บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 999: ลัทธิทางช้างเผือก
ตอนที่ 999: ลัทธิทางช้างเผือก
…………………………………………………..
ตอนที่ 999: ลัทธิทางช้างเผือก
ณ ภูมิมืดมิด คนทั้งหลายในโลกต่างก็ขนานนาม ‘ไก่แจ้เฒ่า’ ว่าเป็นจ้าวบรรพตเมืองท้อ
ทว่ากลับมีน้อยคนนักที่รู้ว่าร่างแท้ของจ้าวบรรพตเมืองท้อเป็นไก่ฟ้าหยางบริสุทธิ์ ควบคุมเพลิงเทพดวงตะวันโดยกำเนิด
เวลานี้ เห็นชัด ๆ ว่าเนื้อย่างในมือผู้ชายชุดสีน้ำเงินที่นั่งในตำหนักคนนี้คือปีกที่หักท่อนหนึ่ง ยังคลุกเคล้าไปด้วยกลิ่นอายเพลิงเทพดวงตะวันที่ยังไม่หายไป!
ก่อนหน้านี้ตอนที่จัดการกับฮั่วเหยา ซูอี้รู้มาว่าไก่แจ้เฒ่าเพิ่งมาถึงพิภพยมราชฝังวิถีได้ไม่นานก็เข้ามาในซากโบราณฝังเทวะแห่งนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ
และตอนนี้ มาเห็นภาพเช่นนี้เข้าอีก ซูอี้ก็รู้ได้ในทันใดว่าไก่แจ้เฒ่าอาจจะประสบเคราะห์ร้ายเข้าแล้ว!
“เจ้ารู้ฐานะของเขาเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ส่งกระแสปราณถาม
กระแสเสียงของยมบาลที่ส่งมาเมื่อก่อนหน้านี้ แฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัวอย่างกลบเกลื่อนไม่อยู่ จึงทำให้ซูอี้รู้ได้ว่านางอาจจะรู้ที่มาของฝ่ายตรงข้าม
จริงดังคาด ยมบาลสาวส่งกระแสเสียงกลับมาอีกครั้ง “ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่รู้ว่าเขามาจากลัทธิทางช้างเผือก! ขุมกำลังนี้มีความน่ากลัวเป็นอย่างมากในหมู่ดารา พูดถึงพื้นฐานแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าหอเก้าสวรรค์เลย”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวต่อ “และเกล้าดอกบัวเมฆดาราที่คนผู้นี้ใช้รัดผม จะต้องเป็นผู้ผดุงลัทธิคนหนึ่งของ ‘แขนงเมฆา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่แขนงภายใต้การปกครองของลัทธิทางช้างเผือกอย่างแน่นอน!”
ตามที่ยมบาลสาวกล่าว ลัทธิทางช้างเผือกแบ่งออกเป็น ‘สามตำหนักสี่แขนง’
สามตำหนักแบ่งเป็น ตำหนักสุริยัน ตำหนักจันทรา และตำหนักดารา
สี่แขนงแบ่งเป็น วายุ อัสนี เมฆา และอัคคี
เกล้าดอกบัวที่ผู้ชายชุดสีน้ำเงินใช้รัดผมนั้นประทับลายเมฆดารา เช่นนี้แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ผดุงลัทธิคนหนึ่งของ ‘แขนงเมฆา’ จากลัทธิทางช้างเผือก
และพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิทางช้างเผือกก็คือ ‘กฎวิเวกดารา’ ที่พวกเขาควบคุมอยู่
นี่เป็นพลังแห่งกฎเกณฑ์มหาวิถีที่ไม่ด้อยไปกว่ากฎเกณฑ์วอนสวรรค์เลย!
เมื่อทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้ก็รู้สึกตะลึงเช่นกัน
เขาจึงเข้าใจได้ว่าผู้ชายชุดสีน้ำเงินคนนั้นมาจากหมู่ดาราเช่นเดียวกัน อีกทั้งขุมกำลังฝึกตนที่อยู่หนุนหลังเขานั้นสามารถเทียบได้กับหอเก้าสวรรค์!
