บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 10
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักวิซที่พวกเขามีอยู่ในร่างกายของตนเอง… ในยุคนั้นการมีตัวตนของเหล่ามนุษย์ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการนับถอยหลังไปสู่หายนะของมนุษยชาติและจุดสิ้นสุดของดาวดวงนี้สักเท่าไหร่นัก…
เหล่ามนุษย์ในยุคนั้นได้แบ่งพรรคแบ่งพวกกันตามที่พวกเขาพึงพอใจ ไม่ว่าจะจากภาษาที่ใช้พูดฟังอ่านเขียน จากหน้าตาหรือรูปลักษณ์ภายนอก หรือจากอุปนิสัยใจคอที่คล้ายคลึงกัน
แต่สิ่งพวกเขาทุกกลุ่มมีเหมือนกันหมดนั้นก็คือความต้องการอันไร้ที่สิ้นสุดที่จะนำสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาต้องการมาปรนเปรอสร้างความสุขและความสะดวกสบายให้กับตนเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้มนุษย์กลุ่มต่างๆ ไม่ละอายใจเลยแม้แต่น้อยที่จะโจมตีมนุษย์กลุ่มอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าเพื่อแย่งชิงสิ่งของที่พวกเขาต้องการมาเป็นของตน
และหลังจากที่วงจรเหล่านี้ดำเนินไปได้เป็นเวลานานแสนนานเหล่ามนุษย์ก็เริ่มที่จะเรียนรู้ว่าถ้าพวกเขารวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่มากพอพวกเขาก็จะไม่ถูกกลุ่มอื่นๆ โจมตีได้โดยง่าย จนในที่สุดก็ได้มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งสร้างชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นมาและเรียกมันว่าเมือง
ซึ่งเจ้าเมืองที่ว่าก็ได้ช่วยปกป้องผู้อยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยด้วยการที่ผู้คนภายในเมืองได้ช่วยกันต่อสู้กับเหล่ามนุษย์กลุ่มอื่นๆ ที่อาจหาญเข้ามาจู่โจม จนในที่สุดเมืองแห่งเล็กๆ นี้ก็ได้ขยายตัวกว้างขึ้นและแตกแขนงออกเป็นหลายๆ เมืองตามจำนวนผู้อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น และสุดท้ายแล้วเหล่าเมืองขนาดใหญ่หลายๆ เมืองก็ถูกเรียกรวมกันว่าประเทศไปในที่สุด
และถึงแม้ว่าจะมีประเทศต่างๆ เกิดขึ้นมาอย่างมากมายแต่ว่าพื้นที่และทรัพยากรต่างๆ บนโลกนั้นกลับมีอยู่อย่างจำกัด จนในที่สุดแล้วประเทศต่างๆ ก็ได้หันคมดาบเข้าหากันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรและพื้นที่มาจากประเทศที่อยู่ใกล้เคียง
ซึ่งในชั่วขณะที่ไฟของสงครามกำลังจะปะทุขึ้นและลุกลามไปทั่วโลกนั้นก็กลับเกิดเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกที่เคยสวยงามของพวกเราไปตลอดกาลขึ้นมาเสียก่อน
เมื่ออยู่ๆ ก็ได้มีหอกเหล็กขนาดยักษ์นับพันนับหมื่นปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าปกคลุมไปทั่วทั้งโลกและร่วงหล่นลงมาระเบิดทำลายล้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส
และหลังจากที่การระเบิดที่ดูรุนแรงราวกับเป็นความพิโรธจากสรวงสวรรค์ได้สงบลงไป แหล่งน้ำที่อยู่ใกล้กับระเบิดเหล่านั้นก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพิษร้ายที่เมื่อสิ่งมีชีวิตกลืนกินมันลงไปจะกลายร่างเป็นอสุรกายคลุ้มคลั่งที่จะฆ่าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมองเห็น
อีกทั้งฝุ่นผงที่เกิดจากการระเบิดก็ได้กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าเปลี่ยนสภาพอากาศให้กลายเป็นหนาวเหน็บดุจดั่งฤดูหนาวเพราะว่าแสงแดดไม่อาจส่องลงมาให้ความสว่างกับผืนดินจนพืชพรรณและสัตว์น้อยใหญ่พากันล้มตายในขณะที่เหล่ามนุษย์เองก็ค่อยๆ เสียชีวิตไปกันทีละคนๆ ทั้งจากความหนาวเย็นและความหิวโหย
และถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์นั้นจะอยู่ภายใต้สายตาของเทพเจ้าผู้สร้าง แต่ว่าท่านก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อเสียงวิงวอนขอความเมตตาจากเหล่ามนุษย์ที่หมดสิ้นหนทางและเฝ้ามองดูเหล่ามวลมนุษย์ด้วยท่าทีเฉยชาราวกับว่าทรงกำลังนึกสงสัยว่าเหล่ามนุษย์จะสามารถเอาตัวรอดไปจากความสิ้นหวังที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร
ซึ่งในขณะที่เวลากำลังเลยผ่านไปท่ามกลางความสิ้นหวังของเหล่ามนุษย์ที่ถูกเทพพระเจ้าทอดทิ้งนั้น อยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีเทวทูตสวรรค์ชายหญิงคู่หนึ่งตัดสินใจที่จะเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์และเปิดเผยตัวให้เหล่ามนุษย์ได้เห็น—”
“เอ๋ะเดี๋ยวสิ—! สรุปว่าสวรรค์กับพวกเทวดามีอยู่จริงด้วยหรอพี่เอริกะ!? ทำไมหนูไม่เคยเห็นมาก่อนเลยอ่ะ!?”
ในขณะที่เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสามคนกำลังนั่งฟังเรื่องเล่าของเอริกะกันอยู่อย่างเพลินๆ นั้นอยู่ๆ พรีมูล่าก็ได้ยกมือขึ้นและพูดโพล่งขึ้นมาเสียงดังด้วยความสงสัย ซึ่งตัวคำถามของพรีมูล่านั้นก็ถึงกับทำให้อลิซคิ้วกระตุกเพราะว่ามันฟังดูไม่ได้ต่างไปจากคำถามของเด็กสามขวบเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าก่อนที่อลิซจะได้ลงมือทำอะไรลงไปนั้นนากาที่รู้สึกกลุ้มใจกับสภาพสมองของน้องสาวของเขาไม่แพ้กันก็ได้พุ่งกำปั้นไปเขกหัวของน้องสาวของเขาอย่างแรงทีหนึ่งเข้าเสียก่อน
โป๊ก!
