บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 101 Attested Commitment
“ระเบิดไปซะยัยสับปะรด!!”
เปรี๊ยะ–เปรี๊ยะ—!!
โมโกะที่กำลังตื่นตกใจหลังจากที่เธอโดนพิเน๊ะโผล่ออกมาจากผืนดินและปักมีดเข้าใส่ด้วยท่าทีเหมือนกับว่าอยากจะฆ่ากันให้ตายนั้นได้ตะโกนขึ้นมาสุดเสียงพร้อมกับอัดวิซจำนวนมากเข้าไปในตัวตลับกระสุนที่กำลังปริร้าวเพื่อเร่งกระบวนการระเบิดของมันด้วยความลืมตัวจนทำให้ตัวคริสตัลที่อยู่ด้านในตลับกระสุนส่องแสงสว่างจ้าทะลุลอดผ่านช่องว่างเล็กๆ ที่เป็นรอยต่อของตัวตลับกระสุนออกมาอย่างชัดเจน
ฟวับ—
แต่ว่าทันทีที่อลิซสังเกตเห็นได้ถึงสิ่งที่โมโกะกำลังคิดจะทำอยู่ เธอก็ได้พุ่งตัวเข้ามาฟาดมือเข้าใส่ข้อมือของพิเน๊ะอย่างรุนแรงจนทำให้สองมือของพิเน๊ะที่กุมด้ามมีดทำครัวของเธอเอาไว้แน่นคลายออกมา ก่อนที่อลิซจะรีบคว้าเอาตลับกระสุนที่มีมีดทำครัวปักคาเอาไว้แน่นมาถือเอาไว้และดึงเอาตัวมีดทำครัวของพิเน๊ะออกมาจากตลับกระสุนที่กำลังส่องแสงสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้รักษาอาวุธของพิเน๊ะเอาไว้ไม่ให้มันโดนทำลายหรือว่าเกิดความเสียหายไปพร้อมกับการระเบิดของตลับกระสุนนั้นด้วย
เพล้ง—
แต่ว่าก่อนที่อลิซจะได้จัดการโยนตลับกระสุนในมือทิ้งไปให้พ้นตัว ตัวตลับกระสุนก็ได้ส่งเสียงปริแตกออกมาอย่างรุนแรงราวจนดูราวกับว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เธอดึงออกมาไม่ใช่มีดทำครัวแต่ว่าเป็นสลักระเบิดต่างหาก ซึ่งอลิซที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ต้องรีบยื่นมือข้างที่ถือตลับกระสุนเอาไว้ให้ออกห่างไปจากร่างกายส่วนอื่นๆ ที่สุดเพื่อที่จะได้ลดโอกาสที่จะเกิดอาการบาดเจ็บกับอวัยวะส่วนอื่นๆ แทน
ตู้ม!!!
“อึ๊ก—!?
“อาจารย์? / อลิซ—!?”
เสียงร้องของเด็กนักเรียนทั้งสองคนที่ดังขึ้นมาให้อลิซได้ยินได้ทำให้อลิซตัดสินใจที่จะซุกมือข้างที่บาดเจ็บจากการระเบิดเข้าไปซ่อนเอาไว้ด้านในกระเป๋ากระโปรงในทันทีก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดกับเด็กนักเรียนผู้ที่เป็นต้นเหตุทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“การสอบของพวกเธอสิ้นสุดแค่นี้ล่ะ พวกเธอไปให้อารอนตรวจดูอาการได้แล้ว”
“ม… มือของเธอเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะอลิซ…”
“จะสลบแหล่ไม่สลบแหล่อยู่แล้วยังจะมีหน้ามาห่วงคนอื่นอีกนะ! อารอน! มาหิ้วตัวยัยแมวระเบิดนี่ไปตรวจอาการทีซิ!”
อลิซที่ได้ยินคำถามจากโมโกะที่รีบผุดลุกขึ้นมาสอบถามเธอด้วยความเป็นห่วงได้เหลือบตามองโมโกะที่ยืนโงนเงนตาปรือเหมือนจะสลบลงไปได้ทุกเมื่อเนื่องจากอาการโอเวอร์ฮีตได้พูดตอกกลับโมโกะกลับไปพร้อมกับร้องเรียกอารอนให้รีบๆ เข้ามาดูอาการของเด็กสาวผู้ที่ชอบทำอะไรเสี่ยงอันตรายคนนี้
ซึ่งทางด้านอารอนที่ได้ยินเสียงเรียกก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับคาร์เทียร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวจนทำให้เด็กสาวผมสีเทารีบออกวิ่งเข้าไปทางโมโกะที่ล้มตัวลงไปนอนแผ่อยู่กับพื้นอีกครั้งแล้วในทันที
“พี่โมโกะยังไหวอยู่หรือเปล่าคะ!? ต้องให้หนูช่วยอุ้มไปหรือเปล่า!?”
