บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 11
“คร๊ากกับเคย์ตั้นขึ้นไปชั้นสอง เอดดริกไปค้นที่ห้องนั่งเล่น คอนแนลกับรอนนี่ไปค้นหาในสวน ส่วนคุณเดเมี่ยมตามผมไปที่ห้องออฟฟิศของคุณเอริกะ ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องหาเจ้าอุปกรณ์นั่นให้เจอให้ได้ ทุกคนเข้าใจมั้ยครับ!”
“ครับ!!”
หลังจากที่เวก้าได้แจ้งจุดประสงค์ของเขากับเอริกะแล้วเขาก็ได้ยื่นม้วนกระดาษที่ประดับเอาไว้ด้วยลวดลายสีฟ้าออกมายื่นให้เอริกะลองอ่านดูแล้วจึงหันกลับไปพูดสั่งกลุ่มอัศวินที่เขาพามาด้วยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปค้นหาอุปกรณ์เจ้าปัญหาที่หายไปจากห้องเก็บอุปกรณ์รุ่นต้นแบบในวังหลวงก่อนที่เขาจะเดินตรงไปที่ห้องออฟฟิศของเอริกะพร้อมกับอัศวินอีกคนหนึ่งที่แต่งตัวหรูหรากว่าอัศวินคนอื่นๆ เล็กน้อย
ซึ่งเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ต้องเดินตามหลังเวก้าเข้าไปในห้องออฟฟิศของตัวเองพร้อมกับพูดบอกขุนนางหนุ่มไปด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
“ถ้าเป็นไปได้พอคุ้ยห้องออฟฟิศฉันกันเสร็จแล้วก็ช่วยเก็บของของฉันกลับคืนที่เดิมด้วยก็ดีนะคะ”
“เรื่องนั้นคุณเอริกะไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ น่ะนะครับ”
เวก้าได้หันกลับมาพูดตอบเอริกะด้วยท่าทีเป็นมิตรก่อนที่เขาจะชี้ไปที่กระจกหน้าต่างของห้องออฟฟิศที่ถูกเครื่องตัดกระจกเล่นงานไปจนเกิดเป็นช่องว่างวงกลมเล็กๆ และพูดถามตัวเจ้าของห้องขึ้นมา
“แล้ว… ที่หน้าต่างนั่นมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะครับคุณเอริกะ ทำไมมันถึงเป็นรูได้อย่างงั้นล่ะครับ?”
“เฮ้อ… จะพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะค่ะคุณเวก้า ฉันรู้นะคะว่าของที่หายไปจากห้องเก็บของน่ะมันคือเครื่องมือตัดกระจกรุ่นต้นแบบน่ะ… แต่คุณคิดจริงๆ หรอคะว่าคนอย่างฉันจะเผลอทำกุญแจห้องออฟฟิศหายก็เลยต้องไปแอบหยิบเอาเครื่องตัดกระจกมาเปิดหน้าต่างเข้ามาน่ะ?”
“เอ่อ… ถ้าเป็นคุณเอริกะล่ะก็มันก็ไม่แน่ล่ะมั้งครับ…”
“เอริกะ! เจ้าอัศวินสองคนตรงนี้เขาจะเข้าไปค้นในห้องนอนของเธอด้วยน่ะ เธอจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า!?”
แต่แล้วในขณะที่เวก้ากำลังเกาแก้มพูดตอบเอริกะกลับไปอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงตะโกนสอบถามของอลิซดังลงมาจากทางด้านบนชั้นสองจนทำให้เอริกะต้องชะโงกหน้าออกไปนอกประตูห้องเพื่อตะโกนตอบกลับไปเสียก่อน
“ไม่มีปัญหาจ้ะ! แต่ฝากเธอดูอย่าให้พวกเขาแอบหยิบเสื้อผ้าของฉันติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยละกัน ค้นดูได้แต่ห้ามเอากลับบ้านนะเข้าใจมั้ย~!”
“พวกผมไม่มีใครจะไปทำอะไรแบบนั้นหรอกครับคุณเอริกะ!”
นอกจากเสียงร้องตอบของเอริกะจะทำให้มีเสียงพูดบ่นแว่วๆ กลับมาจากชั้นสองของตัวบ้านแล้วมันก็ยังทำให้หนึ่งในอัศวินสวมแว่นผมสีทองที่ดูแล้วน่าจะยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินสำรวจบริเวณสวนอยู่อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างออฟฟิศเข้ามาพูดบอกเธอด้วยอีกคนหนึ่ง จนทำให้เอริกะที่หันไปเห็นผู้มาใหม่ได้หันไปทำมือขยุ้มๆ ใส่เขาพร้อมกับพูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท
“แหม่~ ถึงจะเป็นพวกอัศวินผู้ทรงเกียรติและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแต่ว่าภายใต้ชุดเกราะสีเงินเงาวับพวกนั้นก็ยังเป็นผู้ชายคนนึงอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ~ งั่ม~~”
“ฮะฮะ คุณเอริกะนี่ถึงจะเป็นเวลาแบบนี้ก็ยังขี้เล่นอยู่เหมือนเดิมเลยนะครับ”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้เวก้าที่กำลังค้นชั้นหนังสือของเอริกะอยู่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดี ในขณะที่ทางด้านเอริกะเองนั้นก็ยังคงหยอกล้ออัศวินหนุ่มผมทองอยู่ไม่เลิก
“อ๊ะ—อย่าบอกนะว่าที่คอนแนลคุงร้อนตัวแบบนี้นี่เป็นเพราะว่าเธออิจฉาพวกรุ่นพี่ที่ได้เข้าไปข้างในห้องฉันน่ะ? ว๊าย ไม่เอาน่าๆ ~”
“มันใช่แบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะครับ!!”
อัศวินสวมแว่นผู้ที่มีเส้นผมสีทองได้ขึ้นเสียงพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยใบหน้าที่ออกจะขึ้นสีนิดๆ และผลุบหัวหายไปจากหน้าต่างเพื่อหลบไปคุ้ยพุ่มไม้ที่อยู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงใสๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาให้เขาได้ยิน
“หื๊มมม~~~”
“…..?”
เสียงของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาด้วยความสนอกสนใจราวกับว่าเธอกำลังสงสัยว่าทำไมที่ตรงนี้ถึงมีเด็กหนุ่มผมสีทองสวมแว่นและสวมใส่เครื่องแบบอัศวินนั่งอยู่ได้ทำให้อัศวินหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองเธอด้วยความสงสัย
“เอ่อ… ไม่ทราบว่าคุณหนูมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”
“อื้อ! ทำไมพี่ถึงไม่ใส่หมวกเหมือนกับพี่อัศวินคนอื่นๆ ที่มาด้วยกันอ่ะ? เป็นอัศวินแต่แต่งตัวไม่เรียบร้อยแบบนี้นี่ใช้ไม่ได้เลยอ้ะ!”
“เอ๊ะ— เอ่อ…”
“ช่างทำชุดเกราะเขายังทำเครื่องแบบให้คอนแนลไม่เสร็จเพราะคอนแนลเขาเพิ่งจะมาเข้าประจำการได้ไม่นานน่ะครับคุณหนู”
ทันใดนั้นเองเดเมี่ยนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยอัศวินของเวก้าที่ได้ยินคำถามของพรีมูล่าก็ได้พูดตอบคำถามของเธอขึ้นมา ในขณะที่ทางด้านอัศวินสวมแว่นผมสีทองที่ดูผ่านๆ แล้วมีอายุใกล้เคียงกับนากาก็ได้เอ่ยปากพูดยืนยันขึ้นมาด้วยอีกคน
“อ่า มันก็ตามนั้นนั่นแหล่ะครับ”
“เห… ว่าแต่นี่พี่มาทำอะไรอยู่ที่ใต้พุ่มไม้นี่อ่ะ เอ่อ… พี่อัศวินใส่แว่นหัวสีทอง?”
“เอ่อ… ผมชื่อว่า คอนแนล ครับ เป็นหนึ่งในหน่วยอัศวินองครักษ์ของคุณเวก้า… ถ้ายังไงจะเรียกผมว่าคอนแนลเฉยๆ ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นะครับ เพราะดูแล้วอายุพวกเราน่าจะเท่าๆ กันเองนี่ครับ”
คอนแนลที่ได้ยินพรีมูล่าเรียกเขาด้วยชื่อประหลาดๆ ได้ผงะไปเล็กน้อยแล้วจึงรีบพูดแนะนำตัวขึ้นมาด้วยความรวดเร็วก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะโผล่มาที่หน้าต่างและใช้มือยีหัวของคอนแนลเล่นและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ใช่แล้วๆ เอาจริงๆ คอนแนลเขาก็เพิ่งจะเรียนจบชั้นต้นไปเมื่อเทอมที่แล้วเหมือนกับพวกเธอนั่นแหล่ะพรีมจัง แหม่~ พอพูดแบบนี้แล้วก็นึกถึงสมัยก่อนที่คอนแนลกับเพื่อนเขามาขอยืมสนามหญ้าบ้านฉันไปใช้ฝึกซ้อมมั่วๆ ซั่วๆ จนโดนเอริเขาจับไปฝึกจนหมดแรงจังเลยน๊า~~”
“ด—เดี๋ยวสิครับคุณเอริกะ อย่าเอาเรื่องตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้มาพูดต่อหน้าคนอื่นเขาแบบนี้สิครับ!”
“ฮิฮิ~ หนูเห็นพวกทหารหน้าเมืองเขาทำหน้าเข้มๆ ก็นึกว่าพวกอัศวินในวังเขาจะดูดุๆ น่ากลัวๆ กว่านี้ซะอีกอ่ะ แต่นี่พี่คอนแนลดูไม่เหมือนกับพวกอัศวินแบบที่หนูคิดเอาไว้เลยอ้ะ”
พรีมูล่าที่เห็นว่าคอนแนลที่ถูกเอริกะขยี้ผมจนยุ่งไปหมดกำลังร้องโวยวายออกมาใส่เอริกะอย่างเป็นกันเองได้หลุดหัวเราะออกมาจนทำให้คอนแนลชะงักไปเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองแก้เขิน ก่อนที่ทันใดนั้นเองเดเมี่ยนที่กำลังจ้องมองกล่องสี่เหลี่ยมจำนวนมากที่เคยตกเป็นของเล่นของพรีมูล่ามาก่อนด้วยท่าทีหวาดระแวงเล็กน้อยราวกับว่าไม่กล้าจะแตะต้องมันสักเท่าไหร่ก็ได้พูดอธิบายออกมาให้เด็กสาวผมชมพูฟัง
“เอาจริงๆ แล้วถ้าเกิดว่าเป็นตอนที่ต้องอยู่เวรเฝ้าปราสาทพวกเราก็ไม่ได้ผ่อนคลายกันแบบนี้หรอกนะครับคุณหนู แต่ว่าท่านเวก้าเขาไม่ค่อยเคร่งอะไรเรื่องนี้มาก แถมคุณเอริกะเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนพวกเราก็เลยไม่จำเป็นต้องเก๊กเข้มกันมากนักน่ะ ใช่มั้ยล่ะครับท่านเวก้า”
“ก็ตามนั้นล่ะครับ แต่ถึงผมจะไม่ว่าอะไรก็เถอะ แต่ว่าพอถึงเวลาจริงๆ แล้วพวกคุณก็รักษาภาพพจน์กันเอาไว้สักหน่อยก็ดีนะครับ เพราะถ้าเกิดว่ามีคนเห็นทุกคนทำตัวสบายๆ กันแบบนี้แล้วเอาไปแจ้งวังหลวงขึ้นมาเดี๋ยวพวกเราจะได้ซวยกันหมดนะครับนั่น”
ขุนนางหนุ่มเวก้าพูดตอบหัวหน้าอัศวินของเขากลับไปด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับว่าต่อให้เรื่องที่เขาพูดเตือนขึ้นมาจะเกิดขึ้นจริงเขาก็ไม่เป็นกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย
ส่วนทางด้านพรีมูล่าที่เห็นว่าพวกผู้ใหญ่กำลังพ่นคำพูดอะไรยาวๆ ยืดๆ ออกมานั้นก็ได้ละความสนใจออกมาจากเหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลายและเริ่มต้นก่อกวนการทำงานของอัศวินหนุ่มผมทองต่อในทันที
“นี่ๆ พี่คอนแนลคุ้ยหาอะไรอยู่อ่ะ? อ๊ะ—แล้วพี่คอนแนลจะเรียกหนูว่าพรีมูล่าเฉยๆ ก็ได้เหมือนกันนะพี่คอนแนล~”
ถึงแม้ว่าคอนแนลจะได้บอกพรีมูล่าไปแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องเรียกเขานำหน้าด้วยคำว่าพี่ แต่ว่าพรีมูล่าก็ยังคงเติมคำนำหน้าให้กับคอนแนลเข้าไปอยู่ดีจนทำให้คอนแนลที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ ด้วยความเอ็นดูแล้วจึงค่อยพูดตอบเธอกลับไป
“พอดีว่าเครื่องมือตัดกระจกรุ่นทดลองมันหายไปจากห้องเก็บผลงานของคุณเอริกะในวังน่ะครับ แล้วบังเอิญว่าคุณเอริกะเขาดันไปติดอันดับผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งสำหรับเหตุการณ์ราวๆ นี้ ทางเบื้องบนเขาก็เลยส่งคุณเวก้าให้มาค้นหาที่นี่น่ะครับ”
“อ๋อ! ถ้าเจ้า—”
“พรีมูล่า! อย่าไปกวนตอนที่คนอื่นเขาทำงานอยู่แบบนั้นสิ!”