“โอ๊ย—!? อะไรกันอ่ะพี่นากา!? ก็พี่เอริกะเขาบอกว่าสงสัยตรงไหนก็ให้ถามได้ไม่ใช่หรอ!?”
“ก่อนจะถามอะไรเธอก็หัดคิดก่อนซะบ้างสิว่ามันจะไปมีจริงได้ยังไงน่ะ!!”
“ฮะฮะ เอาน่าๆ นากาคุง ยังไงซะฉันก็เป็นคนบอกว่าให้ถามได้จริงๆ นั่นแหล่ะ~”
เอริกะที่เห็นว่าสองพี่น้องได้หันไปรังแกกันเองอีกครั้งหนึ่งแล้วได้หลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะถือโอกาสในการพูดอธิบายออกมาให้ทุกคนฟังไปด้วย
“ถึงเรื่องนี้มันจะเป็นแค่ตำนานเกี่ยวกับต้นกำเนิดของคริสตัลวิซที่เขาเล่าต่อๆ กันมาเฉยๆ ก็เถอะแต่ว่ามันก็มีคนที่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงอยู่ด้วยเหมือนกันน่ะ เพราะว่ามันมีหลักฐานเป็นทะเลมรกตที่อยู่ติดกับหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่าหมู่บ้านโมริโกะที่ตั้งอยู่สุดขอบทวีปทางฝั่งตะวันตกน่ะสิ”
“หือ? ทะเลมรกตที่เธอพูดถึงนั่นหมายถึงไอ้ทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างหมู่บ้านของฉันนั่นน่ะนะ? ถึงพวกผู้ใหญ่จะบอกว่ามันอันตรายแล้วก็ห้ามไม่ให้ไปเล่นที่แถวๆ นั้นก็เถอะแต่ว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอกำลังเล่าอยู่ด้วยหรอน่ะ?”
นากาที่ได้ยินเอริกะพูดถึงชื่อของหมู่บ้านของพวกเขาออกมาได้พูดถามเธอกลับไปด้วยความแปลกใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วว่าสองพี่น้องเบื้องหน้าของเธอรู้จักกับอารอนที่เป็นเพื่อนเก่าของเธอมาได้ยังไง
“อ๋อ พวกนากาคุงมาจากหมู่บ้านโมริโกะเองหรอเนี่ย ก็ว่าสิว่าทำไมถึงรู้จักกับอารอนได้น่ะ… ส่วนเรื่องทุ่งหญ้านั่นเอาเป็นว่าเธอฟังเรื่องเล่าต่อไปก่อนสิแล้วเดี๋ยวก็จะเข้าใจเองน่ะ~”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้อลิซยื่นมือไปคว้าคุ๊กกี้จำนวนหนึ่งออกมาจากขวดโหลและยัดมันใส่เข้าไปในปากของพรีมูล่าจนทำให้เด็กสาวผมชมพูหยุดร้องโวยวายในพริบตาเป็นโอกาสให้เอริกะได้เล่าเรื่องตำนานของคริสตัลวิซของเธอออกมาต่อ
“อะแฮ่ม ถ้างั้นฉันจะเล่าต่อเลยก็แล้วกันนะ~ และแล้วหลังจากที่เทวทูตทั้งสองเสด็จลงมายังโลกมนุษย์พวกเขาก็ได้ดึงพลังของสรวงสวรรค์ส่วนหนึ่งมาใส่เอาไว้ในผืนดินจนทำให้มันแปรสภาพกลายเป็นก้อนคริสตัลที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกระจายกันไปทั่วทั้งโลก
และหลังจากนั้นเทวทูตทั้งสองก็ได้สอนให้มนุษย์รู้จักถึงพลังวิซที่พวกเขามีอยู่ในตัวรวมถึงวิธีการที่พวกเขาจะสามารถใช้งานมันผ่านคริสตัลที่เพิ่งจะก่อกำเนิดจนทำให้มนุษย์สามารถใช้งานและพัฒนาคริสตัลวิซให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันของพวกเขาได้
อีกทั้งเทวทูตทั้งสองก็ยังได้บอกเตือนเหล่ามนุษย์เกี่ยวกับมหันตภัยร้ายที่จะหวนคืนกลับมาอีกครั้งหนึ่งถ้าเกิดว่าเหล่ามนุษย์ยังคงดำรงชีวิตด้วยสงครามและการแย่งชิงเหมือนเดิมต่อไป จนทำให้เหล่ามนุษย์ที่ได้ยินแบบนั้นได้หันหน้าเข้าหากันและพยายามที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากในตอนแรกเพราะว่าแต่ละประเทศเองก็มีทั้งภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเองแต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถทำสำเร็จได้ด้วยการสร้างภาษาใหม่ที่เกิดจากนำภาษาต่างๆ ของแต่ละประเทศมาดัดแปลงควบรวมกันจนเป็นภาษาเดียวที่ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลาถึงนับสิบนับร้อยปีกว่าจะสำเร็จก็ตาม
และหลังจากนั้นเหล่ามนุษย์ก็ได้พยายามที่จะทำลายอคติต่างๆ ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชนชาติหรือว่าธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ จนทำให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็นเขตๆ ให้คนกลุ่มเดียวกันหรือคนประเภทเดียวต้องจับกลุ่มอยู่ด้วยกันเองเท่านั้น
และเพื่อเป็นการขอบคุณเทวทูตทั้งสองที่ลดตัวลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อช่วยเหลือพวกเขานั้น เหล่ามนุษย์ก็ได้ตัดสินใจที่จะสร้างเมืองขนาดใหญ่โตมโหฬารขึ้นมาด้วยความรู้ต่างๆ ที่พวกเขาได้รับมาจากเทวทูตทั้งสองและตั้งชื่อมันว่าเมือง ‘อีเรสเต้’ ก่อนจะยกมันให้เทวทูตทั้งสองปกครอง
แต่ถึงอย่างนั้นเทวทูตชายหญิงก็กลับยกเมืองอีเรสเต้คืนให้กับเหล่ามนุษย์ที่ร่วมมือกันสร้างมันขึ้นมาเพื่อที่เหล่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้มีสถานที่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตก่อนที่เทวทูตทั้งสองจะเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัยและใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับเหล่าชาวบ้านธรรมดาอยู่อย่างเงียบๆ เช่นเดิม…
