม่?”
ซูอี้ถาม
กู้จื้อหมิงตอบเสียงสั่น “ศิษย์ผู้น้อยเพียงคาดเดาไว้ก่อนขอรับ”
“ไฉนผู้อื่นจึงไม่รู้เล่า?”
ซูอี้ถามอีกครั้ง
เย่ลั่วปริปากพูด “อาจารย์ ตลอดมานี้ พันธมิตรเสวียนจวินที่ศิษย์พี่ใหญ่ก่อตั้งดำเนินการใต้นามท่านมาตลอด อย่าว่าแต่สมาชิกพันธมิตรเสวียนจวินเลย กระทั่งศิษย์ของศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขาล้วนแล้วแต่อุปโลกน์ตนเป็นศิษย์ถ้ำเสวียนจวินทั้งสิ้น”
“และศิษย์เหล่านั้นยังคงนับถือท่านมาก ด้วยเหตุนี้ หากปล่อยให้ผู้อื่นรู้ว่าศัตรูที่ต้องรับมือในวันนี้คือท่านอาจารย์ เกรงว่าคงได้ปั่นป่วนแน่แท้ขอรับ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเย่ลั่วก็ความเยาะเย้ยต่อตนเอง “ครานี้ข้ามายังพิภพยมราชฝังวิถี ข้าไม่เคยคิดเลยว่าผู้ที่ฮั่วเหยาอยากจัดการมากนักจะเป็นท่านอาจารย์”
ซูอี้เข้าใจทันที และกล่าวว่า “แปลว่ามีเพียงคนกลุ่มน้อยในพันธมิตรเสวียนจวินเท่านั้นสินะที่รู้เรื่องการทรยศของผีหมัวในยามนั้น?”
เย่ลั่วกล่าวด้วยสีหน้ามืดหมอง “น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ ข้าถูกศิษย์พี่ใหญ่ลวงเมื่อกาลก่อน บอกว่าศิษย์น้องหญิงเล็กทรยศอาจารย์ ยึดถ้ำเสวียนจวินและฮุบสมบัติทั้งหมดของอาจารย์ไว้ผู้เดียว ทว่าใครเล่าจะคิด…”
เขาถอนหายใจ ไม่ได้พูดต่อ
ซูอี้พลันถามขึ้น “ยามนี้ เจ้าคิดว่าศิษย์น้องหญิงของเจ้าเป็นคนทรยศอย่างที่ผีหมัวว่าอยู่หรือไม่?”
เย่ลั่วเงียบไปนาน ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้า “หลังจากเรื่องวันนี้ ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฮั่วเหยาและศิษย์พี่ใหญ่ชัด ๆ ศิษย์ก็มิกล้าเชื่อวาจาพล่อย ๆ เช่นนั้นแล้ว”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประสบการณ์วันนี้ก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเย่ลั่วเช่นกัน
ซูอี้หันไปกล่าวกับกู้จื้อหมิงอีกครั้งว่า “เจ้าเดาตัวตนของข้าได้แล้ว ทว่ายังกล้าลงมือกับข้า กล้านักนะ”
กู้จื้อหมิงดูจะตระหนักได้แล้วว่ามีบางสิ่งผิดปกติ จึงกล่าวอ้อนวอนอย่างหวาดกลัว “บรรพชนโปรดอภัยด้วย! สิ่งที่ศิษย์ผู้น้อยทำในคืนนี้เป็นคำสั่งของอาจารย์อาฮั่วเหยา เขา…”
เย่ลั่วขัดอย่างเย็นชา “กล้าดีเช่นไรจึงหาข้ออ้าง ตายไปก็ไม่น่าสงสาร!”
ฉับ!
เขาสะบัดแขนเสื้อ ส่งดาบไม้เล่มหนาเล่มหนึ่งทะยานเวหา บั่นหัวกู้จื้อหมิงทันที
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ เขามองไปยังวิหารสำริดซึ่งอยู่ไกลออกไปอยู่นาน จากนั้นจึงละสายตาออกมาสั่ง “เก็บข้าวของ ออกจากที่นี่กันเถอะ”
“ขอรับ!”
เย่ลั่วเดินนำหน้า
ทั้งศิษย์อาจารย์ล้วนไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ และรีบพาฮั่วเหยาผู้หมดสติจากไปทันที
…
นอกถ้ำสวรรค์หกวิถี
จันทรากระจ่างเหนือนภา ทอแสงนวลดุจม่านหมอก
หลังจากเดินออกมา ซูอี้ก็ถอนหายใจยาวราวกับจะปลดความทุกข์ในใจให้สิ้น
“อาจารย์ ท่านไม่ต้องรู้สึกสงสารคนทรยศเช่นฮั่วเหยาหรอกขอรับ หากเป็นศิษย์ข้า เกรงว่าข้าคงเดือดดาลสังหารเขาด้วยดาบเดียวไปแล้ว”
เย่ลั่วปลอบใจ “ยิ่งกว่านั้น ยามนี้เมื่อเราศิษย์อาจารย์พบหน้า ก็ควรเป็นเรื่องยินดียิ่ง ท่านไม่รู้หรอก เมื่อข้าได้ยินข่าวการจากไปของท่าน ข้าเศร้าสุดใจ หลบไปร้องไห้ในสถานที่ไร้ผู้คนหลายต่อหลายหน ยามนี้เมื่อเห็นท่านงดงามทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตมากนัก ในใจศิษย์ก็แสนสุขีปรีดาเกินคณานับขอรับ”
ซูอี้ผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่ไฉนข้าจึงจำได้ว่าไม่นานมานี้ ที่ทะเลทุกข์ ใครบางคนตะโกนบอกจะปล้นศิลาเวียนไตรภพพวกนั้นจากข้านะ?”
เย่ลั่วแสนอับอายในพริบตา กระอักกระอ่วนสุดขีด
เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องนั้นในยามนี้ เขาก็รู้สึกราวเป็นไอ้โง่!
เมื่อเห็นเช่นนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของซูอี้ก็ปลอดโปร่งขึ้นอย่างมิอาจบรรยาย
“ไปกันเถอะ ตามข้าไปที่ซากโบราณฝังเทวะ”
ซูอี้ใช้มือไพล่หลังและสาวเท้าจากไป
ฮั่วเหยาบอกว่าไก่แจ้เฒ่าหนีเข้าไปในซากโบราณฝังเทวะไม่นานหลังมาถึงพิภพยมราชฝังวิถี ซึ่งทำให้เขากังวลเล็กน้อย
เพราะ แม้ในยามสมบูรณ์พร้อม ณ อดีตชาติ เขาก็ยังติดอยู่ในซากโบราณฝังเทวะสามปีเต็ม!