ในชั่วขณะที่พรีมูล่ากำลังจะหลุดปากพูดอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรออกมาอยู่นั้น ทางด้านนากาที่ยืนหลบอยู่ใกล้ๆ เพื่อสังเกตการณ์เจ้าหนุ่มผมทองที่กำลังพูดคุยอยู่กับน้องสาวของเขาอยู่ก็ได้รีบก้าวเท้าออกมาพูดดุพรีมูล่าเสียงดังจนทำให้เด็กสาวต้องรีบพูดเถียงกลับไป
“เอ๋!? แต่หนูไม่ได้กวนอะไรพี่คอนแนลเขาสักหน่อยนะพี่นากา เนอะพี่คอนเนอะ เนอะ!”
“ก็รบกวนแค่นิดหน่อยเองนั่นแหล่ะครับ ผมไม่ถือหรอก”
“เห็นมะ! พี่คอนแนลเขายังบอกว่าหนูไม่ได้กวน— เดี๋ยวสิ! ตะกี้นี้พี่คอนแนลว่ายังไงนะ—!?”
“เฮ้อ… ยังไงก็ขอโทษที่น้องสาวของฉันเข้ามารบกวนนายด้วยละกัน นายชื่อว่าคอนแนลสินะ ฉันนากามูระเป็นพี่ชายของยัยพรีมูล่าเขาน่ะ ถ้ายังไงก็เรียกฉันสั้นๆ ว่านากาก็แล้วกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันครับนากา”
คอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สะกิดใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่พรีมูล่าเกือบจะหลุดปากออกมาก็ได้ยื่นมือออกไปจับมือของนากาโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก ในขณะที่ทางด้านเวก้าที่ได้พบว่าตัวเขาและเดเมี่ยนได้คุ้ยห้องออฟฟิศของเอริกะจนไม่เหลือส่วนไหนให้ค้นอีกแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดบอกเจ้าของห้องขึ้นมา
“ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้นะครับ… ถ้ายังไงเดี๋ยวผมกับคุณเดเมี่ยนขออนุญาตขึ้นไปช่วยคร๊ากกับเคย์ตั้นค้นหาที่ชั้นสองต่อเลยก็แล้วกันนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเอริกะจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
“แหม่~ ค้นซะขนาดนี้แล้วยังจะต้องขอกันอีกหรอคะ~ แต่ถ้ายังไงฉันก็คงจะต้องขอตามขึ้นไปเฝ้าดูด้วยเหมือนกันนะคะ พวกคุณจะได้ไม่เผลอไปคุ้ยโดนอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรจนมันระเบิดบึ๊มขึ้นมาน่ะค่ะ~”
“นี่คุณเอริกะแอบสร้างอะไรอันตรายๆ ขึ้นมาอีกแล้วหรอครับนั่น… อ๋อ คอนแนล ด้านนอกนั่นไม่น่าจะมีอะไรแล้วล่ะครับ คุณเข้ามาช่วยเก็บห้องออฟฟิศนี่ระหว่างที่พวกผมขึ้นไปค้นด้านบนนั่นดีกว่า แล้วก็ฝากบอกรอนนี่ให้เขาไปช่วยเอดดริกค้นในห้องครัวต่อด้วยนะครับ”
“ครับ!”
คอนแนลพูดตอบเวก้าที่เดินหายออกจากห้องออฟฟิศไปเสียงดังฟังชัดก่อนที่เขาจะเดินไปถ่ายทอดคำสั่งของเวก้าให้กับอัศวินอีกคนหนึ่งที่เดินสำรวจอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วจึงเดินกลับมาที่หน้าต่างห้องออฟฟิศของเอริกะและถอดรองเท้าเกราะเหล็กของเขาออกก่อนจะเหวี่ยงตัวเข้าไปด้านในห้องออฟฟิศอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชินเหมือนกับที่เขาเคยทำเป็นประจำในสมัยที่เขามาฝึกฝนที่บ้านของเอริกะในสมัยเด็กๆ
ซึ่งคอนแนลที่เผลอทำแบบนั้นไปด้วยความเคยตัวก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเมื่อเขาได้เห็นแววตาขบขันของเอริกะและทำท่าเหมือนกับว่าจะปีนกลับออกไปเดินเข้าตัวบ้านมาทางประตูหน้าดีๆ แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทำแบบนั้นเขาก็ได้พบว่าพรีมูล่าได้ถอดรองเท้าปีนตามเข้าออฟฟิศมาเหมือนกับว่าเอาเขาเป็นแบบอย่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หุ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวไปเฝ้าพวกคุณเวก้าเขาที่ชั้นสองก่อนก็แล้วกันเนอะ ถ้ายังไงฝากเธอเก็บกวาดห้องออฟฟิศของฉันให้ด้วยละกันนะคอนแนลคุง~”
“ครับผม…”
เสียงหลุดหัวเราะเบาๆ ของเอริกะทำให้คอนแนลได้แต่ต้องพูดตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงเจือนๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองนากาที่เดินเข้าตัวบ้านมาแบบคนปกติจะโผล่มาที่ประตูห้องออฟฟิศพร้อมๆ กับที่มีเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานของเอริกะ
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
“นั่นมันเสียงอะไรน่ะเอริกะ?”