แต่แล้วหลังจากที่เวลาได้เลยผ่านไปอีกหลายสิบปี เทพเจ้าผู้สร้างก็ได้พบว่ามีเทวทูตของพระองค์ได้หายตัวไปจากสรวงสวรรค์อีกทั้งเหล่ามนุษย์ที่ควรจะสูญสิ้นเองก็ยังคงดำรงอยู่ และเมื่อเทพพระเจ้าผู้สร้างได้รับรู้ว่ามันเป็นเพราะเทวทูตสั้งสองของพระองค์เองที่แอบลงไปช่วยเหลือเหล่ามนุษย์เข้า พระองค์ก็ทรงไม่พอใจเป็นอย่างมากและตัดสินใจที่จะแก้ไขโชคชะตาของเหล่ามนุษย์ที่ถูกเทวทูตทั้งสองบิดเบือนไปให้กลับเป็นแบบเดิม
โดยอันดับแรกพระองค์ได้ทรงดึงพลังจากสรวงสวรรค์ที่ถูกส่งลงไปยังพื้นโลกกลับไปจนทำให้การก่อตัวของคริสตัลที่ถูกเหล่ามนุษย์เรียกว่าคริสตัลวิซหยุดชะงักไป และในไม่ช้าก็เร็วตัวคริสตัลที่เหลืออยู่ก็จะถูกเหล่ามนุษย์ขุดขึ้นมาใช้จนหมดสิ้นจนทำให้มนุษย์เริ่มที่จะกลับไปทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกันอีกครั้งหนึ่ง และทำให้มหันตภัยครั้งใหม่ก่อตัวขึ้นมากวาดล้างมนุษยชาติให้หายไปอย่างที่มันควรจะเป็น
ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีที่เทวทูตทั้งสองได้สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับพลังของสรวงสวรรค์ที่พวกเขาดึงลงมาใช้ได้อย่างทันท่วงที เทวทูตทั้งสองจึงได้รีบเดินทางไปยังเมืองอีเรสเต้และมอบคำเตือนเกี่ยวกับแผนการของเทพเจ้าผู้สร้างให้กับเหล่ามนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูราวกับว่าความประสงค์ของเทพเจ้าผู้สร้างนั้นถือเป็นที่สิ้นสุด เพราะไม่ว่าเหล่ามนุษย์และเทวทูตทั้งสองจะพยายามสักแค่ไหนพวกเขาก็ไม่สามารถหยุดหรือว่าชะลอการลดลงของคริสตัลพวกนั้นได้เลย
จนในที่สุดแล้วเทวทูตหญิงก็ได้เสนอทางออกทางสุดท้ายขึ้นมาให้เทวทูตชายฟัง ซึ่งวิธีที่เธอกล่าวออกมานั้นก็คือการให้เทวทูตชายใช้พลังของเขาแบ่งแยกร่างกาย วิญญาณ และความทรงจำของเธอออกเป็นหกส่วน
และตัวตนของเธอที่ถูกแยกออกเป็นหกส่วนที่จะมีธาตุแตกต่างกันไปนั้นก็จะส่งพลังออกไปกระตุ้นให้โลกใบนี้สร้างคริสตัลของแต่ละธาตุขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังจากสรวงสวรรค์อีกต่อไป
ซึ่งมันก็เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเทวทูตชายได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบปฏิเสธความคิดนั้นไปในทันที เพราะว่านั่นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการที่เขาจะต้องฆ่าเทวทูตหญิงที่เป็นคนรักของเขาด้วยมือของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่ายิ่งเวลาเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ปริมาณคริสตัลที่หลงเหลืออยู่บนโลกก็ยิ่งลดน้อยลงจนเป็นที่สังเกตได้จนทำให้เทวทูตชายไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากการที่เขาจะต้องทำตามแผนการที่เทวทูตหญิงเสนอขึ้นมาทั้งน้ำตา
เขาจึงได้แบ่งแยก ร่างกาย วิญญาณ และความทรงจำของเธอออกเป็นหกส่วน ที่ว่ากันว่าแต่ละส่วนของเธอนั้นได้แปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะบางส่วนเหมือนกับสัตว์แตกต่างกันไปตามลักษณะนิสัยของเธอ
โดยมีสองคนที่มีหูและหางของสัตว์น้อยขนฟูน่าเอ็นดู อีกสองคนที่มีเขาสัตว์อันแข็งแกร่งประดับอยู่บนศีรษะ และอีกสองคนที่มีปีกประดับไว้บนแผ่นหลังที่ทำให้พวกเขาสามารถโบยบินไปบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ
ซึ่งทั้งหกคนก็ได้กระจายตัวกันออกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อใช้พลังของพวกเขากระตุ้นกระบวนการก่อตัวของคริสตัลขึ้นมาใหม่และหลงเหลือเอาไว้เพียงแค่เทวทูตชายที่โศกเศร้าอาวรณ์อยู่ที่เมืองอีเรสเต้เพียงลำพัง
และในขณะที่เหล่ามนุษย์กำลังดีใจที่แผนการของเทวทูตชายหญิงประสบผลสำเร็จและจัดงานเฉลิมฉลองให้แก่เทวทูตทั้งสองอย่างใหญ่โตนั้น ทางด้านเทวทูตชายก็ได้เดินทางออกจากเมืองอีเรสเต้ไปอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครได้พบเห็นเขาอีกเลย
และหลังจากที่งานเฉลิมฉลองอันใหญ่โตได้ผ่านพ้นไป เหล่ามนุษย์ทั้งหลายก็ได้พบว่าได้มีมนุษย์ที่มีหูและหางหรือว่าเขาบนศีรษะแบบเดียวกับเศษเสี้ยวของเทวทูตหญิงปรากฏตัวขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกมุมโลก
บ้างก็เล่าว่าเป็นฝีมือของเทวทูตชายที่สร้างพวกเขาขึ้นมาให้เป็นเพื่อนกับเศษเสี้ยวของเทวทูตหญิงที่กระจายตัวกันออกไป บ้างก็ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของมนุษย์
ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนแรกเหล่ามนุษย์ธรรมดาๆ จะรู้สึกหวาดระแวงกับรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันของมนุษย์ที่มีส่วนหนึ่งของสัตว์อยู่บนร่างกายอยู่บ้าง แต่ว่าสุดท้ายแล้วด้วยความที่พวกเขามีลักษณะเหมือนกับเศษเสี้ยวของเทวทูตหญิงที่คอยช่วยเหลือพวกเขามาตลอดอีกทั้งเหล่ามนุษย์ดั้งเดิมเองก็เคยผ่านอะไรมามากมายจนทำให้พวกเขายอมเปิดใจยอมรับมนุษย์ที่มีหูและหางรวมถึงเขาบนศีรษะได้เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา
แต่ถึงแบบนั้นช่วงเวลาอันแสนสงบสุขก็เหมือนว่าจะไม่ชอบอยู่เคียงข้างเหล่ามนุษย์สักเท่าไหร่นักเมื่อเทพเจ้าผู้สร้างได้รับรู้ว่าเทวทูตทั้งสองได้ช่วยเหลือมวลมนุษย์หลีกเลี่ยงมหันตภัยร้ายเป็นผลสำเร็จได้อีกครั้งครา จนทำให้พระองค์ตัดสินใจที่จะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเองแทนการเฝ้ารอแบบเดิม
ซึ่งเทพเจ้าผู้สร้างก็ได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์และก้าวย่างลงสู่ผืนดินที่สุดเขตแดนทางตะวันตกพร้อมกับกองทัพเทวทูตสวรรค์และเทวดานับล้านองค์และบุกเข้าโจมตีเมืองต่างๆ ไล่ไปทางทิศตะวันออกเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว หลงเหลือเอาไว้เพียงทุ่งหญ้าขจีที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตในทุกๆ ก้าวย่างที่พระองค์เดินผ่าน
แต่ว่าสุดท้ายแล้วการโจมตีของพระองค์ก็ได้หยุดชะงักลงที่เมืองอีเรสเต้ที่กองทัพของพระองค์ถูกหยุดเอาไว้ด้วยกองทัพของผู้กล้าจากทั่วทุกสารทิศที่มารวมตัวกันเพื่อปักหลักป้องกันเมืองหลวงแห่งนี้เอาไว้
แต่ถึงแม้ว่าเหล่ามนุษย์ที่ปักหลักอยู่ในเมืองอีเรสเต้จะมีจำนวนมากและเต็มไปด้วยเหล่าทหารกล้ามากฝีมือหลายสิบหลายร้อยกลุ่ม แต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาให้ประชาชนขึ้นเรือหลบหนีไปยังแผ่นดินผืนอื่นที่อยู่อีกฟากหนึ่งของขอบฟ้าเพียงเท่านั้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะสามารถเอาชนะกองทัพจากสรวงสวรรค์ได้เลย
และหลังจากที่เหล่าผู้กล้าได้ร่วมแรงร่วมใจกันยืนหยัดต่อต้านกองทัพของเทพเจ้าผู้สร้างจนเวลาเลยผ่านไปนานนับเดือน พวกเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับกองทัพเทวทูตสวรรค์และเทวดานับล้านที่ถาโถมบุกเข้ามาอย่างไม่จบไม่สิ้นจนในที่สุดเมืองอีเรสเต้ก็ได้พังทลายลงและเหล่าผู้กล้าก็ได้พากันทยอยอพยพหลบหนีไปทางทิศตะวันออกเพื่อเดินทางไปตั้งหลักที่เมืองใหญ่เมืองสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ซึ่งในระหว่างการโจมตีที่เมืองอีเรสเต้นั้นสองในหกของเศษเสี้ยวของเทวทูตหญิงที่เดินทางมาช่วยเหลือเหล่ามนุษย์เองก็ได้พ่ายแพ้ให้กับเทพเจ้าผู้สร้างและถูกสังหารไปจนทำให้พลังที่ถูกส่งไปค้ำจุนกระบวนการก่อตัวของคริสตัลเริ่มที่จะเสียสมดุลไปอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้สมดุลของกระบวนการก่อตัวของคริสตัลทั้งหมดพังทลายลงมา แต่ว่ามันก็ทำให้คริสตัลธาตุน้ำแข็งและธาตุไฟฟ้ามีปริมาณลดลงไปอย่างน่าใจหายอีกทั้งยังทำให้ผู้ที่เกิดมามีวิซของสองธาตุนั้นมีจำนวนลดลงตามไปอีกด้วย
ส่วนประชาชนและกองกำลังต่างๆ ที่แตกพ่ายมาจากเมืองอีเรสเต้และเดินทางหลบหนีไปทางทิศตะวันออกเองก็ได้เดินทางมาจนถึงเมืองรีมินัสที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงแค่เมืองไร้ชื่อเสียงเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออก
แต่ทว่าภายในเมืองเล็กๆ ที่พวกเขาคิดจะใช้เป็นที่พักผ่อนก่อนจะออกเดินทางไปยังเมืองใหญ่ทางตะวันออกนี้เอง เหล่าผู้กล้าที่รอดชีวิตมาจากเมืองอีเรสเต้ก็ได้พบเข้ากับเทวทูตชายที่หลบมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาเนื่องด้วยความโศกเศร้าที่เขาจำเป็นจะต้องคร่าชีวิตของคนรักด้วยมือของเขาเอง
ซึ่งเหล่าผู้กล้าที่บังเอิญได้มาพบเจอกับเทวทูตชายอีกครั้งหนึ่งต่างก็ไม่รอช้าที่จะรีบร้องขอความเมตตาจากเขาในทันที…
ว่ากันว่าผู้กล้าจากเมืองอีเรสเต้ได้ใช้เวลากว่าสามวันสามคืนเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เทวทูตชายคลายความเศร้าโศกลงในขณะที่เพื่อนๆ ผู้กล้าของเขาก็ได้รวบรวมกองกำลังออกไปคอยต่อสู้ถ่วงเวลากองทัพของเทพเจ้าผู้สร้างเอาไว้อย่างยากลำบาก
และในที่สุดแล้วเทวทูตชายก็ได้ตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเหล่ามนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้ปกป้องเศษเสี้ยวของคนรักของเขาที่ยังคงหลงเหลืออยู่
เทวทูตชายได้ลุกขึ้นมานำเหล่าผู้กล้าและกองกัพทหารของมวลมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่บุกเข้าปะทะกับกองทัพนับล้านของเทพเจ้าผู้สร้างและบุกทะลวงเข้าไปถึงใจกลางของกองทัพสวรรค์ได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ทว่าตัวเทพเจ้าผู้สร้างนั้นก็กลับทรงพลังเกินไปจนเทวทูตชายและเหล่าผู้กล้าไม่อาจเอาชนะได้ และในช่วงวินาทีที่เหล่าผู้กล้ากำลังจะถูกเทพเจ้าผู้สร้างสังหารนั้นเอง เทวทูตชายก็ได้ตัดสินใจที่จะสละชีวิตนิรันด์ของตนเองเพื่อผนึกเทพเจ้าผู้สร้างและกองทัพของพระองค์เอาไว้ไม่ให้ออกมายุ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้ได้อีกพร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายกับเหล่าผู้กล้าเอาไว้ว่า