“รู้สึกเหมือนตาจะปิดได้ตลอดเวลาเลยแหล่ะ…”
“อาการพื้นฐานของการใช้วิซมากเกินไป… ถ้ายังไงฉันฝากเธอพาโมโกะกับพิเน๊ะเขาไปตรวจดูอาการที่ห้องพยาบาลหน่อยก็ละกันนะคาร์เทียร์…”
“รับทราบค่ะ! ถ้างั้นพี่พิเน๊ะมาช่วยหนูแบกพี่โมโกะไปด้วยกันหน่อยสิคะ!”
“คิกคิกคิก~”
พิเน๊ะที่ถูกคาร์เทียขอร้องให้ช่วยอุ้มตัวโมโกะไปยังห้องพยาบาลได้ส่งเสียงหัวเราะตอบกลับมาเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสองคนช่วยกันหิ้วตัวโมโกะที่หมดสติไปแล้วกับปืนกลเบาทั้งสองกระบอกของเธอไปทางห้องพยาบาลกัน
ส่วนทางด้านอารอนที่ไม่ได้เข้าไปช่วยทำการรักษานั้นก็ได้เดินตรงเข้าไปทางอลิซจนทำให้เด็กสาวผมสีขาวแอบสะดุ้งไปเล็กน้อยและทำเป็นพูดถามเขาขึ้นมาด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
“อะไร? นายจะไม่ไปช่วยคาร์เทียร์เขาดูอาการของยัยแมวขโมยนั่นหรือไง?”
“ทางด้านนั้นน่ะคาร์เทียร์เขาดูแลไหวอยู่แล้ว… เรื่องที่น่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นมันน่าจะเป็นเรื่องมือของเธอซะมากกว่าล่ะมั้ง…”
“…เฮ้อ…ให้ตายสิ”
อลิซที่ได้ยินคำพูดของอารอนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เพราะดูท่าทางแล้วว่าอารอนคงจะไม่ยอมปล่อยตัวเธอไปจนกว่าเขาจะได้ตรวจดูมือของเธอที่รับแรงระเบิดเข้าไปจังๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเมื่ออลิซคิดได้แบบนั้น เธอก็ได้แต่ต้องยอมล้วงมือออกมาจากกระเป๋ากระโปรงและยื่นมันไปให้คุณหมออารอนตรวจดูอาการแต่โดยดี
“มีแผลไหม้จริงๆ ด้วย… นี่ยังโชคดีนะที่แรงระเบิดมันไม่ได้มากพอจนทำให้ตัวตลับกระสุนแตกเป็นเศษเล็กๆ ฝังเข้าไปในเนื้อน่ะไม่งั้นมีหวังได้มาเย็บแผลกันยาวแน่…”
“มันก็แค่แผลไหม้ไม่ใช่หรือไง ปล่อยมือฉันได้แล้วล่ะน่า! ฉันจะได้กลับขึ้นไปคุมพวกนักเรียนข้างบนต่อสักที เจ้าพวกนั้นเจออภินิหารแมวระเบิดของยัยโมโกะเข้าไปจนแตกตื่นกันไปหมดแล้วนะ!!”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวพออาจารย์อายะที่จะสอนพวกนากาในคาบถัดไปมาถึงก็น่าจะสงบกันไปเองนั่นล่ะน่า… อีกอย่างนึง… ในฐานะแพทย์แล้วฉันคงจะปล่อยเธอไปทั้งๆ ที่บาดเจ็บอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ…”
“นี่นายได้ดูตารางสอนมาแน่หรือเปล่าเนี่ยหะ? กว่าจะถึงคาบของอาจารย์อายะมันก็อีกตั้งชั่วโมงนึงนะ… นายคิดว่านากาหรือว่ายัยเอ๋อพรีมูล่านั่นจะยอมอยู่เฉยๆ ได้ถึงชั่วโมงนึงหรือไง…?”