เวลานี้ จู่ ๆ ผู้ชายชุดสีน้ำเงินที่กำลังเติมไฟย่างเนื้อก็เอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้าสามารถมาถึงที่ตรงนี้ได้ จะต้องเป็นบุคคลระดับสุดยอดที่สุดในภูมิมืดมิดอย่างแน่นอน แต่ ข้าว่าดีที่สุดพวกเจ้าควรจะหยุดเพียงเท่านี้ และรีบจากไปโดยเร็วจะดีกว่า”
หนังตาของเขาลดต่ำอยู่ตลอด ขณะนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย เสียงที่ต่ำทุ้มแฝงไว้ซึ่งพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ ถึงแม้คนผู้นี้จะอยู่ขอบเขตจักรพรรดิ ทว่าระดับการฝึกตนกลับอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้นเท่านั้น
ทว่าเวลาที่เขาเผชิญหน้ากับซูอี้ เย่ลั่ว และยมบาล ไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความหยิ่งผยองอีกด้วย
คนทั้งหลายพุ่งสายตาไปที่ซูอี้โดยสัญชาตญาณ
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”
ซูอี้ออกคำสั่งเสร็จก็ก้าวเดินเข้าไปในตำหนัก
“หืม?”
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจ เขาเหลือบตามองไปที่ซูอี้ และกล่าวเนิบ ๆ “ไม่ฟังคำเตือน ถึงกับตายได้”
หน้าตาของเขาคมเข้ม เบ้าตาลึกเล็กน้อย ถึงแม้นั่งอยู่ตรงนั้น ทว่าในตัวกลับมีท่าทีเฉยเมยไม่สนใจใคร
ยมบาลสาวกับเย่ลั่วต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม
ถึงแม้ผู้ชายชุดสีน้ำเงินคนนี้จะไม่ได้แสดงอานุภาพน่ากลัวออกมามากนัก แต่ทว่าพวกเขากลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของอันตรายอย่างร้ายแรง
“เจ้าฆ่าจ้าวบรรพตเมืองท้อเช่นนั้นหรือ?”
มือหนึ่งของซูอี้ไพล่หลัง มือหนึ่งถือค้อนทุบเซียนเล่น
“จ้าวบรรพตเมืองท้อ?”
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ฉับพลันทำหน้าเข้าใจ หัวเราะออกมา “หากเจ้าหมายถึงไก่แจ้ห้าสีตัวนั้นล่ะก็ ข้าเป็นคนฆ่าเอง”
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบเฉยเมยไร้ความรู้สึก “เหตุใดต้องฆ่าเขา?”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินชูเนื้อย่างที่เสียบบนดาบวิถีในมือขึ้น ยิ้มพลางกล่าว “ไม่มีอะไร เพียงแค่กินให้หายอยากก็เท่านั้น”
พูดจบ เขาก็อ้าปากกัดกินเนื้อย่างไปคำหนึ่ง เคี้ยวไป ชมไป “ไก่แจ้ตัวนี้เกิดมาก็ควบคุมเพลิงเทพดวงตะวัน มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง รอบรู้กว้างขวาง แต่ในสายตาของข้าแล้ว ไก่แจ้ตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นอาหารโอชะหาได้ยากอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีกของไก่ตัวนี้ ไม่ต้องปรุงรส เนื้อใส เกรียมกรอบ เยี่ยมยอดเป็นที่หนึ่ง”
ทุกคนเห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกสะท้อนใจ
แม้ว่าคนผู้นี้จะดูสุภาพ ทว่ากลับมองร่างแท้ของจ้าวบรรพตเมืองท้อเป็นอาหาร และกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย!
กระทั่งคำพูดคำจาและท่าทีเช่นนี้เป็นการท้าทายแบบหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
“อย่างไร เจ้าเป็นสหายของไก่แจ้เช่นนั้นหรือ?”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินหัวเราะพลางถาม
ซูอี้พยักหน้าพลางตอบ “ไม่ผิด”
“พูดมาเช่นนี้ เจ้าคิดจะแก้แค้นแทนเขาเช่นนั้นหรือ?”