‘พลังและชีวิตนิรันด์ของข้าจะคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่เหล่ามิตรสหายของข้านั้นยังคงยืนหยัดไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหลัง… แต่หากเมื่อใดที่โลกนี้ไร้ซึ่งมิตรสหายของข้าและได้ทอดทิ้งความหวังทั้งมวลไป เมื่อนั้นเทพเจ้าผู้สร้างจะกลับมาเพื่อลงทัณฑ์โลกใบนี้อีกครา’
ทันทีที่เทวทูตชายกล่าวจบ ร่างของเขาและเทพเจ้าผู้สร้างรวมถึงกองทัพเทวทูตสววรค์กับเทวดานับล้านองค์ก็ได้ค่อยๆ สลายหายไปเหลือเพียงละอองแสงที่ปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว
และเมื่อเทพเจ้าผู้สร้างกับกองทัพสวรรค์ของพระองค์ถูกปิดผนึกไป สงครามระหว่างมนุษย์และสรวงสวรรค์จึงได้ยุติลงไปในที่สุด และหลังจากนั้นเมืองรีมินัสที่เทวทูตชายหลบมาใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ก็ได้ถูกเรียกขานว่าเป็นแสงแห่งความหวังและปราการด่านสุดท้ายของมนุษย์ชาติก่อนจะถูกยกให้กับหนึ่งในเหล่าผู้กล้าปกครอง… จบ”
ในขณะที่นากากำลังนั่งฟังนิทานของเอริกะอยู่เพลินๆ นั้น อยู่ดีๆ เอริกะก็พูดตัดมันจบลงไปอย่างห้วนๆ จนทำให้นากาที่รู้สึกว่ามันฟังดูขาดๆ เหลือๆ อย่างบอกไม่ถูกต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความมึนงง
“หะ—? จบแล้วหรอ? มันไม่ดูห้วนๆ ไปหรอน่ะ?”
“แหม่~ ก็เอาจริงๆ แล้วมันเป็นตำนานที่เขาเอาไว้เล่าให้พวกเด็กๆ ฟังกันก่อนนอนน่ะสิ นี่ยาวตั้งขนาดนี้ปกติพวกเด็กๆ เขาก็หลับกันไปหมดแล้วนั่นแหล่ะ~”
“ง—งั้นหรอ… ว่าแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับทะเลมรกตที่เธอพูดถึงล่ะนั่น?”
“อ๋อ ก็เขาว่ากันว่าทางทิศตะวันตกของทวีปที่ถูกเทพเจ้าทำลายไปนั่นมันกลายเป็นพื้นที่ว่างๆ โล่งๆ ที่ไม่มีแม้แต่กระทั่งวิซเหลืออยู่เลยน่ะสิ แล้วบังเอิญว่าที่ทะเลมรกตที่อยู่ข้างๆ หมู่บ้านของพวกเธอมันดันเป็นทุ่งหญ้าไร้วิซที่ฟังดูเหมือนกับพื้นที่ที่ถูกเทพเจ้าทำลายไปเข้าพอดี คนเขาก็เลยบอกกันว่ามันเป็นหลักฐานที่ว่าตำนานนั่นมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ไง~”
คำตอบทีเล่นทีจริงของเอริกะได้ทำให้นากาได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองเธออยู่ชั่วขณะเพราะสำหรับเขาแล้ว เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะคนแต่งตำนานเห็นว่าทะเลมรกตที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แต่กลับไร้ซึ่งพลังวิซที่ปกติแล้วควรจะมีอยู่ในธรรมชาติรอบตัวจนคนเข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกพอดีก็เลยใส่มันเข้าไปในเรื่องเล่าให้กองทัพเทพเจ้าฟังดูอันตรายมากขึ้นเฉยๆ ก็เป็นไปได้
ส่วนสาเหตุที่ทะเลมรกตถูกผู้คนเรียกกันว่าเป็นเขตแดนอันตรายนั้นมันก็เป็นเพราะว่าเหล่าผู้คนที่เดินทางเข้าไปสำรวจด้านในทะเลมรกตต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าถูกดูดพลังวิซออกไปจากร่างกายจนต้องรีบเดินทางกลับออกมาก่อนที่จะได้ล้มพับลงไปเพราะอาการขาดแคลนพลังวิซที่มักจะเกิดขึ้นภายในเวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมง
“จะว่าไปแล้วหมู่บ้านของพวกนากาตั้งอยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าแบบนั้นมันจะไม่เป็นอันตรายหรือไงน่ะ?”
ทันใดนั้นเองอลิซที่ได้ยินคำอธิบายของเอริกะเองก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อยและหันขวับไปพูดบอกนากาและพรีมูล่าที่นั่งอยู่ข้างๆ กันขึ้นมา
“ฉันก็แค่อยากรู้เอาไว้เป็นข้อมูลเฉยๆ นั่นล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นห่วงหมู่บ้านของพวกนายหรืออะไรหรอกนะ”
“เอ๋ะ? อ—อื้ม”
ในขณะที่นากาที่กำลังยกน้ำส้มขึ้นมาดื่มได้แต่มึนงงกับท่าทีของอลิซที่ไม่รู้ว่ากำลังจะสื่ออะไรออกมากันแน่อยู่นั้น ทางด้านเอริกะก็ได้ก้มหน้านึกอยู่ชั่วขณะแล้วจึงพูดตอบคำถามของเด็กสาวผมสีขาวออกมา
“ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก เพราะหมู่บ้านโมริโกะนั่นแหล่ะที่เป็นหลักฐานว่าโลกใบนี้กำลังฟื้นตัวขึ้นมาทีละนิดน่ะ เพราะเห็นเขาว่ากันว่าเมื่อก่อนตรงแถวๆ หมู่บ้านโมริโกะเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลมรกตมาก่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ก็กลายเป็นป่าไปแล้วแถมยังมีคนเข้าไปสร้างหมู่บ้านข้างในนั้นกันแล้วน่ะ”
“เห~ จริงหรอ หนูไม่เห็นรู้เรื่องเลยอ้ะ!”