นากาที่โผล่เข้ามาได้จังหวะพอดีได้พูดถามเจ้าของห้องขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะว่าเขาไม่เคยได้ยินเสียงอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่กำลังหันไปมองทางด้านโต๊ะทำงานของเธอด้วยท่าทีเบื่อๆ ต้องรีบพูดตอบเด็กหนุ่มกลับไปในทันที
“อ๋อ~ ไม่มีอะไรหรอก แค่ว่าอุปกรณ์ของฉันมันทำงานขึ้นมาพอดีเฉยๆ น่ะ~”
“คราวนี้เป็นอุปกรณ์อะไรกันอีกล่ะครับเนี่ย ทุกๆ ครั้งที่ผมมาที่นี่ผมก็เห็นคุณเอริกะสร้างของอะไรแปลกๆ ขึ้นมาใหม่แทบจะทุกรอบเลยนะครับนั่น”
“แหม่~ ก็ถ้านักประดิษฐ์ไม่ขยันสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ เขาจะเรียกตัวเองว่านักประดิษฐ์ได้ยังไงกันล่ะจริงมั้ย~”
เอริกะพูดตอบคอนแนลกลับไปก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปล้วงเอาแผ่นโลหะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานและใช้นิ้วจิ้มไปที่ทางด้านหนึ่งของมันจนทำให้ตัวอุปกรณ์ทางฝั่งนั้นเรืองแสงออกมา
ซึ่งเอริกะก็ได้จ้องมองดูมันอยู่ชั่วขณะแล้วจึงจิ้มเข้าไปที่อุปกรณ์ของเธออีกสองสามทีจนทำให้ตัวอุปกรณ์ของเธอเงียบเสียงลงไปพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… ฉันก็เคยบอกไปแล้วแท้ๆ นะ…”
หลังจากที่เอริกะพูดบ่นใส่ตัวออุปกรณ์ของตัวเองด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ จนเสร็จแล้วเธอก็ได้วางมันกลับลงไปในลิ้นชักอย่างส่งๆ และเลื่อนมันปิดกลับไปตามเดิมจนทำให้คอนแนลและนากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับคุณเอริกะ?”
“นั่นสิ เธอพักก่อนสักหน่อยดีกว่ามั้ยน่ะเอริกะ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้นี้เธอเพิ่งจะกลับมาถึงบ้านเองหรอกหรอ?”
“ไหนๆ พี่เอริกะไม่สบายหรอ? ไม่ได้นะๆ พี่นากาบอกว่าเวลาไม่สบายต้องเป็นเด็กดีแล้วก็นอนพักผ่อนจนกว่าจะหายดีนะ!”
เสียงร้องถามด้วยความเป็นห่วงของเด็กๆ ทั้งสามคนนั้นได้ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูก่อนที่เธอจะพูดตอบพวกเด็กๆ กลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“อ๋อ~ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ~ แค่ว่าเมื่อกี้นี้เพื่อนของฉันเขาติดต่อเข้ามาหาเฉยๆ น่ะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก ถ้ายังไงเดี๋ยวขอฉันตามคุณเวก้าเขาไปก่อนก็แล้วกันนะ~”
ทันทีที่เอริกะพูดจบเธอก็เดินตรงออกจากห้องออฟฟิศไปในทันทีโดยทิ้งให้เหล่าเด็กๆ แยกย้ายกันไปจัดเก็บห้องออฟฟิศที่ถูกรื้อค้นจนกระจุยกระจายกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“รับสายสักทีสิ…!! ฮัลโหลเอริกะ! ได้ยินหรือเปล่า!?”
ในขณะเดียวกันที่ด้านข้างกำแพงพระราชวังของเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไกลทางทิศเหนือของเมืองรีมินัสเองก็ได้มีเสียงร้องตะโกนด้วยความอารมณ์เสียของหญิงสาวร่างเล็กผมสีชมพูคนหนึ่งดังขึ้นมา
ซึ่งหญิงสาวผมสีชมพูที่แต่งตัวด้วยชุดเดรสสีขาวสวมทับด้วยเสื้อนอกสีดำเปิดไหล่ประดับลวดลายสีทองเล็กน้อยและสวมใส่รองเท้าบูตสีดำนั้นก็ได้ใช้มือของเธอที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ชายเสื้อนอกที่ยาวเกินตัวจิ้มไปที่แผ่นเหล็กสีดำติดกระจกแบบเดียวกับที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของเอริกะอย่างรุนแรงด้วยความหงุดหงิด
เก๊ง! เก๊ง! เก๊ง!
“พลปืนใหญ่เตรียมพร้อม!!”
แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ตะโกนใส่แผ่นเหล็กสีดำในมือของเธออีกครั้งหนึ่งนั้นเองก็ได้มีเสียงระฆังสัญญาณเตือนภัยของทางเมืองและเสียงร้องตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาเรียกความสนใจของเธอไปเสียก่อน
ซึ่งเมื่อหญิงสาวผมชมพูได้หันไปมองทางต้นเสียงเธอก็ได้พบเข้ากับกองทหารจำนวนหนึ่งที่เพิ่งจะช่วยกันเข็นปืนใหญ่มาตั้งเอาไว้ที่ด้านหน้าประตูของกำแพงปราสาทที่ปิดสนิทและกำลังพยายามยัดก้อนคริสตัลสีแดงขนาดใหญ่พอๆ กับตัวปากกระบอกปืนเข้าไปที่ด้านหลังของตัวปืนใหญ่กันอยู่
“ยิงได้!!!”
ในทันทีที่นายทหารผู้ที่เป็นหัวหน้าพูดสั่งขึ้นมาเสร็จ พลทหารปืนใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลังของเขาก็ได้ยื่นมือไปยังบริเวณด้านหลังของตัวปืนใหญ่เพื่อส่งพลังวิซของเขาออกไปกระตุ้นให้ก้อนคริสตัลที่ถูกใช้เป็นกระสุนทำงานจนทำให้ตัวปืนใหญ่พ่นกระสุนพลังงานวิซสีแดงขนาดใหญ่พุ่งตรงไปยังประตูไม้หนาหนักที่อยู่เบื้องหน้าอย่างรุนแรง
โคร๊ม!!
กระสุนพลังงานสีแดงที่ถูกส่งออกมาจากปากกระบอกปืนได้ทำให้ตัวประตูปราสาทที่ตกเป็นเป้าหมายของมันพังถล่มลงมาในทันทีก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีกลุ่มคนที่แต่งตัวเหมือนกับพวกขุนนางและพวกสาวใช้จำนวนมากรีบวิ่งทะลุกลุ่มควันที่ยังไม่ทันจะจางหายออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่นจนทำให้นายทหารที่เป็นหัวหน้าต้องรีบพูดสั่งงานลูกน้องของเขาออกมาในทันที
“หน่วยแพทย์แยกย้ายกันไปดูแลคนเจ็บ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดตามฉันมา!!”