สายตาของผู้ชายในชุดสีน้ำเงินมีความท้าทาย “แต่ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำเช่นนี้เลย มิเช่นนั้น อาจจะต้องมีจุดจบเหมือนกับไก่แจ้ กลายเป็นอาหารของข้า”
“สารเลว ชักจะโอหังเกินไปเสียแล้ว…”
เย่ลั่วทนไม่ไหวขมวดคิ้วขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคน ‘กินคน’ เช่นนี้ ทั้งยังพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเสียด้วย
หนังตาของยมบาลสาวกระตุกยิบ ตอนนี้นางเข้าใจนิสัยใจคอของซูอี้แล้ว เจอกับการข่มขู่เช่นนี้ ซูอี้ก็ยิ่งสงบนิ่งมากขึ้น ซึ่งนั่นก็แสดงว่าความดุดันภายในใจของชายหนุ่มก็ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นทุกที!
และในขณะที่ยมบาลเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในใจ…
ซูอี้ก็ลงมือแล้ว
เขาคร้านจะพูดให้มากความอีก
ครั้งนั้น ตอนที่บุกตะลุยภูมิมืดมิด ไก่แจ้เฒ่าคือหนึ่งใน ‘สหาย’ ที่นับจำนวนได้ของเขา
แต่บัดนี้ เมื่อเห็นร่างวิถีของไก่แจ้เฒ่าถูกคนนำไปทำเป็นอาหาร เท่ากับล้ำเส้นความอดทนของซูอี้ กระตุ้นให้เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาภายในใจ!
ภายใต้เหตุการณ์เช่นนี้ เขาไม่สนหรอกว่าผู้ชายชุดสีน้ำเงินคนนั้นจะมีที่มาอย่างไรหรือแข็งแกร่งแค่ไหน เขาต้องการแก้แค้นให้กับไก่แจ้เฒ่าเท่านั้น!
วิ้ว!
กลิ่นอายพลังอันมืดมิดราวกับราตรีมืดอันเกิดจากค้อนทุบเซียนกลายเป็นพลังดาบอันลี้ลับ พุ่งแทงไปที่ผู้ชายชุดสีน้ำเงินกลางอากาศ
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินแสยะยิ้ม จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ
โครม!
เพลิงเทวะอันเดือดพล่านปรากฏขึ้น ส่องแสงสว่างราวกับประกายแห่งดาราที่กำลังลุกโชติช่วง คล้ายกับมีดวงดาราหลายดวงลุกไหม้อยู่ในนั้น
ชั่วขณะนั้น พลังดาบเล่มนี้ของซูอี้พลันหายไป ถูกหลอมละลายจนสูญสิ้น
ทุกคนต่างก็ตื่นตะลึง
ตามที่รู้กันดีว่า ด้วยความสามารถในตอนนี้ของซูอี้ สามารถฆ่าผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย
อานุภาพแห่งพลังดาบที่ซูอี้ฟันออกไปนั้นจึงมีความน่ากลัวเกินกว่าจะคาดคิดเป็นธรรมดา
ทว่าใครเลยจะคาดคิด ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินคนนั้นกลับหลอมละลายพลังดาบ ๆ นี้จนสูญสิ้นไปอย่างง่าย ๆ!
“กฎวิเวกดารา!”
ดวงตาใสเป็นประกายของยมบาลสาวสั่นเครือ
ระดับการฝึกตนของผู้ชายในชุดสีน้ำเงินคนนั้นอาจจะไม่ได้ร้ายกาจมากมายนัก ทว่าพลังที่เขาควบคุมกลับเป็นกฎเกณฑ์มหาวิถีสูงสุดยอดของลัทธิทางช้างเผือก เปรียบดั่งข้อห้ามที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากฎเกณฑ์วอนสวรรค์เลย!