“เฮ้อ… ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราแวะไปบอกอาจารย์อายะให้เริ่มทำการสอนก่อนเวลาที่ห้องพักครูแล้วก็ทำแผลที่นั่นไปเลยก็ได้… เพราะถ้าฉันจำไม่ผิดที่ห้องพักครูน่าจะมีกล่องพยาบาลสำหรับกรณีฉุกเฉินเตรียมพร้อมเอาไว้ให้ด้วยสินะ… เอาล่ะ… ไปกันได้แล้ว…”
อารอนที่คิดตามคำพูดของอลิซได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะถึงแม้ว่านากาน่าจะอดใจไม่ผลีผลามออกมาจากห้องเรียนจนกว่าจะถึงเวลาพักกลางวันได้ก็ตาม แต่เขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าเกิดไม่มีอาจารย์สักคนคอยคุมพรีมูล่าเอาไว้ล่ะก็เด็กสาวผมชมพูคนนั้นจะต้องร้องโวยวายจนห้องเรียนแทบแตกเพื่อที่จะได้ลงมาดูอาการของเพื่อนของเธออย่างแน่นอน
“ฟู่ว… ถ้าเกิดว่าอารอนเขาตามอาจารย์อลิซไปแบบนั้นงั้นก็น่าจะหมายความว่าอาการของโมโกะไม่ได้หนักหนาอะไรมากนักหรอกค่ะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ”
“ง—งั้นเองหรอครับ… ถ้าคุณเอริกะว่าอย่างงั้นก็ได้แหล่ะครับ…”
ถึงแม้ว่าอารอนจะคาดเดาเอาไว้แล้วว่าพรีมูล่าน่าจะกำลังร้อนใจจนโวยวายเสียงดังที่เห็นเพื่อนของเธอถูกหามไปเข้าห้องพยาบาลของทางโรงเรียนเป็นครั้งที่สองก็ตามที แต่ว่าจริงๆ แล้วนอกจากตัวพรีมูล่าเองก็ยังมีคนอีกคนหนึ่งที่ร้อนใจเสียยิ่งกว่าจนแทบจะทนนั่งดูภาพการถ่ายทอดสดต่อไปอีกไม่ไหวและทำท่าเหมือนกับว่าจะรีบวิ่งออกไปยังห้องพยาบาลของโรงเรียนรีมินัสที่อยู่ห่างไปอีกมุมเมืองด้วยความเป็นห่วงอยู่ด้วยเช่นกัน
แต่ว่าก็โชคดีที่เอริกะได้ละสายตาไปจากอุปกรณ์ฉายภาพเบื้องหน้าเพื่อเหลือบไปดูท่าทีของคุณพ่อของโมโกะในตอนที่โมโกะระเบิดตัวเองไปอีกครั้งหนึ่งเข้าพอดีจนทำให้เธอสามารถคิดหาวิธีพูดเกลี้ยกล่อมให้คุณพ่อของโมโกะใจเย็นลงเพื่อรอดูสถานการณ์เอาไว้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกวิ่งไปยังโรงเรียนเข้าจริงๆ
และเมื่อเอริกะเห็นว่าคุณพ่อของโมโกะใจเย็นลงจนยอมเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้แล้วอีกทั้งการสอบของโมโกะเองก็จบลงไปด้วยดีเธอก็ไม่รอช้าที่จะยกมือขึ้นไปกดบนปุ่มที่ขาแว่นของเธอเพื่อสั่งหยุดการทำงานของเครื่องฉายภาพในทันที
“แล้วคุณพ่อคิดว่าไงบ้างล่ะคะ? เท่าที่ฉันดูแล้วพวกอาจารย์เขาก็พยายามดูแลลูกสาวของคุณพ่อจนถึงที่สุดจริงๆ ใช่มั้ยล่ะคะ~”
“เรื่องนั้น…ผมเองก็คงจะเถียงอะไรไม่ได้หรอกครับ”
“ถ้าอย่างงั้นคุณพ่อพอจะไว้วางใจให้โมโกะเขาเข้าเรียนแล้วก็อยู่อาศัยอยู่ที่รีมินัสนี่จนกว่าจะเรียนจบได้หรือยังล่ะคะ? ฉันขอรับรองเลยว่าต่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ อารอนที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ห้องพยาบาลจะสามารถดึงตัวโมโกะที่เป็นนักเรียนของโรงเรียนมาจากทางโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาให้ด้วยตัวเองได้อย่างแน่นอนค่ะ”
“อย่างนั้นเอง… หรอครับ…”
คุณพ่อของโมโกะพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ พร้อมกับก้มหน้าลงไปใช้ความคิดด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะล้วงเอาจี้ห้อยคอที่เขาสวมใส่เอาไว้ออกมาจ้องมองมันอย่างเงียบๆ
ซึ่งท่าทางของคุณพ่อของโมโกะนั้นก็ถึงกับทำให้เอริกะสะดุ้งไปเล็กน้อยพร้อมกับรีบพูดเกลี้ยกล่อมเขาออกมาอีกครั้งในทันทีเพราะดูเหมือนว่าเธอจะเผลอพูดอะไรบางอย่างออกไปจนทำให้เขานึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่เขาอาจจะไม่อยากนึกถึงขึ้นมาซะแล้ว
“ถ–ถ้าเกิดว่าคุณพ่อยังไม่วางใจแล้วอยากจะจับตาดูโมโกะต่อไปก่อนฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ! แต่ว่ายังไงฉันก็อยากจะให้คุณพ่อคิดตัดสินใจให้รอบคอบที่สุดเพราะว่าเรื่องนี้มันจะส่งผลต่อตัวของโมโกะจังเขาในระยะยาวด้วยน่ะค่ะ”
“เพื่อตัวของโมโกะเขาเองงั้นสินะครับ…”
หลังจากเวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ จนคาบการเรียนการสอนของอาจารย์อายะที่เข้ามายึดคาบเรียนของอลิซไปอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำการสอนลากยาวถึงสามคาบเรียนเช่นเดียวกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้หมดลง นากากับคอนแนลก็ถูกพรีมูล่าลากตัวออกไปจากห้องเรียนในทันทีที่เสียงระฆังบ่งบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้นมาเนื่องจากว่าในระหว่างคาบเรียนนั้นมีเพียงแค่พิเน๊ะที่ได้รับอนุญาตจากอารอนให้กลับขึ้นมาเข้าเรียนต่อไปได้
ซึ่งนากาและคอนแนลก็ถูกพรีมูล่าลากตัวไปจนถึงห้องพยาบาลในชั่วพริบตาจนพวกเขาแทบจะตั้งตัวไม่ทันก่อนที่ทันใดนั้นเองพรีมูล่าจะเลื่อนประตูห้องพยาบาลให้เปิดออกอย่างแรงและร้องเรียกชื่อของเพื่อนสาวหูแมวของเธอขึ้นมาเสียงดัง
ครืดดดดดด
“โมโกะจังงง~”
ป๊อก—
“แอ๊ก—!?”
“ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าส่งเสียงดังเวลามีคนป่วยอยู่น่ะ…”
อารอนที่ยืนดักรออยู่ที่ด้านหลังประตูได้พูดเตือนพรีมูล่าขึ้นมาพร้อมกับใช้สันมือสับลงไปที่กลางหัวของพรีมูล่าเข้าเต็มๆ แบบไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ที่เขาได้รับไหว้วานให้มาดูแลสองพี่น้องคู่นี้ แต่ว่าพรีมูล่าก็ยังคงกระทำแบบเดิมทุกครั้งไป
ส่วนทางด้านนากาที่เห็นว่าพรีมูล่าถูกอารอนจัดการจนเงียบเสียงลงไปแล้วแบบทุกครั้งเขาก็ได้ชะโงกหน้าเข้าไปด้านในห้องพยาบาลจนได้พบกับโมโกะที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงเข้าพอดี
“ว่าแต่ป่านนี้แล้วยัยนั่นยังไม่ตื่นอีกหรอน่ะอารอน?”
“เมื่อกี้นี้โมโกะเขาเพิ่งจะตื่นมาดื่มเกลือแร่ที่ฉันเตรียมเอาไว้ให้น่ะ… แต่ดูท่าทางว่าจะยังคงเพลียอยู่ก็เลยเพิ่งจะกลับไปนอนต่อก่อนที่พวกนายจะมาถึงแค่แป๊บเดียวเองน่ะ…”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นเดี๋ยวพวกฉันขอตัวไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อย—”
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
“—เฮ้ย!?”
เสียงของกระแสไฟฟ้าที่ดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมๆ กับที่นากาเหลือบไปเห็นคาร์เทียร์ที่กำลังถือแผ่นเหล็กติดมือจับสองอันไว้ในมือทั้งสองข้างอีกทั้งยังมีประกายไฟฟ้าสีทองประทุชิ่งไปมาระหว่างแผ่นเหล็กในมือของเธอถึงกับทำให้นากาสะดุ้งสุดตัวและรีบหลบไปอยู่หลังกรอบประตูในทันที ซึ่งท่าทางของนากานั้นก็ทำให้คอนแนลได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะชะโงกหน้าเขาไปดูด้านในห้องด้วยอีกคนหนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับนากา— เฮ้ย!?”
คอนแนลที่ชะโงกหน้าเข้าไปดูด้านในห้องได้หลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังและรีบหลบไปอยู่หลังกรอบประตูด้วยท่าทางเดียวกันนากาแบบไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนทางด้านคาร์เทียร์ที่เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคนมาเยี่ยมไข้ผู้ป่วยในห้องพยาบาลนั้นก็ได้รีบหยุดการฝึกฝนใช้พลังของเธอลงจนทำให้ดวงตาข้างหนึ่งของเธอที่กลายเป็นสีเหลืองทองและกำลังเรืองแสงออกมากลับกลายเป็นดวงตาสีฟ้าเหมือนกับปกติในทันที
“อ—อ่ะ— ขอโทษค่ะ–! พ—พอดีเมื่อกี้หนูไม่รู้ว่าพวกพี่เข้ามาน่ะค่ะ…”
“อ—อ่า ไม่เป็นไรหรอก คอนแนลเขาก็แค่ตกใจนึกว่าเสียงอะไรแปลกๆ เฉยๆ น่ะ”
นากาที่เผลอสะดุ้งตกใจนึกว่าคาร์เทียร์แอบใช้พลังเล่นจนคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้รีบพูดแก้ตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยอ้างชื่อของคอนแนลที่รีบพุ่งมาหลบอยู่หลังประตูเช่นเดียวกันแบบไม่ไว้หน้าอัศวินหนุ่มเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับมองดูอุปกรณ์อะไรสักอย่างในมือของคาร์เทียร์ด้วยท่าทีสนอกสนใจแบบปิดไม่มิด
และในขณะเดียวกันนั้นทางด้านอารอนที่กำลังยืนยิ้มมองดูท่าทางตื่นตระหนกของนากาอยู่ด้วยสายตาขบขันก็ได้พูดอธิบายถึงสิ่งที่คาร์เทียร์กำลังทำอยู่ขึ้นมาให้พวกเขาฟัง
“พอดีว่าฉันสั่งให้คาร์เทียร์เขาฝึกใช้อุปกรณ์อยู่น่ะ… เพราะนอกจากที่คาร์เทียร์จะได้ฝึกควบคุมวิซไปด้วยแล้วถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาตอนที่ฉันไม่อยู่ประจำที่ห้องพยาบาลจะได้มีคนที่ใช้งานของพวกนี้เป็นบ้างเผื่อเอาไว้น่ะ…”
“แผ่นเหล็กนั่นมันคืออุปกรณ์ทางการแพทย์หรอครับนั่น? ผมเพิ่งจะเคยเห็นของแบบนั้นเป็นครั้งแรกเลยนะครับ มันเอาไว้ใช้ทำอะไรล่ะครับเนี่ย?”