หลังจากที่นายทหารหัวหน้าหน่วยพูดสั่งออกมาเสร็จแล้วเขาก็ได้ชักดาบที่เขาพกเอาไว้ด้วยออกมาและออกวิ่งนำเข้าไปด้านในเขตปราสาทด้วยความกล้าหาญโดยมีนายทหารคนอื่นๆ ที่ชักอาวุธของพวกเขาออกมาวิ่งตามหลังเขาเข้าไปพร้อมกับกู่ร้องตะโกนปลุกใจตนเองไปด้วยจนทำให้หญิงสาวผมสีชมพูที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องมองไล่หลังพวกเขาไปด้วยความกลุ้มใจ
“พวกเราไม่มีเวลาแล้วนะนิลิม! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!”
ในขณะที่หญิงสาวร่างเล็กผมสีชมพูยังคงคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์เบื้องหน้าดีนั้นก็ได้มีเสียงร้องตะโกนของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางเบื้องหลังจนทำให้หญิงสาวผมสีชมพูที่ถูกเรียกว่า นิลิม ต้องรีบพูดตอบกลับไปในทันที
“ใช่! ก็เพราะว่าพวกเราไม่มีเวลาแล้วฉันถึงยอมปล่อยให้เธอกลับเข้าไปข้างในนั้นไม่ได้ไง!!”
วี้~
“ที่ฉันพูดนั่นฉันหมายถึงว่าถ้าเธอยังใช้น้ำแข็งแช่ขาของฉันเอาไว้อย่างงี้พวกเราจะเข้าไปช่วยพวกทหารที่เพิ่งจะวิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้ไม่ทันต่างหากเล่า!!”
เจ้าของเสียงตะโกนที่เป็นหญิงสาวผมสีเขียวนัยน์ตาสีม่วงในชุดกระโปรงสั้นสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่เสื้อนอกสีดำที่มีลักษณะเหมือนกับชุดเครื่องแบบอะไรบางอย่างทับเอาไว้เหมือนกับผ้าคลุมนั้นได้แสดงท่าทีหงุดหงิดออกมาและพยายามที่จะสะบัดขาของเธอให้หลุดออกมาจากก้อนน้ำแข็งสีใสที่ยึดขาของเธอเอาไว้กับพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
ปึ้ง—ตู้ม!!!
“อ๊ากกก!!”
แต่ทว่าทันใดนั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงดังลั่นราวกับเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากข้างบนฟากฟ้าก่อนที่ตัวกำแพงปราสาทจุดที่อยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่หญิงสาวทั้งสองคนกำลังยืนเถียงกันอยู่จะระเบิดออกอย่างรุนแรงและมีนายทหารคนหนึ่งปลิวกระเด็นออกมากระแทกกับพื้นจนกระอักเลือดออกมา
ซึ่งแรงระเบิดนั้นก็ได้ทำให้แท่งน้ำแข็งที่ยึดขาของหญิงสาวผมสีเขียวเอาไว้กับพื้นแตกกระจายออกจนเธอปลิวกระเด็นไปไกลหลายเมตรในขณะที่ทางด้านหญิงสาวผมสีชมพูที่ชื่อว่านิลิมก็ได้สร้างแท่งน้ำแข็งจำนวนหนึ่งขึ้นมาป้องกันร่างกายของตนเองจากเศษกำแพงที่พุ่งตรงเข้ามาและรีบวิ่งเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของทหารนายนั้นในทันทีที่แรงระเบิดสงบลง
“เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“…….”
คำถามของนิลิมที่ไร้ซึ่งคำตอบรับจากนายทหารนั้นทำให้เธอได้แต่ต้องพยายามมองสำรวจดูบาดแผลของร่างเบื้องหน้าแทน ซึ่งเมื่อนิลิมได้เห็นว่านายทหารเบื้องหน้าของเธอเพียงแค่สลบไปเพราะเสียเลือดมากและน่าจะมีอาการบาดเจ็บภายในเล็กน้อยที่เกิดจากแรงกระแทกนั้นเธอก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและหยิบหลอดแก้วบรรจุน้ำออกมาเทราดลงไปที่ปากแผลของเขาก่อนที่ทันใดนั้นเองน้ำธรรมดาที่เธอราดลงไปบนบาดแผลจะแข็งตัวจนกลายเป็นน้ำแข็งด้วยพลังวิซเพื่อห้ามเลือดของเขาเอาไว้ก่อน
“เขาเป็นยังไงบ้างนิลิม?”
“ฉันห้ามเลือดให้เขาไปแล้ว… แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยจริงๆ ก็คงจะพาไปส่งที่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะ… แต่ว่าพวกเราคงจะไม่มีเวลา— เดี๋ยวก่อนสิเซซิเรีย นั่นเธอจะไปไหนน่ะ!?”
คำพูดรายงานอาการบาดเจ็บของนิลิมได้ขาดห้วงไปกลางคันเมื่อเธอได้สังเกตเห็นว่าเซซิเรียที่พูดถามเธอขึ้นมาเมื่อสักครู่นั้นกำลังถือหอกที่ทำมาจากคริสตัลสีเขียวพุ่งตัวตรงไปยังบริเวณกำแพงปราสาทที่พังถล่มลงมาด้วยความรวดเร็ว
ซึ่งนั่นก็ทำให้นิลิมต้องรีบวางร่างของนายทหารที่บาดเจ็บลงกับพื้นและรีบพุ่งตัวตามเพื่อนสาวของเธอไปในทันที
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะเซซิเรีย!! พวกเราต้องรีบ— น…นี่มัน…”
นิลิมที่รีบพุ่งตัวตามเซซิเรียไปนั้นได้ชะงักฝีเท้าของเธอไปและพูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจปนหวาดกลัวเมื่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเซซิเรียที่ยืนหยุดนิ่งอยู่ที่ด้านบนของกองเศษหินที่เคยเป็นกำแพงปราสาทมาก่อนนั้นก็คือภาพของกองซากศพนับร้อยที่นอนเกลื่อนกลาดทับถมกันอยู่เต็มลานกว้างหน้าปราสาทที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน
แต่ถึงอย่างนั้นร่างหลายสิบหลายร้อยร่างที่สวมใส่ชุดเหมือนกับพวกทหารและอัศวินนั้นก็กลับดูสมบูรณ์ดีโดยไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บที่จุดอื่นนอกจากบริเวณที่ลำคอที่ถูกปาดเฉือนให้เปิดออกเป็นร่องเล็กๆ เพียงจุดเดียวราวกับว่าพวกเขาถูกสังหารด้วยการโจมตีเข้าที่จุดตายอย่างแม่นยำด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวโดยไม่มีโอกาสได้โต้ตอบหรือว่าป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นฝีมือของร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งที่สวมใส่ผ้าคลุมสีดำปิดหน้าปิดตาที่ชโลมไปด้วยเลือดจากเหยื่อของเธอที่ในขณะนี้กำลังเดินตรงเข้าไปหานายทหารคนหนึ่งที่กำลังพยายามกระเถิบตัวให้ถอยออกห่างไปจากร่างเล็กๆ ที่มีส่วนสูงเพียงแค่ไหล่ของเขาด้วยความหวาดกลัว
“อ—อย่าเข้ามานะไอ้ปิศาจ!!”