และในขณะนี้เอง ซูอี้ก็รับรู้ถึงอานุภาพแห่งกฎเกณฑ์มหาวิถีที่ลึกลับและมีเอกลักษณ์แล้วเช่นกัน
ต่างไปจากกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยพลังพิบัติ กฎวิเวกดารานั้นกลับเต็มไปด้วยพลังแห่งการเผาผลาญซึ่งคล้ายกับข้อห้าม เมื่อสำแดงเดชออกมาราวกับดวงดาราลุกไหม้ ประกายดาราราวกับเพลิงอัคคี มีความน่ากลัวเหลือคณา
“ในเมื่อกล้าลงมือต่อข้า ถ้าเช่นนั้นก็ทิ้งชีวิตไว้ตรงนี้”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินยังคงนั่งอยู่ข้างกองไฟ ขณะที่พูด เขาดีดนิ้ว
พรึ่บ!
ประกายดาราที่ลุกไหม้จนสว่างไสวปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งยาวฉื่อกว่า ๆ แทงไปที่ร่างของซูอี้
ในความนึกคิดของคนทั้งหมด การโจมตีอันเบาพลิ้วประดุจสายลมอ่อนเช่นนี้กลับรุนแรงราวกับดวงดาราพังถล่ม ดวงดาวนับไม่ถ้วนร่วงหล่นและลุกไหม้ ราวกับว่าต้องการจะเผาผลาญทุกสิ้งให้สิ้นไป!
อานุภาพเช่นนั้นทำให้คนทุกถึงกับขนหัวลุก
ทว่าซูอี้ยังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนดังเคย เขาชูค้อนทุบเซียนขึ้นมาแตะอากาศเบา ๆ
ภาพเหตุการณ์ที่เกินความคาดหมายของทุกคนได้เกิดขึ้นแล้ว…
สายรุ้งยาวฉื่อกว่า ๆ นั้นมีความน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด ทว่าเวลานี้กลับแตกสลายกลายเป็นชิ้น ๆ ราวกับกระดาษภายใต้ค้อนทุบเซียน!
เย่ลั่วกับผู้เฒ่าชุดนักพรตหลูพากันสะดุ้ง
ยมบาลสาวสั่นสะท้านขึ้นในใจ พลันรู้ได้ในทันใดว่าพลังลึกลับที่ซูอี้ควบคุมนั้นไม่เพียงแต่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถสยบกฎวิเวกดาราได้ด้วย!
การค้นพบนี้ทำให้ยมบาลสาวถึงกับสูดปาก
นางรู้ดีมากว่าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นประมุขหอเก้าสวรรค์หรือประมุขลัทธิทางช้างเผือก หากว่าพวกเขารู้ จะต้องนั่งไม่ติดเป็นแน่!
เพราะว่า กำลังลึกลับที่ซูอี้ควบคุมนั้นสามารถคุกคามไปถึงรากฐานของขุมกำลังใหญ่ทั้งสองได้!
“เจ้า…”
ขณะเดียวกัน ผู้ชายชุดสีน้ำเงินก็ดูเหมือนจะตื่นตระหนกมากเช่นกัน เขารีบลุกพรวดพราดขึ้นมา ดวงตาเกิดประกายลุกโชนน่ากลัวราวกับตะเกียงที่กำลังลุกไหม้
“เจ้าสามารถสลายพลังของข้าได้!?”
ซูอี้ใช้ค้อนทุบเซียนเป็นดาบ สาวเท้าก้าวไปแทงโดยไม่พูดมากแม้แต่คำเดียว
เสื้อผ้าที่เขาใส่พองลม ผมพลิ้วสยาย สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก บนตัวที่สูงชะลูดกลับมีความดุดันน่ากลัวแผ่กระจายออกมา
ชิ้ง!
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินตวัดดาบวิถีในมือ ปีกไก่ที่เสียบอยู่บนดาบวิถีหลุดกระเด็นออกไป
จากนั้นผลักดันดาบวิถีพุ่งขึ้นไปปะทะ
โครม!
ดาบวิถีประดุจสายรุ้งแห่งดวงดาว เปรียบดังแสงยาวพาดผ่าน เพลิงเทวะอันสุกสว่างพุ่งออกไป ภายใต้ดาบนี้ดาบเดียวราวกับอัคคีเทพมาเยือนโลกมนุษย์
ตึ้ง!!