“อืม… มันก็…”
อารอนที่ถูกคอนแนลพูดถามขึ้นมานั้นได้ชะงักไปชั่วขณะอีกทั้งยังทำท่าเหมือนกับว่าไม่ต้องการที่จะพูดถึงสิ่งที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ของเขาทำได้สักเท่าไหร่นักก่อนที่ทันใดนั้นเองคาร์เทียร์จะเริ่มต้นฝึกฝนการใช้อุปกรณ์อันนั้นอีกครั้งด้วยการนำแผ่นเหล็กทั้งสองแผ่นมาจ่อกันใกล้ๆ จนทำให้มีกระแสไฟฟ้าสีเหลืองทองชิ่งไปมาระหว่างแผ่นเหล็กทั้งสองอันจนดูอันตรายไม่สมกับเป็นสิ่งที่ควรจะมาอยู่ในห้องพยาบาลเลยแม้แต่น้อย
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
“โหวววว~”
“นากานายจับตัวพรีมูล่าเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้เธอเข้าไปใกล้คาร์เทียร์ตอนนี้…”
เสียงร้องอย่างตื่นเต้นของพรีมูล่าที่ได้เห็นการใช้วิซธาตุไฟฟ้าที่หาตัวผู้ใช้มันได้ยากพอๆ กับวิซธาตุน้ำแข็งของเธอได้ทำให้อารอนฉวยโอกาสนี้ในการพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาในทันที แต่ว่าทางด้านนากาที่ยังคงรู้สึกสงสัยกับตัวอุปกรณ์ทางการแพทย์ของอารอนอยู่ก็ยังคงพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอยู่ดี
“อ่า พรีมูล่ากลับมานี่มา… ว่าแต่สรุปว่าแผ่นเหล็กสองอันนั่นมันทำอะไรได้ล่ะน่ะอารอน?”
“เฮ้อ… เอาเป็นว่ามันเป็นอะไรที่ฉันหวังว่าจะไม่ต้องมีโอกาสใช้งานมันก็แล้วกัน… เออใช่… เด็กคนที่ชื่อว่าพิเน๊ะนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนของโมโกะงั้นสินะ…?”
อารอนที่เห็นว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะติดเชื้อความคลั่งอุปกรณ์หรือสิ่งประดิฐษ์ใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาจากเอริกะเข้าซะแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและหาเรื่องพูดเปลี่ยนเรื่องที่น่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของทั้งสองคนได้ดีกว่าการทำตัวซนของพรีมูล่าขึ้นมา
ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลอยู่บ้างเมื่อนากาได้ละสายตาไปจากแผ่นเหล็กที่อยู่ในมือของคาร์เทียร์และเหลือบไปมองโมโกะที่ยังคงนอนสลบอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบคำถามของเขาออกมา
“หืม? พิเน๊ะหรอ? ไม่รู้สิ ก็อาจจะใช่ล่ะมั้ง… เท่าที่ฉันรู้มานี่ดูเหมือนว่าโมโกะเขาจะสนิทกับรีซาน่าแล้วรีซาน่าเขาก็เหมือนว่าจะเป็นเพื่อนกับพิเน๊ะน่ะ ทำไมหรอ มีอะไรหรือเปล่า?”
“อืม… พอดีว่าฉันมีอะไรอยากจะเตือนพวกนายที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นสักหน่อยน่ะ…”
“เตือน? ถึงพิเน๊ะเขาจะท่าทางแปลกๆ ไปสักหน่อยก็เถอะแต่ว่าก็ไม่ได้เป็นอันตรายกับคนอื่น… เอิ่ม… เอาจริงๆ หลังจากที่ฉันเห็นพิเน๊ะเขาจะจ้วงโมโกะด้วยมีดเมื่อตอนสอบตะกี้นี้ก็ชักจะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แล้วแฮะ…”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น… ที่ฉันพูดถึงคือเรื่องเงื่อนไขการเข้าเรียนของพวกเธอกับเอริกะต่างหากล่ะ…”
“เงื่อนไข? อ๋อ ที่ว่าฉันจะต้องทำงานให้เอริกะถ้าเกิดว่าเธอมีงานจะให้ฉันทำนั่นน่ะนะ? แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับพิเน๊ะล่ะ?”
นากาได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองนายแพทย์หนุ่มกลับไปด้วยความงงงวยจนทำให้อารอนที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของนากามาจากคาร์เทียร์ได้เป็นผลสำเร็จเดินไปหยิบเอาแฟ้มเอกสารที่อยู่บนโต๊ะของเขามาให้นากาลองอ่านดู
“อะไรล่ะเนี่ย? รายชื่อยาที่นายกะจะซื้อมาเก็บเผื่อไว้หรือไงน่ะอารอน?”