“……”
คำพูดด่าทอของนายทหารหนุ่มไม่ได้ทำให้ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมชะงักฝีเท้าหรือว่าโต้ตอบอะไรเขากลับไปเลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่ร่างในชุดผ้าคลุมทำเมื่อเดินเข้าไปถึงตัวเขานั้นก็คือการง้างดาบคาตานะที่ชโลมไปด้วยเลือดในมือขึ้นราวกับว่าไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยในการฆ่าสังหารคนไร้ทางสู้ที่กำลังพยายามร้องขอชีวิตอยู่ จนทำให้หญิงสาวผมสีเขียวที่เห็นแบบนั้นต้องร้องตะโกนออกมาเสียงดังและพุ่งตัวเข้าไปขัดขวางในทันที
“หยุดนะ!!”
“อย่าเข้าไปนะเซซิเรีย!!”
นิลิมที่เห็นเพื่อนสาวผมสีเขียวของเธอที่มีชื่อว่า เซซิเรีย พุ่งเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวนั้นได้พยายามที่จะร้องห้ามเพื่อนของเธอเอาไว้ ในขณะที่ทางด้านร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมนั้นกลับไม่มีวี่แววว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงร้องตะโกนของเซซิเรียและนิลิมเลยแม้แต่น้อยและได้ตวัดดาบคาตานะในมือของเธอเข้าใส่ลำคอของนายทหารเบื้องหน้าด้วยความเร็วที่แทบจะเปลี่ยนดาบคาตานะในมือของเธอให้เป็นประกายแสงสีขาว
“ไม่—”
แกร๊ก—ฉัวะ!
นายทหารหนุ่มที่ตกเป็นเป้าหมายสังหารนั้นได้ยกท่อนแขนของเขาที่สวมใส่เกราะเหล็กขึ้นมาขวางเอาไว้ที่เบื้องหน้าในทันทีที่เขาเห็นประกายแสงที่เกิดจากการตวัดดาบตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกราะแขนที่ควรจะแข็งแกร่งเพื่อปกป้องผู้สวมใส่นั้นก็กลับถูกดาบคาตานะของร่างในชุดผ้าคลุมตัดผ่านไปได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากใยผ้าไม่ใช่โลหะแกร่งอย่างที่มันควรจะเป็น
“อ๊อก….”
นายทหารหนุ่มที่ถูกใบดาบตัดผ่านทั้งท่อนแขนและลำคอไปพร้อมๆ กันได้ส่งเสียงสำลักออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหงายหลังล้มลงไปกับพื้นสนามหญ้าที่ถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน และสิ่งสุดท้ายที่เขาได้เห็นนั้นก็คือฝ่ามือเล็กๆ ของผู้ที่ลงมือสังหารเขาเองที่ยื่นออกมาเลื่อนปิดเปลือกตาให้เขาเบาๆ
“เขาไม่มีทางสู้แล้วไม่ใช่หรือไง!?”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านเซซิเรียที่พุ่งตัวเข้าไปขัดขวางการลงมือสังหารได้ไม่ทันการนั้นก็ได้ร้องตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับตวัดหอกคริสตัลสีเขียวในมือของเธอเข้าใส่ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมอย่างรุนแรง
ฟุ๊บ—
แต่ถึงอย่างนั้นร่างในชุดผ้าคลุมก็กลับสามารถเอี้ยวตัวหลบการโจมตีของเซซิเรียได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องหันกลับมามองเลยแม้แต้น้อย จนทำให้เซซิเรียที่ดูเหมือนว่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะสามารถหลบหลีกการโจมตีครั้งแรกของเธอได้หมุนควงหอกคริสตัลสีเขียวในมือของเธอและเหวี่ยงมันเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความรุนแรงที่มากกว่าการโจมตีครั้งแรกเสียอีก
“เธอมีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่าเขาให้ได้หรือไง!?”
เคล๊ง!
แต่ในครั้งนี้ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมไม่ได้เอี้ยวตัวหลบการโจมตีของเซซิเรียแต่ว่ากลับใช้ดาบคาตานะในมือเข้ารับคมหอกคริสตัลสีเขียวเอาไว้ตรงๆ
ซึ่งถึงแม้ว่าเซซิเรียจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ว่าเธอก็ฉวยโอกาสนี้ออกแรงกดหอกคริสตัลของเธอเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงเพื่อล็อกตัวอีกของฝ่ายเอาไว้พร้อมกับร้องตะโกนออกมา
“ในเมื่อไม่มีใครกล้าพอถ้างั้นฉันจะเป็นคนหยุดเธอเอาไว้เอง!!”