เสียงระเบิดดังก้องสะท้านฟ้า
เย่ลั่วกับคนอื่น ๆ พากันตาค้าง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
กฎเกณฑ์มหาวิถีที่ผู้ชายชุดสีน้ำเงินคนนั้นควบคุมมีความน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด ตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอย่างพวกเขาล้วนรู้สึกได้ภัยคุกคามอันใหญ่หลวง
ทว่าเวลานี้ กลับถูกฟันกระเด็นออกไปในดาบเดียว!
“ตามที่คิดไว้จริง ๆ พลังของซูเสวียนจวินสามารถสยบกฎวิเวกดาราได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ชายลัทธิทางช้างเผือกจะต้องหมดที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สุดไปอย่างแน่นอน อาศัยเพียงระดับฝึกตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้นของเขา จะเป็นคู่ต่อสู้ของซูเสวียนจวินได้เช่นใดกัน?”
ยมบาลสาวพึมพำ ดวงตาใสสว่างเกิดสีสันประหลาดขึ้นมา
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปราวกับยากนักจะยอมรับได้ บนใบหน้ามีแต่ความตื่นตะลึงและฉงนสงสัย ไม่เหมือนกับตอนแรกที่สงบนิ่งและหยิ่งยโสเช่นนั้นอีก
ทว่าไม่รอให้เขาได้ครุ่นคิดมากไปกว่านี้ ซูอี้ก็บุกเข้ามาอีกครั้ง
และในขณะนี้เอง ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินจึงเข้าใจแล้วว่าคนหนุ่มขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นคนนี้น่ากลัวมาก
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงปะทะดังก้อง แต่ละครั้งของการบุกโจมตีของซูอี้ที่ใช้ค้อนทุบเซียนเป็นอาวุธนั้น ทำให้ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินทุกซัดจนกระเด็นออกไปทุกครั้ง
ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะดิ้นรนกระเสือกกระสนแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์
เพียงแค่ไม่กี่พริบตาเท่านั้น ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินคนนั้นก็หัวแตกเลือดอาบ เป็นแผลเหวอะหวะ ส่งเสียงร้องโอดครวญราวกับหมูถูกฆ่า กระดูกกระเดี้ยวในตัวหักไปแล้วไม่กี่ท่อน เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกจากปาก
เขาโกรธมาก และตะลึงมากเช่นเดียวกัน รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว จะต้องรีบหนีไป
ทว่าที่นี่คือตำหนักยมบาล มีแต่เพียงประตูใหญ่เป็นทางออกเพียงทางเดียว ไม่ว่าเขาจะพยายามหนีเช่นใด สุดท้ายก็ถูกซูอี้ใช้ค้อนทุบเซียนฟาดอย่างแรง ฟาดจนเขาหน้าบวมตาช้ำ ร่ำร้องโอดครวญ
ภาพน่าสมเพชเหล่านั้นทำให้ยมบาลกับคนอื่น ๆ รู้สึกเจ็บตามไปด้วย
ใครบ้างที่ยังมองไม่ออกอีกว่าซูอี้กำลังทรมานคู่ต่อสู้ เขาใช้วิธีนี้ระบายความโกรธแค้นภายในใจ
มิเช่นนั้น คงฆ่าตายไปนานแล้ว!
“อย่าฟาดอีกเลย ข้ายอมแพ้! ยังมีอีก ไก่แจ้เฒ่ายังไม่ตาย!!”
ในที่สุดผู้ชายในชุดสีน้ำเงินก็ทนไม่ไหว แหกปากร้องตะโกน บอกให้รู้ว่าไก่แจ้เฒ่ายังไม่ตาย ขอให้ไว้ชีวิต
ร่างของซูอี้นิ่งไป
ปัง!
ค้อนทุบลงมาอีกครั้ง ร่างของผู้ชายในชุดสีน้ำเงินโซซัดโซเซ หัวกระโหลกกระแทกเข้ากับพื้นแข็ง เห็นดาวขึ้นระยิบระยับ
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายคล้ายกับดินโคลน หลังจากที่หมอบลงกับพื้นแล้วไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
……….