“อย่างเธอนี่เคยสนใจจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรอน่ะ… แต่ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็คือว่าต่อให้หมู่บ้านของพวกนากาจะอยู่ใกล้กับทะเลมรกตขนาดนั้นก็ไม่เป็นอันตรายอะไรงั้นสินะ?”
“อื้ม ก็ถ้าตำนานนั่นมันเป็นความจริงล่ะก็นะ~”
เอริกะยักไหล่พูดตอบคำถามของอลิซกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนที่เธอจะคว้าแก้วน้ำส้มของเธอขึ้นมาและยกมันขึ้นมาดื่มในขณะที่ทางด้านเด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนก็ได้หันไปพูดคุยกันเองแทน
“แต่ว่าตำนานนั่นมันก็น่าจะเป็นแค่เรื่องเล่าเฉยๆ จริงมั้ยล่ะ เพราะฉันว่ามันฟังเกินจริงไปเยอะอยู่นะ ที่ว่ากองทัพของเทพเจ้ามีจำนวนเป็นล้านนั่นน่ะ”
“แต่ถ้าเกิดว่าตำนานเป็นจริงมันก็ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมคริสตัลวิซธาตุน้ำแข็งของหนูมันถึงได้หายากขนาดนี้ไม่ใช่หรอพี่นากา?”
“หะ? นี่เธอได้นั่งฟังที่เอริกะเขาเล่าด้วยหรอน่ะพรีมูล่า? ทีตอนเรียนหนังสือที่โรงเรียนไม่เห็นเธอจะตั้งใจฟังอะไรพวกอาจารย์เขาเลยนี่”
ในขณะที่สองพี่น้องจากหมู่บ้านโมริโกะกำลังพูดคุยกันเองอยู่นั้นทางด้านอลิซก็กลับทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนกับว่าเธอไม่ค่อยจะถูกใจเรื่องของตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าผู้สร้างอะไรนั่นสักเท่าไหร่นัก
และทันใดนั้นเองเอริกะที่ได้ยินคำพูดของสองพี่น้องก็ได้ยื่นหน้าเข้ามาพูดบอกพวกเขาด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบจนดูน่าสงสัย
“อ่ะๆ จะว่าไปแล้วฉันเองก็เคยได้ยินข่าวลือจากในวังหลวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตำนานที่ฉันเล่าไปนั่นอยู่ด้วยเหมือนกันนะ พวกเธอสนใจจะลองฟังดูมั้ยเอ่ย~ แต่ถ้าได้ฟังแล้วต่อให้จะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อก็อย่าเผลอเอาไปพูดให้คนอื่นได้ยินเข้าล่ะเพราะไม่งั้นเดี๋ยวอาจจะมีคนมาหิ้วตัวไปเลยก็ได้น๊า~”
“ข่าวลืองั้นหรอ?”
“เฮ้ พรีมูล่า… ตรงนู้นมีตัวอะไรวิ่งอยู่ด้วยน่ะ”
“เอ๊ะ? เอ๋ะ? ไหนๆ อะไรอ่ะพี่อลิซ”
ในขณะที่นากามีท่าทีสนใจเรื่องข่าวลือของเอริกะอยู่ไม่ใช่น้อยนั้น อยู่ๆ อลิซก็ได้สะกิดเรียกพรีมูล่าให้หันมาสนใจเธอและชี้บอกอีกฝ่ายไปทางด้านนอกประตูกระจกแบบเลื่อนบานใหญ่ที่อยู่ติดกับโซฟาจนทำให้พรีมูล่าที่ได้ยินแบบนั้นเดินไปเกาะอยู่กับตัวประตูกระจกท่าทีสนอกสนใจ
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้นากาเลิกคิ้วมองดูด้วยอลิซความประหลาดใจที่อีกฝ่ายสามารถจับจุดจนสามารถเอ่ยปากไล่พรีมูล่าให้ไปสนใจทางอื่นได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีไร้เดียงสาของพรีมูล่าและยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกทั้งสองคนที่เหลืออยู่เบาๆ
“คืองี้นะ ด้านในวังหลวงน่ะเขาลือกันให้ทั่วมาได้สักพักนึงแล้วล่ะว่าพระราชาที่ครองบัลลังก์ของรีมินัสอยู่ในตอนนี้เป็นคนเดียวกับผู้กล้าที่ได้รับเลือกให้เป็นพระราชาในเรื่องเล่านั่นน่ะสิ~”
“เอ๋ะ— แต่แบบนั้นมันก็หมายความว่าพระราชาคนนั้นก็น่าจะอายุเป็นร้อยไม่ก็เป็นพันปีแล้วไม่ใช่หรือไงน่ะ?”
“อื้อ… แต่ก็อย่างว่าแหล่ะว่ามันเป็นแค่ข่าวลือน่ะ ที่คนเขาลือกันแบบนี้มันเพราะว่าพระราชาของเมืองรีมินัสน่ะแทบจะไม่เคยออกมาให้ใครเห็นตัวเลยน่ะสิ เวลามีเรื่องอะไรก็มักจะส่งแต่ผู้แทนพระองค์ออกมา หรืออย่างมากที่สุดก็น่าจะเป็นการส่งพระราชสาสน์ลงพระนามออกมาสั่งงานนั่นแหล่ะ~”
“หา? ทั้งๆ ที่เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในเมืองแบบนั้นแต่ดันไม่ยอมออกมาเจอหน้าใครเลยเนี่ยนะ ทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันเนี่ย”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากาหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความแปลกใจจนทำให้เอริกะต้องรีบเอ่ยปากเตือนเด็กหนุ่มกลับไป
“จุ๊ๆ อย่าส่งเสียงดังแบบนั้นสินากาคุง ฉันยังไม่อยากให้พวกอัศวินหลวงบุกมาเคาะประตูบ้านหรอกนะ~”
“อ—อื้อ โทษที… ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าเรื่องเล่าของเธอมันเกี่ยวอะไรกับของที่โดยขโมยไปหรือว่าคำพูดแปลกๆ ของอารอนก่อนที่เขาจะกลับไปล่ะนั่น?”