ทันทีที่สิ้นเสียงร้องตะโกนของเซซิเรีย ที่กลางอากาศเหนือหัวของทั้งสองคนก็ได้ปรากฏก้อนคริสตัลสีเขียวจำนวนหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นมาจากมวลอากาศที่ว่างเปล่า ซึ่งก้อนคริสตัลเหล่านั้นก็ได้ขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีสภาพเหมือนกับหอกคริสตัลที่อยู่ในมือของเซซิเรียอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก่อนที่มันจะหันปลายแหลมชี้ตรงไปยังร่างในชุดผ้าคลุมพร้อมๆ กัน
“เซซิเรีย ซึสึมุ! ทำการจับกุ—-”
“เธอไม่อยากใช้ท่านั้นในตอนนี้หรอกเซซิเรีย…”
แว่วเสียงแผ่วเบาที่ฟังดูเหมือนกับเสียงของเด็กสาวที่ดังลอดผ่านความมืดมิดแปลกประหลาดที่ปกคลุมอยู่ภายใต้ผ้าคลุมของร่างเบื้องหน้านั้นได้ทำให้เซซิเรียและหอกคริสตัลที่กำลังจะพุ่งลงมาหยุดชะงักไปพร้อมๆ กันก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงที่ฟังดูอ่อนแรงของชายคนหนึ่งดังออกมาจากกองซากศพที่ทับถมกันอยู่ที่ใต้เท้าของร่างในชุดผ้าคลุมให้ทุกคนได้ยิน
“ช…ช่ว…ด้วย…”
“—!?”
เซซิเรียที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาจากกองซากศพที่ทับถมกันอยู่นั้นได้ออกแรงกดไปที่หอกของเธอมากขึ้นเพื่อล็อกตัวเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเอาไว้กับที่ก่อนจะร้องเรียกเพื่อนสาวผมชมพูของเธอให้มาทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตในทันที
“นิลิม!!”
“อื้ม!”
วี้~
“เสียงนั่นมัน…”
แต่ว่าในขณะที่นิลิมกำลังจะวิ่งเข้าไปเพื่อทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตนั้นหูของเธอก็ได้ยินเสียงเสียดแหลมที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจากทางด้านบนท้องฟ้าเข้าซะก่อนจนทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนแล้วในตอนก่อนที่กำแพงปราสาทจะระเบิดออกมาอย่างรุนแรงนั่นเอง
ซึ่งนั่นก็ทำให้นิลิมต้องรีบเปลี่ยนทิศทางเป็นการพุ่งเข้าไปหาเพื่อนของเธอแทนอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบเอาหลอดแก้วบรรจุของเหลวหลอดหนึ่งออกมาจากภายใต้แขนเสื้อสีดำที่ยาวเกินตัวของเธอและโยนมันออกไปเบื้องหน้าท่ามกลางความสงสัยของเซซิเรีย
เปรี๊ยะ—เพล้ง!!
หลอดแก้วที่นิลิมโยนออกไปเบื้องหน้านั้นได้แตกกระจายออกเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ก่อนที่มันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตาด้วยแท่งเหล็กสีดำที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้าอย่างรุนแรงจนทำให้นิลิมที่เห็นแบบนั้นต้องกัดฟันแน่นและรีบยกแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาไขว้กันพร้อมๆ กับที่มีแท่งน้ำแข็งปลายแหลมก่อตัวขึ้นมาปกคลุมท่อนแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้
สวบ!
แต่ทว่าแท่งเหล็กสีดำที่ถูกส่งลงมาจากฟากฟ้าก็กลับพุ่งทะลุแขนทั้งสองข้างของนิลิมที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยแท่งน้ำแข็งปลายแหลมไปได้อย่างง่ายดายและทำท่าเหมือนกับว่าจะพุ่งทะลุเข้ามาปักที่ใจกลางอกของเธอต่อไป
แกร๊ก—
ซึ่งนั่นก็ทำให้นิลิมไม่มีทางเลือกอื่นอีกจนต้องตัดสินใจที่จะใช้พลังวิซธาตุน้ำแข็งของเธอเปลี่ยนเลือดของตัวเองให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งสีแดงสดจนสามารถหยุดยั้งการทะลุทะลวงของแท่งเหล็กสีดำเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะพุ่งทะลุท่อนแขนออกมาปักที่กลางอกของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยการที่ท่อนแขนทั้งสองข้างของเธอจะต้องถูกยึดติดเอาไว้ด้วยกันจนไม่สามารถขยับได้ก็ตามที
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
“นิลิม!!”
เซซิเรียที่พบว่าตนเองได้ตกเป็นเป้าโจมตีอย่างไม่ทันรู้ตัวและถูกเพื่อนของเธอช่วยเหลือเอาไว้นั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ว่าทันใดนั้นเองเสียงเสียดแหลมบนฟากฟ้าที่ในตอนแรกเธอเผลอมองข้ามมันไปนั้นก็ได้ค่อยๆ ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งให้เธอได้ยิน
วี๊~
“ยิงต่อได้เลยงั้นหรอ—!?”
เซซิเรียที่ได้ยินเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ในการเตรียมการโจมตีของอาวุธของคู่ต่อสู้นั้นได้ผละมือออกมาจากการยันอาวุธกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเปื้อนเลือดและคว้าตัวนิลิมกระโดดถอยไปตั้งหลักเพื่อที่จะได้ใช้หอกคริสตัลที่เธอเตรียมการเอาไว้ในทีแรกโจมตีเข้าขัดขวางการลอบจู่โจมของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
“โถ่โว้ย!!”
แต่ว่าหอกคริสตัลของเซซิเรียนั้นก็ได้แต่แกว่งไปแกว่งมาชี้ปลายของมันขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างไร้ซึ่งจุดหมายเมื่อเจ้าของของมันไม่สามารถระบุเป้าหมายให้มันโจมตีได้จนทำให้เซซิเรียได้แต่ต้องร้องสบถออกมาด้วยความคับแค้นใจ เพราะว่าตัวเธอเองก็รู้ดีว่าหลังจากที่เสียงเสียดแหลมนั่นดังขึ้นมาแล้วมันก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่มากนักก่อนที่การโจมตีของศัตรูจะมาถึง และนิลิมที่บาดเจ็บอยู่รวมถึงตัวเธอเองก็คงจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะตั้งรับหรือว่าปัดป้องการโจมตีของมันได้อีกด้วย
“…….”
ซึ่งในขณะที่เซซิเรียกำลังกวาดตามองขึ้นไปบนฟากฟ้าและตั้งสมาธิเพื่อเตรียมรับมือการโจมตีที่ไม่รู้ว่าจะพุ่งลงมาจากทางไหนอยู่นั้นเอง เธอก็ได้เหลือบไปเห็นร่างของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่เดินผ่านข้างตัวของเธอไปเพื่อตรงเข้าไปหานิลิมที่ยืนอยู่เบื้องหลังด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติราวว่ากับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านแต่ว่ากลับง้างดาบคาตานะของเธอขึ้นสูงไปด้วยเหมือนกับว่าจะใช้มันฟันเข้าใส่นิลิมจนทำให้เซซิเรียต้องร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“หยุดนะ!!”