นากาที่รับแฟ้มเอกสารไปดูได้พูดถามขึ้นมาเมื่อเขาได้พบว่าสิ่งที่อยู่ในเอกสารก็คือรายชื่อของยาจำนวนมากที่เขาไม่รู้จัก แต่ว่าด้วยชื่อที่อ่านยากๆ ของพวกมันและคำอธิบายต่อท้ายที่ระบุเอาไว้ทำนองว่ามีผลระงับประสาทมันก็ทำให้เขามั่นใจได้ว่ามันคงจะเป็นรายชื่อของยาหลากหลายรายการอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่… รายชื่อนั่นมันคือรายชื่อของยาที่เด็กที่ชื่อว่าพิเน๊ะได้รับอยู่เป็นประจำต่างหากล่ะ… แล้วเมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะจับพิเน๊ะตรวจร่างกายเสร็จไป… ถ้าเกิดว่าผลมันออกมาเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ ล่ะก็มันอาจจะหมายความว่าทางโรงพยาบาลของเมืองนี้น่าจะแอบทำอะไรบางอย่างที่น่าเป็นห่วงกันอยู่น่ะ…”
“หา? ทั้งหมดนี่เลยน่ะนะ!?”
“ใช่…ที่ฉันอยากจะเตือนพวกเธอก็คือถ้าเกิดว่าผลมันออกมาเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ เอริกะก็อาจจะอยากส่งคนเข้าไปลองสืบดูที่ข้างในโรงพยาบาล… แล้วพวกเธอที่เป็นเพื่อนกับพิเน๊ะก็อาจจะโดนเอริกะมอบหมายงานนี้ให้น่ะ…”
“นี่คุณอารอนไปเอาข้อมูลอันนี้มาจากไหนกันครับเนี่ย—”
คอนแนลที่เพิ่งจะรับแฟ้มเอกสารมาจากนากาได้แต่ร้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะว่ารายชื่ออันนี้ดูยังไงมันก็เป็นสำเนาของเอกสารฉบับจริงที่ทางโรงพยาบาลของเมืองให้ความสำคัญมากอย่างแน่นอนเนื่องจากว่ามันเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัวของคนไข้
“ก็ได้มาจากทางโรงพยาบาลนั่นล่ะ… เอาจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นคนของเอริกะที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลน่ะ… พอดีว่าก่อนหน้านี้มีคนจากโรงพยาบาลมาพยายามติดต่อขอซื้อยาพวกนี้จากฉันแต่อยู่ๆ พวกเขาก็เงียบไป… ฉันเลยสงสัยว่าพวกเขาอาจจะได้ตัวยาไปแล้วแล้วก็เอาไปใช้ทำอะไรสักอย่างนึงก็เลยขอให้คนของเอริกะที่ทำงานอยู่ที่นั่นช่วยหาข้อมูลให้น่ะ…”
อารอนพูดอธิบายออกมาคร่าวๆ และหันไปลูบหัวของพรีมูล่าเพื่อดึงความสนใจของเธอมาจากคาร์เทียร์ที่กำลังฝึกใช้งานอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่เพื่อที่เด็กสาวผมชมพูจะได้ไม่เข้าไปรบกวนคาร์เทียร์ที่กำลังใช้สมาธิอยู่
และเมื่ออารอนเห็นว่านากาและคอนแนลได้ใช้เวลาตกตะลึงกับตัวยาจำนวนมากที่ถูกระบุเอาไว้บนหน้ากระดาษได้สักพักหนึ่งแล้วเขาจึงค่อยหันกลับมาพูดอธิบายให้ทั้งสองคนฟังต่อ
“แต่ก็นั่นแหล่ะ… ฉันแค่คิดว่ามันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่เอริกะจะมอบหมายงานสืบข้อมูลนี้ให้กับพวกเธอฉันก็เลยอยากจะเตือนเอาไว้ก่อนให้พวกเธอได้มีเวลาเตรียมตัวกันน่ะ… ถึงเอาจริงๆ แล้วเอริกะเขาน่าจะสั่งให้คนที่ทำงานอยู่ในโรงบาลคนนั้นไปสืบข้อมูลให้เขาเองก็เถอะนะ…”
“เดี๋ยวนะ— เมื่อกี้นี้ที่นายบอกว่าพิเน๊ะเขาได้รับยาพวกนี้เป็นประจำนี่นายอย่าบอกนะว่านายหมายถึงยาทั้งหมดในหน้ากระดาษนี่เลยน่ะอารอน!?”