“อ๋อ~ ก็เรื่องที่ฉันเล่าไปมันมีเรื่องที่ว่าเทวทูตหญิงโดนคนรักแยกออกเป็นหกส่วน แล้วสองในหกนั้นก็โดนเทพเจ้าสังหารไปในระหว่างการสู้รบใช่มั้ยล่ะ”
“อื้ม เพราะแบบนั้นเทวทูตชายก็เลยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือมนุษย์อีกครั้งนึงใช่มั้ยล่ะ แต่เรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับกระปุกแช่ของกลมๆ ที่เธอบอกว่ามันหายไปล่ะ?”
นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริกะได้แต่ต้องถามเธอกลับไปด้วยความมึนงงเพราะไม่ว่าเขาจะคิดยังไงมันก็ฟังดูไม่ได้เกี่ยวข้องกับของของเอริกะที่หายไปเลยแม้แต่น้อย
“ก็นั่นแหล่ะๆ ก็นับตั้งนั้นมาผู้คนก็เลยเรียกเศษเสี้ยวทั้งหกของเทวทูตหญิงกันว่า หกเทพผู้พิทักษ์หรืออะไรประมาณนั้นน่ะ ถึงจริงๆ แล้วจะเหลือแค่สี่เทพไปแล้วก็เถอะนะ~”
เอริกะพูดอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดตลกนิดๆ ก่อนที่เธอจะต้องสะดุ้งไปกับสายตาดุๆ ของอลิซที่ตวัดกลับมาจ้องมองเธอเหมือนกับว่าเธอไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่จนทำให้เอริกะต้องรีบพูดกลับเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว
“ส่วนเรื่องที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับของที่หายไปยังไงนั่นมันก็… เขาว่ากันว่าเศษเสี้ยวของเทวทูตหญิงทั้งสองที่ถูกเทพเจ้าสังหารไปนั่นน่ะ ตัวเทพเจ้าผู้สร้างเป็นคนลงมือปลดปล่อยพลังเต็มที่ใส่ทั้งคู่เองกับมือเพื่อจัดการทั้งสองคนไปพร้อมๆ กัน ก็เลยทำให้ร่างกายของทั้งคู่… เอ่อ… แตกสลายกระจัดกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ จนไม่เหลือพลังเพื่อค้ำจุนกระบวนการสร้างคริสตัลวิซขึ้นมาใหม่อีกต่อไปน่ะ”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้อลิซเบ้ปากเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางอื่นในขณะที่ทางด้านนากาก็นึกถึงคำว่า ‘โหลแช่ลูกตา’ ที่อลิซพูดบอกเอริกะไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้และทำหน้าสะอิดสะเอียนขึ้นมานิดๆ
“งั้นไอ้กระปุกแก้วที่เธอบอกว่ามันมีของกลมๆ ลอยอยู่ข้างในนั่นมันก็…”
“ช่าย~ ฉันหมายถึงกระปุกแก้วที่มีลูกตาจริงๆ ลอยอยู่ข้างในนั่นแหล่ะ~”
“ล–แล้วทำไมเธอถึงเก็บของแบบนั้นเอาไว้ในบ้านกันล่ะหะ!?”
“แหม่~ ก็ลูกตานั่นมันอาจจะเป็นลูกตาของเทพพิทักษ์เลยก็ได้นะ~ พอรู้แบบนี้แล้วจะอดใจไม่เก็บมันเอาไว้ได้ยังไงล่ะ~”
เอริกะยืดอกและยกมือขึ้นมาดันแว่นของตัวเองพูดตอบนากากลับไปด้วยท่าทีภาคภูมิใจก่อนที่เธอจะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วจึงพูดบอกความจริงกับเขาไปเมื่อเห็นว่านากากำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาประหลาดๆ
“หุ… เอาจริงๆ แล้วมันเป็นของที่มีคนเอามาฝากไว้กับฉันเฉยๆ ต่างหากล่ะ~ ฉันไม่ได้หมกมุ่นเรื่องตำนานหรือนิทานขนาดที่จะไปหาของแบบนั้นมาเก็บเอาไว้เองหรอกนะ~”
คำตอบของเอริกะได้ทำให้นากาผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวเบื้องหน้าของเขาจะสามารถพูดจาล้อเล่นออกมาหน้าตายได้แบบนั้น ส่วนทางด้านเอริกะเองที่เห็นว่าเธอสามารถหลอกให้นากาหลงเชื่อได้เป็นผลสำเร็จก็ได้โคลงหัวเล็กน้อยด้วยความอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านพรีมูล่าที่แทบจะเอาหน้าตัวเองไปแนบกับหน้าต่างอยู่แล้วและพูดถามเด็กสาวขึ้นมา
“มองหาอะไรอยู่หรอพรีมจัง~?”
“ก็พี่อลิซเขาบอกว่าเห็นตัวอะไรไม่รู้วิ่งอยู่ในสวนอ่ะ แต่หนูมองหามาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นจะเจอตัวอะไรเลยอ่ะ!”
“เห… งั้นจะลองออกไปวิ่งหาในสวนดูมั้ยล่ะ?”
เอริกะพูดตอบพรีมูล่าที่หันกลับมาพูดตอบเธออย่างใสซื่อและยื่นมือไปเลื่อนเปิดประตูกระจกให้เด็กสาวออกไปวิ่งเล่นด้านนอกจนทำให้อลิซที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะหันไปพูดบอกนากาเบาๆ
“น้องสาวนายนี่จะหลอกง่ายไปไหนน่ะ…”
“เรื่องนั้นฉันก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันนั่นล่ะ… ถ้ายังไงก็ระวังพรีมูล่าทำสวนของเธอเละด้วยล่ะเอริกะ”
“แหม่~ ก็แค่สวนเองนี่ ถ้ามันเละก็เอาไว้ค่อยจัดใหม่ก็ได้ ตอนนี้ปล่อยให้พรีมจังเขาไปวิ่งเล่นทำความคุ้นเคยกับสวนของฉันไปก่อนดีกว่า~”
“เธอก็พูดอย่างกับว่ายัยเอ๋อนั่นเป็นหมาที่เพิ่งจะย้ายมาบ้านใหม่เลยนะ…”
อลิซพูดตอบเอริกะกลับไปในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้เดินกลับมานั่งลงที่โซฟาตามเดิมจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ว่าแต่ถ้าลูกตาในกระปุกแก้วของเธอนั่นเป็นลูกตาของหกเทพพิทักษ์จริงๆ แถมยังเป็นของที่คนอื่นเอามาฝากเธอไว้แบบนี้นี่เธอจะไม่กังวลที่มันหายไปสักหน่อยหรอน่ะ?”