“—!?”
นิลิมที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเซซิเรียได้ละสายตากลับลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนและพบเข้ากับร่างในชุดผ้าคลุมในระยะประชิดที่กำลังจะเหวี่ยงดาบคาตานะลงเข้าใส่เธอพอดี เธอจึงได้พยายามที่จะยกแขนทั้งสองข้างของเธอที่ถูกแท่งเหล็กสีดำเสียบติดกันเอาไว้ด้วยกันขึ้นมาและสร้างแท่งน้ำแข็งปลายแหลมขึ้นมาปกคลุมมันไว้เพื่อป้องกันตัวเอง
แปะ…
“…..?”
แต่ทว่าคมดาบที่จะมอบความเจ็บปวดให้กับนิลิมนั้นก็กลับไม่มาถึงและถูกแทนที่ด้วยฝ่ามือเรียวเล็กสีขาวสว่างราวกับไม่เคยถูกต้องแสงแดดมาก่อนที่สัมผัสลงบนหัวของนิลิมเบาๆ จนทำให้นิลิมที่รอดชีวิตมาได้อย่างน่าประหลาดใจเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มีความคิดอยากจะสังหารเธอแล้วแข้งขาอ่อนจนทรุดลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
ซึ่งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่ลูบหัวของนิลิมเสร็จแล้วก็ได้เดินตรงไปทางกำแพงปราสาทที่พังถล่มลงมาโดยไร้ซึ่งวี่แววของดาบคาตานะที่เธอใช้สังหารผู้คนไปมากมายในทีแรก อีกทั้งยังไม่มีท่าทางว่าจะสนใจหญิงสาวทั้งสองคนอีกเลยจนทำให้เซซิเรียที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักกับอีกฝ่ายมาก่อนต้องรีบร้องเรียกเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน!”
“…….”
แต่ว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่ได้ยินเสียงร้องเรียกก็กลับทำเพียงแค่เหลือบกลับมามองหญิงสาวทั้งสองคนผ่านความมืดมิดแปลกประหลาดภายใต้ผ้าคลุมของเธออยู่ชั่วขณะแล้วจึงออกเดินไปอีกครั้งหนึ่งจนทำให้เซซิเรียต้องรีบสลายหอกคริสตัลสีเขียวที่เธอใช้เป็นอาวุธทุกอันทิ้งไปแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมถึงไม่ลงมือซะล่ะ! จะปล่อยพวกฉันเอาไว้ทำไม!”
คำถามของเซซิเรียในครั้งนี้ได้ทำให้ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมหยุดฝีเท้าลงและเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟากฟ้าแล้วจึงเอ่ยปากพูดตอบหญิงสาวกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
“พวกเธอไม่ใช่ศัตรู…”
น้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นราวกับทำให้บรรยากาศโดยรอบหนาวเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ทว่าทางด้านเซซิเรียที่ได้ยินคำตอบของเด็กสาวนั้นก็กลับมีแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยและพยายามที่จะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ถ—ถ้าอย่างงั้—”
“แต่ถึงอย่างนั้นคำตัดสินก็จะยังคงเป็นแบบเดิม… ไม่ว่าพวกเธอจะเห็นด้วยหรือเปล่าก็ตาม…”
น้ำเสียงเย็นชาที่พูดแทรกคำพูดของเซซิเรียขึ้นมานั้นได้ทำให้แววตาของเซซิเรียหม่นหมองลงไปอีกครั้งก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความเศร้าโศก
“ถึงคำตัดสินของเธอมันจะทำให้พวกเราต้องหันมาฆ่าฟันกันเองน่ะหรอ…”
“ใช่… ไม่ว่าคนที่เข้ามาขวางจะเป็นเธอหรือว่าจะเป็นใครก็ตาม…”
“เธอนี่มัน—!!”
คำตอบของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้ทำให้เซซิเรียกัดฟันและกำหมัดแน่น แต่ถึงอย่างนั้นเซซิเรียก็รู้ตัวดีว่าเพียงแค่เธอตัวคนเดียวหรือต่อให้จะรวมนิลิมที่บาดเจ็บจนใช้งานแขนทั้งสองข้างไม่ได้เข้าไปแล้วนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะขัดขวางร่างเล็กๆ ที่ดูอ่อนแอและโดดเดี่ยวเบื้องหน้าได้ เธอจึงได้ต้องยอมกลั้นใจมองไล่หลังอีกฝ่ายที่เดินผ่านซากกำแพงที่พังถล่มลงมาไปอย่างช้าๆ จนลับสายตาไป
“พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะเซซิเรีย… ขืนช้ากว่านี้จนพวกทหารยามประจำเมืองมาถึงก่อนเดี๋ยวพวกเราจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปซะแทนนะ…”
“อื้ม… แถมแขนของเธอเองก็เป็นแบบนี้ไปแล้วด้วยสิ… ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปรักษาตัวก่อนแล้วพวกเราค่อยกลับไปวางแผนกันใหม่ก็แล้วกัน”
เซซิเรียเอ่ยปากพูดตอบนิลิมกลับไปแล้วจึงอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาและดีดตัวกระโดดไปตามหลังคาบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายกันอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะกระโดดหลบลงไปในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งและวางนิลิมลงบนกล่องไม้ใบใหญ่เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บที่แขนของนิลิมที่ดูน่าเป็นห่วงจนทำให้เธอต้องพูดพึมพำออกมา
“สภาพแบบนี้คงจะต้องถึงมือหมอแล้วล่ะ…”
“ไม่เอาโรงพยาบาลของที่นี่นะ…”
ถึงแม้ว่านิลิมจะมีแท่งเหล็กสีดำปักคาอยู่บนท่อนแขนที่มีสีผิวซีดขาวผิดกับสีผิวส่วนอื่นๆ ของร่างกายของเธอจนแขนทั้งสองข้างคาอยู่ในสภาพไขว้กันเป็นกากบาทไปแล้วก็ตามที แต่ว่าหญิงสาวร่างเล็กผมสีชมพูก็ยังคงแสดงท่าทีดื้อดึงออกมาจนเซซิเรียอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… นี่ตกลงว่าจะให้ตายยังไงเธอก็จะไม่ยอมให้คนอื่นนอกจากหมอนั่นรักษาให้จริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย… ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าพวกเราก็กลับไปที่รีมินัสกันก่อนก็แล้วกัน…”