“ใช่… แถมยาทั้งหมดนั่นมันก็แค่สำหรับช่วงเวลาหนึ่งเดือนด้วย… จริงๆ แล้วต่อให้จะเป็นผู้ป่วยติดเตียงอาการสาหัสขนาดไหนก็เถอะ…ปกติแล้วมันไม่มีหมอคนไหนคิดจะจ่ายยาเยอะขนาดนี้ให้กับคนไข้หรอกนะ…”
“ ‘ต่อให้พวกเขาจะไร้ฝีมือกันขนาดไหนจริงๆ ก็เถอะ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่หมอทุกคนจะต้องรู้อยู่แล้วว่ายาทุกชนิดมันมีผลข้างเคียง เพราะฉะนั้นการจ่ายยาเยอะขนาดนี้ให้กับคนไข้เพียงแค่คนเดียวมันมีแต่จะส่งผลเสียกับผู้ป่วยซะมากกว่า…’ คุณอารอนเขาบอกกับฉันเอาไว้แบบนี้น่ะค่ะ”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภายในห้องออฟฟิศของเอริกะเองก็มีเสียงของหญิงสาวผมสีขาวนัยน์ตาสีแดงที่มีชื่อว่า มีอา เอ่ยปากพูดกับเอริกะพร้อมกับวางเอกสารแผ่นหนึ่งลงไปบนโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง
ซึ่งเอริกะก็ได้หยิบเอาสารแผ่นนั้นขึ้นมาไล่อ่านดูอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“งั้นถ้าเกิดไม่ใช่ว่าพวกเขาไร้ฝีมือจริงๆ จนถึงขั้นไม่รู้เรื่องพื้นฐานที่อารอนพูดถึง มันก็คงจะหมายความว่าสิ่งที่พวกเขาหวังเอาไว้จากการจ่ายยาจำนวนขนาดนี้มันไม่ใช่การรักษางั้นสินะ?”
“ตอนที่ฉันเอาเอกสารไปส่งให้กับคุณอารอน เขาก็พูดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
“เฮ้อ… ถ้าคนเป็นหมอเขาพูดแบบนั้นงั้นก็น่าจะตามนั้นนั่นแหล่ะ…”
เอริกะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะดูท่าทางว่าเรื่องของยาจำนวนมากสำหรับผู้ป่วยหนึ่งคนนี้มันคงจะไม่ใช่การจ่ายยาผิดพลาดธรรมดาๆ ซะแล้ว ซึ่งการกระทำให้เอริกะนั้นก็ถึงกับทำให้ห้องออฟฟิศของเธอตกอยู่ภายใต้ความเงียบอยู่ชั่วขณะก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะจะลดแผ่นเอกสารในมือลงและเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองมีอาด้วยสายตาแพรวพราว
“ว่าแต่แล้วนี่คู่หูคนใหม่ของเธอเขารู้เรื่องนี้แล้วรึยังล่ะมีอา~?”
“เอ๋ะ— คู่หูคนใหม่ของฉันหรอคะ?”
มีอาที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้แต่พูดถามกลับไปด้วยความสับสนกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเพื่อพยายามเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะว่าตัวเธอเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคู่หูคนใหม่ที่ว่านั่นเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว ก็คุณหมอแร๊กน่าคนนั้นนั่นไง~ ฉันเพิ่งจะได้ข่าวมาว่าเธอได้ทำงานเป็นพยาบาลผู้ช่วยของเขาหลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อตอนนั้นขึ้นมานี่นา แถมถ้าข่าวที่ฉันได้รับมาไม่ผิดพลาดล่ะก็คุณหมอแร๊คน่าคนนั้นเขาก็มีส่วนร่วมในการดูแลคนไข้ที่เป็นนักเรียนของเอริซาเบธเขาด้วยนี่”
“อ๋อ ถ้าเกิดว่าเป็นเขาคนนั้นล่ะก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรอกนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ฉันก็ยังเห็นเขาเป็นห่วงนักเรียนคนที่ว่านั่นถึงขนาดเป็นคนอาสาพาไปส่งถึงที่บ้านหลังจากรักษาเสร็จด้วยตัวเองทั้งๆ ที่คุณหมอคนอื่นพยายามหลบหน้าพิเน๊ะเขาเลยนะคะ”
“เห~ นี่เธอถึงขั้นแอบตามไปดูเขาตอนหลังเลิกงานเลยงั้นหรอเนี่ย~ ถ้าจำไม่ผิดฉันยังไม่ได้สั่งให้เธอตรวจสอบอะไรเขาเลยไม่ใช่หรอ หรือว่าที่จริงแล้วเธอแค่แอบหึงที่เขาพาเด็กผู้หญิงออกไปสองต่อสองหลังเลิกงานน่ะ~?”
“อ–อ่ะ— พ–พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันคะคุณเอริกะ!? ฉ—ฉันก็แค่เห็นว่าเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เลยแอบจับตาดูแค่นั้นเองนะคะ!!”