“ก็ยังไงซะมันก็ไม่ใช่ของของฉันอยู่แล้วนี่ แถมเจ้าของของมันเองก็ยังทำท่าเหมือนกับว่าจะไม่สนใจมันอีกตะหาก แล้วแบบนี้จะให้ฉันร้อนรนแทนเขาไปทำไมล่ะ~”
เอริกะยักไหล่พูดตอบนากากลับไปด้วยท่าทีสบายๆ ตามเดิมและคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มแล้วจึงค่อยพูดออกมาต่ออีกครั้ง
“ฮ่า~ อีกอย่างนึงเจ้าของลูกตานั่นเขาก็บอกฉันเอาไว้ว่าถ้าเกิดคนที่ขโมยมันไปเอามันไปทำอะไรไม่เข้าท่าเดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ได้ซวยกันเองนั่นแหล่ะ~”
“ถ้าเธอว่าแบบนั้นงั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน…”
ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเอริกะได้ทำให้อลิซแทบจะถอนหายใจออกมาในขณะที่ทางด้านนากาเองก็ได้แต่เห็นด้วยกับคำพูดของสาวๆ ทั้งสองคน
“อืม… ถ้าเกิดว่าขนาดเจ้าของเขายังว่าแบบนั้นงั้นถ้าเราจะไปเดือดร้อนแทนมันก็ไม่ใช่เรื่องสินะ…”
“จะว่าไปฉันก็เล่านิทานจบไปแล้วแบบนี้ แล้วไหนละของดีที่เธอบอกว่าจะมีให้ฉันดูน่ะอลิซจัง~”
ทันใดนั้นเองเอริกะที่กำลังดื่มน้ำส้มอยู่อย่างชื่นใจก็ได้เอ่ยปากทวงสัญญาของอลิซขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวนจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและพูดตอบหญิงสาวกลับไปอย่างไม่มีความเกรงกลัว
“หึ… ถ้าเธอสนใจขนาดนั้นล่ะก็ฉันจะแสดงให้ดูตอนนี้เลยก็ได้นะ”
หลังจากที่สิ้นเสียงพูดของอลิซเธอก็ได้ยื่นมือเรียวเล็กของเธอออกมาเบื้องหน้าและสร้างละอองแสงจำนวนหนึ่งขึ้นมาสร้างเป็นดาบสีขาวที่มีชื่อว่าพลาฟด้า ดูเวร่าของเธอแล้วจึงหันกลับไปจ้องหน้าเอริกะและพูดขึ้นมาอย่างถือดี
“ว่าไงล่ะ… อย่าบอกนะว่าเธอเห็นแบบนี้แล้วไม่สนใจน่ะ”
“……..”
เอริกะที่ได้ยินคำถามของอลิซยังคงนิ่งเงียบและเบิ่งตากว้างด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เธอเห็นอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งน้ำส้มในแก้วของเธอเกือบจะไหลหยดลงมาเอริกะจึงตั้งสติได้และพูดถามเด็กสาวผมสีขาวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดพร้อมกับพุ่งมือเข้าไปในเสื้อกาวน์ของตัวเองเหมือนกับว่าจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา
“ธ—เธอไปได้มันมาจากไหน…”
“ก็จากคนที่เธอก็รู้จักดีไงล่ะ”
“เดี๋ยวๆๆๆ นี่พวกเธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย!?”
ในขณะที่เอริกะกับอลิซกำลังจ้องมองกันอยู่แบบไม่วางตานั้นทางด้านนากาที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอันตรายราวกับว่าสาวๆ ทั้งสองคนกำลังจะชักอาวุธออกมาต่อสู้กันก็ได้เอ่ยปากพูดขัดจังหวะของทั้งสองคนขึ้นมาเสียงดังจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นละสายตาออกมาจากเอริกะและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เอาเป็นว่าเอาไว้ว่างๆ พวกเราค่อยมาคุยกันก็แล้วกัน… ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรอไง?”
คำพูดของอลิซได้ทำให้เอริกะขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่ท่าทางของเธอจะกลับไปเป็นหญิงสาวขี้เล่นอีกครั้งหนึ่งและทำท่าทางเหมือนกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แอ๊ดดดดดดดด—-
แต่ว่าก่อนที่เอริกะจะได้เอ่ยปากพูดขึ้นมานั้นอยู่ๆ เสียงกระดิ่งของตัวบ้านก็ได้ดังขึ้นมาเรียกความสนใจของทุกคนไปจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นพูดบ่นขึ้นมาด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง
“วันนี้นี่แขกเยอะจังเลยแฮะ~ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันมาแป๊บนึงนะ~”
“อ—อ่า แล้วเธอจะให้พวกฉันช่วยอะไรหรือเปล่า?”
“แหม่~ ไม่ต้องหรอกหน่านากาคุง ฉันแค่ไปเปิดประตูรับแขกเองนะ~”
เอริกะหันกลับมาส่งยิ้มให้กับนากาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเปิดประตูบ้านออกไปและชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่าผู้มาเยือนในครั้งนี้ก็คือ เวก้า รีวิซ ที่เพิ่งจะขอตัวกลับไปเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง
ซึ่งในครั้งนี้นอกจากตัวเวก้าเองแล้ว ด้านหลังของเขาก็ยังมีกลุ่มอัศวินอีกห้าหกคนยืนเกาะกลุ่มกันอยู่อีกด้วยจนทำให้เอริกะได้แต่ต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“คุณเวก้า? นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะ?”
“พอดีว่าทางวังเขาแจ้งมาว่ามีอุปกรณ์รุ่นต้นแบบหายไปจากห้องเก็บผลงานหมายเลขหนึ่งของคุณเอริกะโดยไม่ทราบสาเหตุอีกแล้วน่ะครับ ถึงผมจะคิดว่าครั้งนี้ไม่น่าจะใช่ฝีมือของคุณเอริกะก็เถอะ แต่ถ้ายังไงผมก็ขอคงจะต้องความร่วมมือจากคุณเอริกะในการตรวจค้นครั้งนี้เหมือนกับทุกๆ ทีด้วยก็แล้วกันนะครับ”