มีอาที่ถูกเอริกะพูดจาหยอกล้อด้วยสายตาแพรวพราวก็เริ่มที่จะหน้าแดงก่ำขึ้นมาและรีบแยกเขี้ยวพูดแก้ตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้ว่าเอริกะจะถูกมีอาทำท่าทางไม่พอใจใส่กลับมาแบบนั้นเธอก็ยังคงพูดจาหยอกล้อกลับไปด้วยท่าทีรื่นเริงเหมือนกับที่เธอทำเป็นประจำอยู่ดี
“จ้าๆ ถ้าเธอว่าอย่างงั้นก็เอาตามนั้นเลยจ้ะ~ อ่ะ—ว่าแต่ที่เธอไม่ได้เถียงฉันเรื่องที่ฉันเรียกคุณหมอแร๊กน่าคนนั้นว่าคู่หูคนใหม่นี่หมายความว่าเธอยอมรับเขาเป็นคู่หูอีกคนนึงนอกจากเอริซาเบธเขาแล้วงั้นสินะ? ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นถ้าเกิดว่าพวกเธอมีความคืบหน้าอะไรขึ้นมาก็อย่าลืมมาบอกกันสักหน่อยด้วยละกันนะ~”
“ความคืบหน้าอะไรกันล่ะคะนั่น!? แล้วก็อย่าเอาคุณหมอแร๊กน่าเขาไปเทียบกับยัยเอรินั่นด้วยค่ะ! เพราะว่านอกจากเรื่องฝีมือแล้วยัยจิ้งจอกนั่นไม่ได้มีอะไรดีไปสักเท่าไหร่หรอกค่ะ!!”
“เห… แบบนี้นี่มันหมายความว่านอกจากเรื่องฝีมือแล้วคุณหมอแร๊กน่าเขาก็ยังมีดีเรื่องอื่นที่เอริซาเบธเขาไม่มีด้วยงั้นสินะเนี่ย? อื้มๆ เขาใจล่ะๆ”
“คุณเอริกะะะะะะะ!!”
“คิกคิก ล้อเล่นจ้าๆ เอาเป็นว่าฉันฝากเธอจับตาดูเรื่องการจ่ายยาของทางโรงพยาบาลที่ไปอีกสักพักนึงละกันนะ… เพราะถึงกลุ่มของพวกนากาจะยังว่างอยู่ก็เถอะแต่ว่าฉันก็ยังไม่อยากจะรบกวนชีวิตในวัยเรียนที่มีได้ครั้งเดียวในชีวิตของพวกเขาสักเท่าไหร่น่ะ…”
เอริกะที่เห็นว่ามีอาหน้าแดงก่ำเป็นมะเขือเทศได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยและรีบพูดสั่งงานออกไปก่อนที่มีอาจะได้มีโอกาสเดินเข้ามาเขกหัวของเธอแก้เขินจนทำให้มีอาที่เห็นว่าเอริกะสามารถดึงบทสนทนากลับไปเป็นเรื่องงานได้อย่างรวดเร็วได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่ง
“เฮ้อ… ถ้าเกิดคุณเอริกะคิดจะทำอย่างนั้นฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เพราะเอาจริงๆ แล้วฉันเองก็ไม่อยากจะให้เด็กๆ อย่างพวกนากาเขาต้องมาทำงานอะไรแบบนี้เหมือนกัน…”
“ฮะฮะ ก็นั่นสินะ… ถ้ายังไงเดี๋ยวเธอก็กลับไปพักก่อนเถอะมีอา เห็นว่าวันนี้เธอจะต้องเข้าเวรกะดึกด้วยไม่ใช่หรอ”
“รับทราบค่ะ ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะคุณเอริกะ อ่ะ—”
มีอาที่กำลังจะเดินไปทางประตูห้องได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอสังเกตสร้อยคอเส้นหนึ่งที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะของเอริกะ ซึ่งตัวสร้อยที่ถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนคริสตัลวิซสีเขียวที่ถูกเจียระไนจนมีลักษณะเหมือนกับแผ่นสี่เหลี่ยมและถูกร้อยเอาไว้ด้วยสายคล้องที่ทำจากเส้นเชือกเก่าๆ ธรรมดาๆ นั้นได้ทำให้มีอารู้สึกคุ้นตามันอย่างบอกไม่ถูกจนทำให้เธอถึงกับต้องเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ และเอ่ยปากถามเอริกะขึ้นมา
“เจ้านี่มัน… คุณเอริกะไปได้มันมาจากไหนหรอคะ?”
“หืม? เธอหมายถึงเจ้าสร้อยนี่น่ะหรอ? พอดีว่าแขกคนที่มาทำธุระเมื่อกี้นี้เขาฝากให้ฉันช่วยดัดแปลงมันให้หน่อยน่ะ เห็นเขาบอกว่าอยากจะให้มันดูทันสมัยเหมาะกับเด็กๆ สมัยนี้หรืออะไรแบบนั้นน่ะ มีอะไรหรือเปล่าหรอมีอา?”
“…เปล่าค่ะ แค่ว่าหน้าตามันคล้ายกับสร้อยคอของคนไข้คนนึงที่ฉันเคยเห็นตอนที่เอริซาเบธเขายังทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยกันน่ะค่ะ…”
“เห? แต่ฉันว่าสร้อยหน้าตาแบบนี้มันก็หาซื้อได้ทั่วไปอยู่แล้วนะ น่าจะแค่บังเอิญหน้าตาคล้ายๆ กันเฉยๆ ล่ะมั้ง”
“นั่นสินะคะ… ฉันเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ…”